คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 5
ตั้งกระทู้ได้ แต่ไม่เคยอ่านกระทู้เก่าๆ เลย ก็นับว่าแปลกมากเลยนะ
เรื่องที่เล่ามาทั้งหมด มีคนใจดีเคยให้ข้อมูล และอธิบายไว้อย่างละเอียด
อเมริกาเน้นความเท่าเทียม ที่บอกเขาดูถูกคือคิดไปเอง เขาแค่ระเบียบทุกอย่างเป๊ะ ไม่มีข้อยกเว้น ไม่มีอภิสิทธิ์ ไม่มีสิทธิพิเศษ รวยร้อยล้านก็ต้องไปต่อแถวเข้า ฝากของ พิมพ์นิ้ว สัมภาษณ์ เหมือนกันทุกคน จขกท แค่ไม่ชิน
เรื่องที่เล่ามาทั้งหมด มีคนใจดีเคยให้ข้อมูล และอธิบายไว้อย่างละเอียด
อเมริกาเน้นความเท่าเทียม ที่บอกเขาดูถูกคือคิดไปเอง เขาแค่ระเบียบทุกอย่างเป๊ะ ไม่มีข้อยกเว้น ไม่มีอภิสิทธิ์ ไม่มีสิทธิพิเศษ รวยร้อยล้านก็ต้องไปต่อแถวเข้า ฝากของ พิมพ์นิ้ว สัมภาษณ์ เหมือนกันทุกคน จขกท แค่ไม่ชิน
ความคิดเห็นที่ 23
เราขอวีซ่าอเมริกาครั้งแรกปี 2004 ค่ะ หลังเหตุการณ์ 911 ไม่กี่ปีเลย สิ่งที่คุณเจอและโพสมาเราเจอหมดค่ะ และเรารู้ก่อนวันไปสัมภาษณ์ด้วยเพราะหาข้อมูลก่อนไปมีคนรีวิวไว้เต็มไปหมดไม่ใช่แค่ในพันทิปด้วย
ผ่านมาเกือบ 20 ปีประหลาดใจมากที่คุณมาโพสว่าคุณไม่รู้
ข้อจำกัดเงื่อนไขต่างๆมันเพิ่มมาหลัง 911 เขาไม่ได้ลดเกรดคนไทยเหมือนที่คุณคิดค่ะ แต่เขาทำเพื่อความปลอดภัยของเขา หลังๆมานี่แทบทุกสถานทูตเปลี่ยนแปลงไปใช้เอเจนซี่ในการดำเนินการแทนก็เพราะเหตุผลเรื่องความปลอดภัยนี้ค่ะ
และที่ๆรับฝากของทั้งหลายก็ไม่ใช่สถานทูตหรือคนในสถานทูตด้วย เริ่มจากคนเอาไปฝากแม่ค้าที่ขายของละแวกนั้น หนักๆเข้ามีคนมาตั้งร้านรับฝากของโดยเฉพาะไปเลย
ฉันไปสัมภาษณ์คราวนั้นยังต้องไปต่อคิวหน้าสถานทูตอยู่เลย ที่จอดรถไม่มีต้องเอารถไปจอดที่อาคารสินธรฝั่งตรงข้ามแล้วเดินมาต่อคิวตั้งแต่เช้า
สิบปีต่อมาฉันก็ไปขอใหม่อีกนัดวันสัมภาษณ์กรอก DS160 แต่ไปแล้วไม่ได้สัมภาษณ์แค่ไปพิมพ์ลายนิ้วมือก็ได้มาอีก 10 ปี
ฉันว่าสิ่งที่แสดงให้เห็นจากการโพสในกระทู้นี้คือคุณขาดการหาข้อมูลและเตรียมตัวมากๆเลยค่ะ
ไปรอบแรกฉันเพิ่งจดทะเบียนตั้งบริษัทและประมูลงานในมหาวิทยาลัยในสหรัฐที่ได้ทุนของ NIH ได้ และฉันต้องไปประชุมที่ DC หนังสือเชิญประชุมออกจากบริษัทเอกชนที่ประมูลโครงการนี่ได้แล้ว sub ต่อมาให้ฉันอีกที
ฉันกรอกเอกสารทั้งหมดเอง ฉันขอวีซ่าประเภทธุรกิจไม่ใช่ท่องเที่ยว ฉันต้องคิดว่าฉันจะยื่นในนามเจ้าของบริษัทหรือในนามพนักงาน อย่างไหนให้ประโยชน์มากกว่ากัน สรุปฉันทำหนังสือรับรองเงินเดือนจากบริษัทแล้วให้หุ้นส่วนฉันเซ็นในนามกรรมการ เขียนไปว่าเงินเดือนเดือนละสี่หมื่นบาท
วันสัมภาษณ์นอกจากถามโน่นนี่นั่นแล้วมีคำถามว่า ในหนังสือรับรองเงินเดือนแจ้งว่าฉันได้รับเงินเดือนๆละสี่หมื่นบาทแต่ทำไมไม่เห็นมียอดสี่หมื่นในบัญชีฉันเลย ก็จริงเพราะเงินเดือนนั่นก็คิดเอาว่าแค่นี้คงพอ ฉันตอบเขากลับไปว่า บริษัทเราจ่ายเงินทุกสองสัปดาห์ค่ะ ฉันก็รู้ว่าในบัญชีน่าจะไม่มีเงินเข้าสองหมื่นทุกสองสัปดาห์หรอก
สรุปฉันได้วีซ่ามา 10 ปีและการได้วีซ่าครั้งนั้นก็ไม่ได้ทำให้ฉันเดินเข้าอเมริกาอย่างสะดวกสะบาย ต้องไปตบตีกับตมที่นั่นอีก และเป็นครั้งเดียวหลังจากนั้นไม่เคยมีปัญหาอีกเลย
ฉันว่าคุณต้องเข้าใจก่อนว่า การออกวีซ่าเข้าประเทศของทุกประเทศเป็นเอกสิทธิ์ของประเทศนั้นๆ และเขามีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธการให้วีซ่าโดยไม่จำเป็นต้องบอกเหตุผลด้วย ไม่ใช่ว่าเขามีหน้าที่ต้องออกวีซ่าให้
ค่าธรรมเนียมวีซ่าคือค่าบริการในการดำเนินการจัดการเรื่องวีซ่านับตั้งแต่รับเอกสาร ตรวจสอบ จนออกวีซ่า เขาไม่คืนก็ถูกแล้วเพราะคุณได้รับบริการตามขั้นตอนทั้งหมดแค่ไม่ได้วีซ่าเท่านั้น มันไม่ใช่ค่าวีซ่าอย่างที่คุณคิดและทุกประเทศก็มีค่าธรรมเนียมและไม่คืนแม้จะไม่ได้วีซ่าเหมือนกันหมด
เอกสารต่างๆที่ยื่นไปจะผ่านหรือจะตกไม่ใช่จากข้อเท็จจริงแต่เป็นความย้อนแย้ง ไม่สมเหตุสมผลของข้อมูลค่ะ
ที่คุณบอกว่าคุณได้รับจดหมายเชิญจากบริษัทที่อยู่ในตลาดหุ้นเมกาอย่างดี และอื่นๆ
คุณคะฉันจำได้ว่าเคยอ่านเจอกรณีวีซ่าอังกฤษไม่ผ่านเพราะมีลูกจ้างแอบเอาสมุดธนาคารไปปลอมชื่อแล้วยี่นขอวีซ่าอังกฤษเหมือนกันในพันทิปนี่แหละ
เอกสารจริงไม่จริงมันใช้ขอวีซ่าเต็มไปหมดค่ะ มันไม่ใช่สิ่งเริดหรูหรือเหตุผลว่าคุณได้ต้องวีซ่าเลย ความสมเหตุสมผลไม่ย้อนแย้งของเอกสารที่ยื่นต่างหากที่จะทำให้คุณได้วีซ่าหรือไม่
ฉันแน่ใจว่ากงสุลที่สัมภาษณ์ฉันครั้งแรกต้องรู้ว่าเงินเดือนในหนังสือนั้นมันไม่จริงหรือย้อนแย้งถึงได้ถามและฉันก็ตอบกลับแบบไม่อึกอักใดๆเลย
และสาเหตุที่เรียกสัมภาษณ์ก็เพราะเขาต้องการเห็นตัวเห็นกริยาท่าทางการตอบสนองนั่นเอง
ผ่านมาเกือบ 20 ปีประหลาดใจมากที่คุณมาโพสว่าคุณไม่รู้
ข้อจำกัดเงื่อนไขต่างๆมันเพิ่มมาหลัง 911 เขาไม่ได้ลดเกรดคนไทยเหมือนที่คุณคิดค่ะ แต่เขาทำเพื่อความปลอดภัยของเขา หลังๆมานี่แทบทุกสถานทูตเปลี่ยนแปลงไปใช้เอเจนซี่ในการดำเนินการแทนก็เพราะเหตุผลเรื่องความปลอดภัยนี้ค่ะ
และที่ๆรับฝากของทั้งหลายก็ไม่ใช่สถานทูตหรือคนในสถานทูตด้วย เริ่มจากคนเอาไปฝากแม่ค้าที่ขายของละแวกนั้น หนักๆเข้ามีคนมาตั้งร้านรับฝากของโดยเฉพาะไปเลย
ฉันไปสัมภาษณ์คราวนั้นยังต้องไปต่อคิวหน้าสถานทูตอยู่เลย ที่จอดรถไม่มีต้องเอารถไปจอดที่อาคารสินธรฝั่งตรงข้ามแล้วเดินมาต่อคิวตั้งแต่เช้า
สิบปีต่อมาฉันก็ไปขอใหม่อีกนัดวันสัมภาษณ์กรอก DS160 แต่ไปแล้วไม่ได้สัมภาษณ์แค่ไปพิมพ์ลายนิ้วมือก็ได้มาอีก 10 ปี
ฉันว่าสิ่งที่แสดงให้เห็นจากการโพสในกระทู้นี้คือคุณขาดการหาข้อมูลและเตรียมตัวมากๆเลยค่ะ
ไปรอบแรกฉันเพิ่งจดทะเบียนตั้งบริษัทและประมูลงานในมหาวิทยาลัยในสหรัฐที่ได้ทุนของ NIH ได้ และฉันต้องไปประชุมที่ DC หนังสือเชิญประชุมออกจากบริษัทเอกชนที่ประมูลโครงการนี่ได้แล้ว sub ต่อมาให้ฉันอีกที
ฉันกรอกเอกสารทั้งหมดเอง ฉันขอวีซ่าประเภทธุรกิจไม่ใช่ท่องเที่ยว ฉันต้องคิดว่าฉันจะยื่นในนามเจ้าของบริษัทหรือในนามพนักงาน อย่างไหนให้ประโยชน์มากกว่ากัน สรุปฉันทำหนังสือรับรองเงินเดือนจากบริษัทแล้วให้หุ้นส่วนฉันเซ็นในนามกรรมการ เขียนไปว่าเงินเดือนเดือนละสี่หมื่นบาท
วันสัมภาษณ์นอกจากถามโน่นนี่นั่นแล้วมีคำถามว่า ในหนังสือรับรองเงินเดือนแจ้งว่าฉันได้รับเงินเดือนๆละสี่หมื่นบาทแต่ทำไมไม่เห็นมียอดสี่หมื่นในบัญชีฉันเลย ก็จริงเพราะเงินเดือนนั่นก็คิดเอาว่าแค่นี้คงพอ ฉันตอบเขากลับไปว่า บริษัทเราจ่ายเงินทุกสองสัปดาห์ค่ะ ฉันก็รู้ว่าในบัญชีน่าจะไม่มีเงินเข้าสองหมื่นทุกสองสัปดาห์หรอก
สรุปฉันได้วีซ่ามา 10 ปีและการได้วีซ่าครั้งนั้นก็ไม่ได้ทำให้ฉันเดินเข้าอเมริกาอย่างสะดวกสะบาย ต้องไปตบตีกับตมที่นั่นอีก และเป็นครั้งเดียวหลังจากนั้นไม่เคยมีปัญหาอีกเลย
ฉันว่าคุณต้องเข้าใจก่อนว่า การออกวีซ่าเข้าประเทศของทุกประเทศเป็นเอกสิทธิ์ของประเทศนั้นๆ และเขามีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธการให้วีซ่าโดยไม่จำเป็นต้องบอกเหตุผลด้วย ไม่ใช่ว่าเขามีหน้าที่ต้องออกวีซ่าให้
ค่าธรรมเนียมวีซ่าคือค่าบริการในการดำเนินการจัดการเรื่องวีซ่านับตั้งแต่รับเอกสาร ตรวจสอบ จนออกวีซ่า เขาไม่คืนก็ถูกแล้วเพราะคุณได้รับบริการตามขั้นตอนทั้งหมดแค่ไม่ได้วีซ่าเท่านั้น มันไม่ใช่ค่าวีซ่าอย่างที่คุณคิดและทุกประเทศก็มีค่าธรรมเนียมและไม่คืนแม้จะไม่ได้วีซ่าเหมือนกันหมด
เอกสารต่างๆที่ยื่นไปจะผ่านหรือจะตกไม่ใช่จากข้อเท็จจริงแต่เป็นความย้อนแย้ง ไม่สมเหตุสมผลของข้อมูลค่ะ
ที่คุณบอกว่าคุณได้รับจดหมายเชิญจากบริษัทที่อยู่ในตลาดหุ้นเมกาอย่างดี และอื่นๆ
คุณคะฉันจำได้ว่าเคยอ่านเจอกรณีวีซ่าอังกฤษไม่ผ่านเพราะมีลูกจ้างแอบเอาสมุดธนาคารไปปลอมชื่อแล้วยี่นขอวีซ่าอังกฤษเหมือนกันในพันทิปนี่แหละ
เอกสารจริงไม่จริงมันใช้ขอวีซ่าเต็มไปหมดค่ะ มันไม่ใช่สิ่งเริดหรูหรือเหตุผลว่าคุณได้ต้องวีซ่าเลย ความสมเหตุสมผลไม่ย้อนแย้งของเอกสารที่ยื่นต่างหากที่จะทำให้คุณได้วีซ่าหรือไม่
ฉันแน่ใจว่ากงสุลที่สัมภาษณ์ฉันครั้งแรกต้องรู้ว่าเงินเดือนในหนังสือนั้นมันไม่จริงหรือย้อนแย้งถึงได้ถามและฉันก็ตอบกลับแบบไม่อึกอักใดๆเลย
และสาเหตุที่เรียกสัมภาษณ์ก็เพราะเขาต้องการเห็นตัวเห็นกริยาท่าทางการตอบสนองนั่นเอง
ความคิดเห็นที่ 16
ที่ค่าธรรมเนียมแพง เพราะเขาคิดราคาจาก USD ครับ ราคาก็จะอยู่ราวๆ $190-210 ก็ถือว่าสมเหตุสมผล เพราะสถานทูตแต่ละแห่งนั้น ต้องนำรายได้ส่วนนี้มาบริหารจัดการองค์กร เพราะเขาไม่ได้ขอรับเงินจากรัฐบาลไทยครับ
ถ้าเอาเข้าใจง่ายๆ ราคาสตาร์บัค, เคเอฟซี, ไอโฟน, แมคบุ๊ค เหล่านั้น คนไทยซื้อราคา USD ทั้งนั้นครับ ผมอยู่ที่เมกา ราคาก็เท่าเราซื้อที่ไทย เช่น ไอโฟน อยู่นี่เครื่องละพันเดียว เคเอฟซีคนไทยทานกันทีละ 500 อยู่ที่นี่ก็สิบกว่าเหรียญ
ในส่วนของเรื่องวีซ่านั้น ก็จริงอย่างที่หลายคอมเมนท์ด้านบนบอก คือเบื้องต้น จนท.เขาตัดสินใจไว้ส่วนนึงแล้ว ไม่ใช่ว่าเขาขี้เกียจครับ ระดับจนท สถานทูตแล้ว เขามีเหตุผลแน่นอนครับ
และการขอวีซ่าไม่ตรงประเภท ก็เป็นส่วนนึงที่เขา พิจารณา เป็นหลัก มากกว่าจำนวนเงิน และความมั่นคงของผู้ขอ ในส่วนนี้หลายคนจึงชอบบ่น ว่าเห็นบางเคส รวยล้นฟ้าแต่ขอไม่ผ่าน
เช่นถ้าคุณมีเงินในบัญชีอยู่ 5 แสนบาท คิดเป็นเงิน USD แล้วก็อยู่ที่ราวๆ สองหมื่นเหรียญ เท่านั้น เงินสองหมื่นยิ่งถ้าใช้เที่ยวแป๊ปเดียวก็หมดแล้วครับอยู่ที่นี่ จนทก็ยิ่งต้องมองว่า เงินเดือนคุณที่ไทยไม่ถึงห้าหมื่น แล้วไปเที่ยวหมดเป็นครึ่งล้าน คุณจะไหวเหรอ
เพราะถ้าจะมาทำงาน ให้ขอวีซ่าทำงาน ส่วนถ้าจะมาเที่ยวก็ต้องขอวีซ่าท่องเที่ยว และในบางเคส ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะขอวีซ่าท่องเที่ยว แต่หน้าพาสปอร์ตขาว เดินทางไปประเทศอื่นมาน้อย หรือรายได้ที่ประเทศไทยก็มีไม่มาก จนท เขาก็มองว่าแล้วจะเอาเงินไหนไปเที่ยวประเทศเขาได้
ถ้าขอไปท่องเที่ยว แต่ดูไม่มีเครดิตเหมือนนักท่องเที่ยว ยังไงก็คงไม่ผ่านครับ ค่าโรงแรม ค่ารถโดยสาร ค่ากิน ค่าอยู่ ค่าตั๋วเครื่องบิน รวมแล้ว ถ้าจะบอกกงสุลว่า ขออนุญาตไปเที่ยวเมกาหน่อยครับ คุณก็ต้องทำตัวแบบไหนให้เขาเชื่อ
น้ำเปล่าขวดละ 1-2 เหรียญ (30-60 บาท) / ค่าอาหารมื้อละ 10-20 เหรียญ (300-600 บาท) / ค่าอูเบอร์ครั้งละ 40-100 เหรียญ (1200-3000 บาท) ค่าโรงแรมวันละ ห้าพันบาทขึ้นไป ตรงนี้คือจุดที่จนทก็ต้องเอาเงินเดือนคุณที่กรอกใน ds-160 มาเทียบกัน ว่าสมเหตุสมผลหรือไม่
ถ้าจะขอมาทำงาน จนท.เขามีความคิดนี้ไว้ในใจก่อนอยู่แล้วนะครับ และในเคสของเจ้าของกระทู้ ถ้าขอวีซ่าท่องเที่ยว แต่แนบเอกสารจดหมายเชิญจากบริษัทงานในเมกา อาจเป็นการยื่นไม่ตรงประเภทก็ได้ครับ
และในส่วนที่คุณบอกว่าเขาหลอกเอาเงิน คุณเต็มใจตั้งแต่ต้นที่จะเสียค่าธรรมเนียมในการยื่นขอ ซึ่งในการยื่นนั้น ก็ต้องเข้าใจได้อยู่แล้วว่าอาจจะผ่านหรือไม่ผ่าน เพราะในกรณีที่คุณผ่าน มันก็จะเกิดกระบวนการ การจัดพิมพ์หน้าวีซ่า การส่งไปรษณีย์ไปให้ที่บ้าน และข้อมูลก็ต้องจัดลงระบบต่างๆ ซึ่งใช้จนท และกระบวนการที่สมเหตุสมผล และข้อมูลนี้ก็ต้องถูกต้องแม่นยำ แม้แต่ลิ้งค์กันกับอเมริกาทั้งหมด ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ครับ เทียบกับเงินแค่ร้อยกว่าของเขาแล้ว ถือว่าน้อยไปด้วยซ้ำครับ
คิดแบบคนไม่ผ่านก็มองว่า 6 พันดูเยอะจัง แต่ถ้าผ่านคุณก็มองว่าคุ้มแล้ว ถ้าขอวีซ่าเพื่อมาเที่ยว เขาไม่ให้เที่ยวที่บ้านเขา ก็มีที่อื่นที่สวยกว่าเมกา น่าเที่ยวกว่าเมกา และค่าใช้จ่ายน้อยกว่าอเมริกาเยอะมากครับ ไปเที่ยวที่ที่เหมาะกับเรามากกว่าก็ได้ครับ
ถ้าเอาเข้าใจง่ายๆ ราคาสตาร์บัค, เคเอฟซี, ไอโฟน, แมคบุ๊ค เหล่านั้น คนไทยซื้อราคา USD ทั้งนั้นครับ ผมอยู่ที่เมกา ราคาก็เท่าเราซื้อที่ไทย เช่น ไอโฟน อยู่นี่เครื่องละพันเดียว เคเอฟซีคนไทยทานกันทีละ 500 อยู่ที่นี่ก็สิบกว่าเหรียญ
ในส่วนของเรื่องวีซ่านั้น ก็จริงอย่างที่หลายคอมเมนท์ด้านบนบอก คือเบื้องต้น จนท.เขาตัดสินใจไว้ส่วนนึงแล้ว ไม่ใช่ว่าเขาขี้เกียจครับ ระดับจนท สถานทูตแล้ว เขามีเหตุผลแน่นอนครับ
และการขอวีซ่าไม่ตรงประเภท ก็เป็นส่วนนึงที่เขา พิจารณา เป็นหลัก มากกว่าจำนวนเงิน และความมั่นคงของผู้ขอ ในส่วนนี้หลายคนจึงชอบบ่น ว่าเห็นบางเคส รวยล้นฟ้าแต่ขอไม่ผ่าน
เช่นถ้าคุณมีเงินในบัญชีอยู่ 5 แสนบาท คิดเป็นเงิน USD แล้วก็อยู่ที่ราวๆ สองหมื่นเหรียญ เท่านั้น เงินสองหมื่นยิ่งถ้าใช้เที่ยวแป๊ปเดียวก็หมดแล้วครับอยู่ที่นี่ จนทก็ยิ่งต้องมองว่า เงินเดือนคุณที่ไทยไม่ถึงห้าหมื่น แล้วไปเที่ยวหมดเป็นครึ่งล้าน คุณจะไหวเหรอ
เพราะถ้าจะมาทำงาน ให้ขอวีซ่าทำงาน ส่วนถ้าจะมาเที่ยวก็ต้องขอวีซ่าท่องเที่ยว และในบางเคส ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะขอวีซ่าท่องเที่ยว แต่หน้าพาสปอร์ตขาว เดินทางไปประเทศอื่นมาน้อย หรือรายได้ที่ประเทศไทยก็มีไม่มาก จนท เขาก็มองว่าแล้วจะเอาเงินไหนไปเที่ยวประเทศเขาได้
ถ้าขอไปท่องเที่ยว แต่ดูไม่มีเครดิตเหมือนนักท่องเที่ยว ยังไงก็คงไม่ผ่านครับ ค่าโรงแรม ค่ารถโดยสาร ค่ากิน ค่าอยู่ ค่าตั๋วเครื่องบิน รวมแล้ว ถ้าจะบอกกงสุลว่า ขออนุญาตไปเที่ยวเมกาหน่อยครับ คุณก็ต้องทำตัวแบบไหนให้เขาเชื่อ
น้ำเปล่าขวดละ 1-2 เหรียญ (30-60 บาท) / ค่าอาหารมื้อละ 10-20 เหรียญ (300-600 บาท) / ค่าอูเบอร์ครั้งละ 40-100 เหรียญ (1200-3000 บาท) ค่าโรงแรมวันละ ห้าพันบาทขึ้นไป ตรงนี้คือจุดที่จนทก็ต้องเอาเงินเดือนคุณที่กรอกใน ds-160 มาเทียบกัน ว่าสมเหตุสมผลหรือไม่
ถ้าจะขอมาทำงาน จนท.เขามีความคิดนี้ไว้ในใจก่อนอยู่แล้วนะครับ และในเคสของเจ้าของกระทู้ ถ้าขอวีซ่าท่องเที่ยว แต่แนบเอกสารจดหมายเชิญจากบริษัทงานในเมกา อาจเป็นการยื่นไม่ตรงประเภทก็ได้ครับ
และในส่วนที่คุณบอกว่าเขาหลอกเอาเงิน คุณเต็มใจตั้งแต่ต้นที่จะเสียค่าธรรมเนียมในการยื่นขอ ซึ่งในการยื่นนั้น ก็ต้องเข้าใจได้อยู่แล้วว่าอาจจะผ่านหรือไม่ผ่าน เพราะในกรณีที่คุณผ่าน มันก็จะเกิดกระบวนการ การจัดพิมพ์หน้าวีซ่า การส่งไปรษณีย์ไปให้ที่บ้าน และข้อมูลก็ต้องจัดลงระบบต่างๆ ซึ่งใช้จนท และกระบวนการที่สมเหตุสมผล และข้อมูลนี้ก็ต้องถูกต้องแม่นยำ แม้แต่ลิ้งค์กันกับอเมริกาทั้งหมด ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ครับ เทียบกับเงินแค่ร้อยกว่าของเขาแล้ว ถือว่าน้อยไปด้วยซ้ำครับ
คิดแบบคนไม่ผ่านก็มองว่า 6 พันดูเยอะจัง แต่ถ้าผ่านคุณก็มองว่าคุ้มแล้ว ถ้าขอวีซ่าเพื่อมาเที่ยว เขาไม่ให้เที่ยวที่บ้านเขา ก็มีที่อื่นที่สวยกว่าเมกา น่าเที่ยวกว่าเมกา และค่าใช้จ่ายน้อยกว่าอเมริกาเยอะมากครับ ไปเที่ยวที่ที่เหมาะกับเรามากกว่าก็ได้ครับ
แสดงความคิดเห็น
ผมรู้สึกไม่ดีกับการทำวีซ่าอเมริกา มากๆเลยครับ เงินหกพันไม่ใช่น้อยๆ