เรื่องสั้น เอ็นวายกู NYKU: New York Kitchen University ตอนที่ 50: กีฬาฤดูหนาว กับหนุ่มเมืองร้อน และเรื่องของตูด

หวัดดีครับ วันนี้เอ็นวายกู จะขอเล่าถึงเรื่องราวของฤดูหนาว กับกีฬาที่ไม่ค่อยจะเหมาะกับพวกเราปวงชนชาวไทยเท่าไหร่ แต่ไม่รู้ทำมั๊ย ฮิตกันจริงๆ นั่นคือ Ski & Snowboard ค้าบบบ

           ช่วงนี้เข้าเดือนมกราคม เป็นช่วงหน้าที่สุดของฤดูหนาวที่นิวยอร์ก อากาศก็จะไปอยู่แถวจุดเยือกแข็ง โว๊ะ เย็นจนไข่แข็ง! 555 อย่างไรก็ตาม พวกเราบางคนกลับรอให้ถึงฤดูหนาว!

           เพราะพอเข้าฤดูหนาวพวกเราก็จะมีกีฬาอีกอย่างนึงเล่น เป็นกีฬาที่พวกเรารักกันเป็นพิเศษมาก... ใครก็ตามเมื่อมาอยู่ที่นิวยอร์ก อย่างน้อยต้องเคยไปสัมผัสสักครั้งอ่ะ เพราะว่าชาตินี้คงไม่มีทางได้เล่นที่เมืองไทย นั่นคือกีฬาฤดูหนาวอย่าง Ski & Snowboard

           ไม่อยากจะเชื่อก็ต้องเชื่อว่า กีฬาที่พวกเราไม่น่าจะชอบ เพราะเรามันร้อนแบบตับแล่บไส้ขาดขนาดนั้น อย่างไรก็ตามนั่นมันอาจกลายเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเรา ที่เกิดอยู่แถบบริเวณเส้นศูนย์สูตรไม่กลัวเกรงความหนาวของหิมะกันเลย ตรงกันข้าม กลับเริงร่าเหมือนกับหมาเจอน้ำคลอง กระโดดลงไปเล่นแบบไม่กลัวเลอะ ไม่กลัวเละกันเลยเชียว

           ว่าไปแล้ว นิวยอร์กก็เป็นเหมือนลูกคนสุดท้องของ Ski & Snowboard เพราะไม่มีภูเขาที่อยู่ใกล้ๆ ให้เล่นได้เลย ภูเขาที่ใกล้ที่สุดยังห่างขนาดเกือบสามชั่วโมงขับรถ หิมะจริงก็ไม่ค่อยจะมี ไปทีไรก็เจอแต่เครื่องไสน้ำแข็งนี่แหละ พ่นเกล็ดน้ำแข็งออกมาอยู่นั่น แหม่ เห็นแล้ว ก็อยากเอามาทำน้ำแข็งไสกินจริงจริ๊ง

           คือ นิวยอร์กหนาวเกินไป อุณภูมิที่เหมาะกับการเล่น Snowboard มันประมาณ 10-20 องศาไง คือไม่ใช่ต่ำกว่าจุดเยือกแข็งแบบนี้ หิมะมันก็กลายเป็นน้ำแข็งหมด เวลาล้มทีก็จะเหมือนกับว่าล้มลงบนลานน้ำแข็ง เจ็บสัส!
 

           เกริ่นมายาวล่ะ ขอวกมาเล่าถึงประสบการณ์ของผมกับเจ้า Snowboard หน่อยแล้วกัน ซึ่งก็ได้พี่ยวด Manager ร้านทะเลนี่แหละเป็นคนพาเข้าวงการ พี่ยวดเป็นคนไทยที่มาโตที่นิวยอร์กตั้งแต่ยังเป็นเด็กๆ แกเลยมีทั้งความเป็นอเมริกันและก็คนไทยอยู่ในคนเดียวกัน อ่านไทยออก แต่พิมพ์ไทยไม่ได้นะ ต้องพิมพ์เป็นคาราโอเกะแทน 555

           พอเข้าฤดูหนาวพี่ยวดแกก็จะเป็นพ่องานของการออกทริปเลย ครั้งแรกที่ผมโดนเนี่ย พี่ยวดก็ชวนไปเล่น พร้อมกับบอกว่าจะสอนให้ แถมยังให้ยืมอุปกรณ์การเล่นด้วยนะ คือพี่ยวดเขาชอบเล่น Snowboard แต่น้องในร้านไม่ค่อยเล่น เพราะว่ามันเป็นกีฬาเสียเงิน

           ที่ว่าเสียเงินก็เพราะว่า นอกจากค่าอุปกรณ์ ที่ราคาตั้งแต่เฉียด 1,000 เหรียญขึ้นไปแล้ว ยังไม่รวมค่าเดินทาง ค่าอาหาร และที่แพงสุดคือ ‘ค่าลิฟท์’ เพราะเราต้องนั่งลิฟท์ขึ้นไปยังบนยอดเขาเพื่อไถลลงมายังด้านล่าง ไอ้ตั๋วลิฟท์นี่แหละตัวแพงเลย วันนึงเกือบ $100 เลยนะ ไปเล่นครั้งนึง ก็ต้องมีเสียเป็นร้อยสองร้อยเหรียญเลย

           ไอ้ผมตอนนั้นก็ยังไม่รู้ต๋งรู้ตี๋อะไรหรอกครับ พี่ยวดชวนทั้งที พ่วงมากับอุปกรณ์ให้ยืมครบชุด สัญญาว่าจะสอนให้อีก มันเป็นข้อเสนอที่ไม่ควรจะปฎิเสธเท่าไหร่ ประกอบกับอยากไปลองเล่นสักครั้งอยู่แล้วด้วยก็เลยทำให้ตอบตกลงไป
สรุปพี่ยวดเลยจัดทริปแบบเต็มรูปแบบเลยครับ 3 วัน 2 คืน พาไปภูเขาที่ชื่อว่า Killington เฉพาะแค่เวลาขับรถไป ก็ไกลขนาดหกชั่วโมงแล้ว คือนึกสภาพเหมือนขับรถจากกรุงเทพไปพิษณุโลกเพื่อเล่น Snowboard อ่ะครับ อย่างไรก็ตามมันเป็นทริปที่คุ้มค่ามาก และยังประทับใจผมตลอดมา แม้ผ่านมาจะเป็นสิบปีแล้วก็ตาม
 
ย้อนความไปวันล้อหมุน รถตู้ขนาดสิบห้าที่นั่งถูกอัดแน่นไปด้วยคนจำนวนเต็มความจุ ภายในขนสัมภาระมาเต็มพิกัด นอกจากอุปกรณ์การเล่น Ski & Snowboard ของแต่ละคนแล้ว ยังมีพวกวัตถุดิบสำหรับการปรุงอาหารระหว่าทริปอีกต่างหาก เพราะพวกเราต้องอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้ทั้งหมดสองคืนสามวัน อาหารทำเองนอกจากจะถูกปากแล้ว ยังประหยัดอีกด้วย
 
 
 

           พวกเรานั่งอุตุ เบียดเสียดกันเป็นแรงงานเข้าเมืองเกือบ 7 ชั่วโมง ถึงที่พักก็รีบเอาของเข้าไปเก็บไว้ในบ้านและขับรถออกไปบริเวณอาคารไม้หลังใหญ่ที่ชื่อ K-1 Lodge ซึ่งเป็นที่รวมพล อยู่ตรงแถวๆ ทางขึ้นภูเขา Killington ภูเขาที่สูงแบบมองจากด้านล่าง แล้วไม่เห็นยอดเขา พี่ยวดบอกว่า Killingtonเป็นภูเขาที่สูงที่สุดของทาง Eastcoast และหิมะที่นี่ ก็ดีที่สุดในฝั่งตะวันออกของอเมริกาเลยทีเดียว เอาเว้ย เครื่องร้อนหล้าววว...
           พี่ยวดในฐานะแจกตั๋วลิฟท์และแต่งตัวเตรียมขึ้นเขาแบบไม่รอช้าด้วยความกระเหี้ยนกระหือรือ ทริปนี้ทีมงานคนอื่นๆ ล้วนเคยเล่นกันมาก่อนหมดแล้ว มีผมเป็นเด็กใหม่อยู่คนเดียว ได้แต่ยืนหน้าโง่ๆ งงว่ากูต้องทำอะไรต่อไปวะเนี่ย

           “อ่ะ อ็อตโต้ นี่เสื้อสโนว์บอร์ด กางเกง หมวก แว่น” พี่ยวดหยิบถุงอุปกรณ์ออกจากกระเป๋าใบเขื่องให้ผม เห็นเพื่อนๆ แต่ล่ะคนใส่สนับศอก สนับเข่า ที่กันข้อมือซ้น หมวกกันน็อค บางคนนี่ใส่แบบบล็อคแผ่นหลังทั้งแผ่นเหมือนพวกขี่มอไซค์ไต่วิบาก เอิ่ม...นี่จะไปออกรบหรือไง แต่งองค์ทรงเครื่องกันขนาดนี้ แต่ผมมาเข้าใจภายหลังว่า เรื่องของความปลอดภัยนั้นสำคัญมาก หากล้มหัวกระแทก อย่างน้อยอุปกรณ์พวกนี้ก็ผ่อนหนักเป็นเบาได้
สายตาผมก็พลันไปเห็นอุปกรณ์อีกอย่าง ที่ทุกคนแทบจะใส่เหมือนกันหมด นั่นคือ ‘สนับตูด’ มันจะเป็นเหมือนกางเกงมีแผ่นกันกระแทกอยู่รอบด้าน ใส่แล้วตูดจะพอง ดูเหมือนใส่ผ้าอ้อมผู้ใหญ่ พี่ยวดหันมามองหน้าผม เพราะผมไม่มีอุปกรณ์ป้องกันอะไรเลยสักกะอย่าง
           “ยูมีอุปกรณ์ป้องกันไหม?” พี่ยวดถาม
           “จะไปมีได้ไงอ่ะพี่ ผมยังไม่เคยเล่นเลย” ผมตอบไป พี่ยวดหันกลับไปค้นของในกระเป๋าของแก ก่อนจะบอกว่า แกมีสำรองแค่สนับเข่า คงไม่ได้ช่วยอะไรมาก แต่ก็ยังดีกว่าไม่มี
           ก่อนที่พี่ยวดจะหันมาบอกให้คนที่แต่งตัวเสร็จ ออกไปรอตรงที่ขึ้นลิฟท์ได้แล้ว ทุกคนขานเป็นเสียงเดียวกัน ‘พร้อมจะรบกันมานานแล้ว โย่วๆ’ แหม่ นึกว่าเล่น Counter Strike 555

           กระเช้าลิฟท์ของ K-1 เป็นลิฟท์ตัวใหญ่ที่บรรจุคนเป็นยี่สิบคนได้สบายๆ กระเช้าตัวนี้แหละที่จะนำพาเราไปสู่ยอดของภูเขา การผจญภัยของผมกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว
           ‘การเล่นสโนว์บอร์ดมันเหมือนเราเอาไม้กระดานแผ่นนึง ติดเท้าเราไปสองข้างแล้วก็ไถลลงมาจากยอดเขา เล่นโสนว์บอร์ดไม่ยาก ฝึกแค่สี่อย่าง เบรกหลัง เบรกหน้า เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา ยูทำได้ครบเมื่อไหร่ ก็เล่นได้เมื่อนั้น เดี๋ยวพี่สอนวิธีเบรกหลังให้’ พี่ยวดเปิดคลาสสอนแบบ Shotcut ระหว่างลิฟท์กำลังขึ้นเขา ผมได้แต่พยักหน้าหงีกๆ หัวเหอไม่รับรู้ข้อมูลอะไรทั้งนั้นล่ะครับ รู้สึกอย่างเดียว หนาวสัส! กูมาทำอะไรที่นี่วะ 555

           พอมาถึงยอดเขาเท่านั้นล่ะ ผมก็ต้องตะลึงในความสวยงามของ Killington แห่งนี้ครับ วิวสวยมาก หิมะเป็นหิมะจริงๆ ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าสวยใสหมดจด เข้าใจที่ฝรั่งเรียกกันว่า Clear Blue Sky แสงแดดมีให้รู้สึกถึงความอุ่นเบาๆ ต้นสนที่ขึ้นอยู่บนยอดเขานี้ก็เต็มไปด้วยหิมะ มันขาวละลานตาไปหมด นึกว่าอยู่ในฉากหนังแฟนตาซีอย่างนั้นเลย
 

 
           ตอนนี้ทุกคนต่างก็กระสันอยากจะไถลลงไปกันเต็มแก่แล้ว ผมซึ่งเป็นมือใหม่ก็มัวแต่พยายามจะใส่บอร์ด จะได้ไหลตามพี่ๆ เขาไป พี่ยวดเดินมาตบไหล่บอก
           “ยูเบรกหลังลงไปเรื่อยๆ นะ เจอกันที่ K-1” พี่ยวดบอกพร้อมกับไถลไปอย่างไม่รอช้า
           “ได้ครับพี่ไม่ต้องห่ว......ง” ผมตอบ แต่ยังไม่ทันจะพูดจบดีเลย พี่ยวดก็ไหลไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ทิ้งไอ้หนุ่มเมืองร้อนที่เพิ่งมาเล่นสโนว์บอร์ดเป็นครั้งแรก ให้อยู่บนยอดเขาที่สูงเกือบเท่าภูกระดึงคนเดียว แล้วกูจะรอดไหมเนี่ย...
           “เอาวะ” ผมได้แต่บอกตัวเองว่าสู้เว๊ย (ไม่รู้จะบอกใคร แม่ม! ไม่มีใครรอกูเลยสักคน!)

           ก่อนจะเริ่มทำการฝึก เบรกหลังด้วยส้นเท้า แต่ไม่เกินสามวินาทีผมก็จะต้องล้ม ก้นกระแทกกับพื้นหิมะ ผลั่ก! แรกๆ มันก็ไม่เจ็บนะ เพราะว่าหิมะหนานุ่มไง แต่ว่าหลังจากผ่านไปประมาณ 2 ชั่วโมง หิมะแท้ๆ ที่ว่าหนานุ่ม ก็นุ่มกว่าพื้นซีเม็นแค่นิดเดียวเท่านั้น ผมค่อยๆ ไถลลงไปเรื่อยๆ ทีละนิดด้วยตัวเอง ความเจ็บปวดที่ตูด สอนผมว่า อย่าล้มเยอะ ผมพยายามฝืนไม่ให้ตัวเองล้ม พร้อมกับพยายามลงเขาไปให้เร็วที่สุด
           
           ‘ถ้าเราหลอมรวมจิตใจ จนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับไม้กระดานได้ เราก็จะสามารถเล่นได้อย่างอิสระเสรี’ ผมนึกถึงเคล็ดลับที่พี่ยวดสอนไว้ ใช่แล้ว ที่เรายังล้มอยู่นั้น เพราะเรายังไม่สามารถรวมเป็นหนึ่งเดียวกับ Snowboard ได้นี่เอง ผมคิดในใจ ยิ้ม! กูเพิ่งจะเคยได้มาเล่น Snowboard ครั้งแรกเอง จะให้เล่นเป็นเลยหรา...
 
           สรุป ผมใช้เวลาประมาณสามชั่วโมงกว่าจะลงมาถึงตีนภูเขาได้ สภาพไม่ต้องพูดถึง เหงื่อแตกไปทั้งตัว นี่ขนาดหนาวอย่างนี้นะ ก็มันล้มลุกคลุกคลานไม่รู้กี่รอบ ผมลากร่างกายที่น่วมกลับมาที่ K-1 Lodge  ตอนนั้นทุกคนกินข้าวกลางวันจะเสร็จกันแล้ว
‘เก่งนะเนี่ย แป๊ปเดียวลงมาถึงตรงนี้ได้’ พี่ยวดทักเสียงดัง ผมได้แต่ตอบไปในใจ ‘ไม่แป๊ปล่ะพี่ นี่จะบ่ายสองแล้ว หิวข้าวสัส!’ พี่บางคนก็บอกว่า ผมมีพรสวรรค์นะ สมัยพี่มาเล่นครั้งแรก ทั้งวันยังลงมาไม่ถึงข้างล่างเลย ผมได้แต่คิดในใจ ‘แหม่ เชียร์กูจัง! 555’

           ช่วงบ่ายพี่ยวดก็ถ่ายทอดกระบวนท่าที่สอง นั่นก็คือ เบรกหน้า แปลว่าแค่ทำตรงกันข้ามกับเบรกหลัง คือ เป็นการหันหลังแล้วเบรกลงจากยอดเขา อารมณ์เหมือนเอานิ้วเท้าจิ้มเข้าไปที่ภูเขา ให้แผ่นไม้กระดานขูดกับหิมะลงไปเรื่อยๆ
 
 
           “ยูเบรกหน้าลงไปเรื่อยนะ เจอกันที่ K-1” พี่ยวดบอกพร้อมกับพุ่งไปอย่างไม่รอช้าอีกครั้ง ภาพจำเหมือนตอนเช้ากลับมาอีกแล้ว โชคดีที่ผมพอเป็นคนมีพื้นฐานทางด้านกีฬา เมื่อรวมกับความอึดและลูกบ้า อยากจะเล่นเป็นเร็วๆ จะได้เท่ห์เหมือนกับคนอื่นเขา ก็ได้แต่บอกตัวเองว่า สู้ตาย!
ถ้าการเบรกหลัง คือ การหันหน้าลงเขา เวลาจะล้ม ก้นก็จะกระแทกหิมะแบบไม่สูงมาก แต่พอเป็นเบรกหน้าซึ่งเป็นการหันหลังลง เวลาล้ม ระยะของก้นที่กระแทกกับภูเขาก็จะสูงกว่าเดิม แล้วระยะของความสูงที่เพิ่มขึ้น ก็ส่งผลให้อัตราความเจ็บปวดนั้นเพิ่มขึ้น ซ้ำยังมีตัวแปรที่วัดค่าไม่ได้อย่างความอดทนของผนังก้น ที่บอกได้เลยว่าตอนนี้ ‘ระทวยมาก!’ สนับเข่าที่พี่ยวดให้ยืมมา ผมแทบจะถอดเอามายัดใส่ตูดแทน!

           ’ปล่อยมันให้ล้มบ้างก็ได้ ปล่อยมันให้แพ้บ้างก็ได้ ชนะนั้นมันคงไม่ยิ่งใหญ่ ถ้าคำว่าแพร๊.....’ ผมนั่งร้องเพลงของพี่บอย โกสิยพงษ์ ขณะที่พยายามเอาตูดแช่หิมะไว้ สภาพเหมือนเด็กทารกเพิ่งเริ่มหัดเดิน ล้มลุกๆ จนขา จนเข่ามันล้าไปหมด และที่สำคัญ ก้นกบของผมก็แสบเหมือนโดนใครทะลวงประตูหลังโดยไม่ใช้ KY GEL!

           ทั้งทริปนั้น ผมมีโอกาสลงเขาวันละแค่ 2-3 รอบเท่านั้น เป็นคนที่เล่นได้ไม่คุ้มที่สุดของทริป และที่สาหัสคือ ไม่สามารถนอนหงายได้เกือบสัปดาห์ เพราะแผลถลอกที่ช่องตูด!

           จากทริป ผมก็กลายร่างเป็นสมาชิกถาวรของ Gang Snowboard ที่ภายหลัง สถาปนาชื่อว่า Thai Rider กลุ่มนี้ก็ยังคงวนเวียนกับกีฬาฤดูหนาวตลอด สมาชิกเก่าบ้างกลับไทย บ้างก็แขว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่