เรื่องมีอยู่ว่าผมเจอแฟนเมื่อหกปีก่อนตอนผมอายุ 30 ปี ทำงานออฟฟิศงานค่อนข้างดีในบริษัทที่มีสาขาใหญ่อยู่ในยุโรป และแฟนผมอายุ 24 ปีตอนนั้นเรียนอยู่ที่มหาลัยชื่อดังทางภาคเหนือ ครอบครัวผมเชื้อสายจีน ส่วนแฟนเป็นคนทางเหนือ ได้คุยกันประมาณครึ่งปี ตอนที่คบกันพ่อแม่ก็รู้แล้วก็คิดว่าดี แล้วเพราะก็อยากให้ผมมีครอบครัว
ทางพ่อแม่ผมได้ไปเที่ยวต่างจังหวัดกับแม่แฟนทริปนึง พ่อแม่ผมบอกว่าแม่แฟนไม่ค่อยพูดคุยกับเขาเท่าไหร่ จะให้เพื่อนของแม่แฟนมาคุยด้วย
พอดีแฟนต้องมาเรียนต่อในกทมเลยได้มาพักที่บ้านผมหลายเดือน ในระหว่างนี้พอพ่อแม่ได้ใกล้ชิดกับแฟน แล้วรู้สึกว่าแฟนไม่ค่อยสุงสิงหรือพูดคุยกับพ่อแม่ผมเลย เก็บตัวอยู่แต่ในห้องไม่ทักทาย ผมได้ลองถามแล้วเขาก็บอกว่าเรียนหนัก
ในระหว่างนี้ผมรู้สึกได้ว่าแฟนเหมือนจะมีปฎิกริยาเมื่อผมต้องการทำกิจกรรมอะไรกับครอบครัว เขาจะเหมือนมีอาการงอนๆ จนผมรู้สึกได้ แต่ผมก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่ เคยมีเหตุการณ์แม่เดินตามแฟนผมเข้าประตูแต่แฟนผมน่าจะไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้จับประตูไว้ให้ทำให้ประตูไปชนแม่ผม แม่บอกว่าแฟนผมไม่ยอมขอโทษ ผมคิดว่าแฟนผมน่าจะไม่ได้นึกว่าแม่จะตามเข้าไป แต่ก็หมายความว่าแฟนผมไม่ได้สนใจแม่ผมซึ่งผมก็รู้สึกไม่ค่อยโอเค แต่แม่ผมไม่โอเคมากๆ กับเรื่องนี้
ยังมีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อีกหลายอย่าง เช่นเวลาไปซื้อของ แฟนผมไม่เคยช่วยแม่ผมถือของเลย เวลามีอะไรก็ไม่ได้ปรึกษากับแม่ (แม่ชอบให้คำปรึกษากับคนทั่วไป)
อีกเรื่องหนึ่งคือแฟนผมจะอ่อนน้อมกับผู้คนอื่นๆ มาก แต่กับพ่อแม่ผมเขาจะทำเหมือนท่านไม่มีตัวตน ไม่เสนอความช่วยเหลือ ไม่ยิ้มแย้มทักทาย ตรงข้ามกับเวลาแม่เห็นเธอเวลาไปทำกิจกรรมต่างๆ นอกบ้าน
ส่วนตัวผมเป็นคนที่มีความตั้งใจที่จะอยู่กับพ่อแม่ในบ้านเดียวกันและเลี้ยงดูท่านไปตลอด จึงอยากจะได้ภรรยาที่เข้ากับพ่อแม่ได้ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคือพ่อแม่ต้องการให้ผมเลิกกับแฟนผมคนนี้ ผมไม่มีทางเลือกก็ต้องทำและพยายามมูฟออน
ผมยังนึกถึงแฟนของผมอยู่เสมอเพราะสิ่งที่เขาเป็นคือสิ่งที่ผมรู้สึกว่ามีความสุขเมื่ออยู่ด้วย คือแฟนผมจะเป็นคนที่จัดการเรื่องต่างๆ ได้เก่ง ในขณะที่ผมสามารถทำได้เช่นกันแต่ก็ไม่ได้ชอบทำเท่าไหร่
ในระหว่างที่ผมเลิกกับเธอ (ในสายตาของพ่อแม่) ผมก็ยังหาโอกาสที่จะไปเที่ยวกับแฟนคนเดิมของผม และมีอยู่ช่วงหนึ่งเธอได้ย้ายมาอยู่หอเดียวกับผมก่อนช่วงโควิค ในช่วงโควิด ผมต้องไปอยู่หอตลอดเนื่องจากกลัวว่าจะนำโรคมาติดพ่อแม่ที่บ้าน แฟนผมก็มาอยู่ด้วยตลอด ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่ผมมีความสุขมาก ผมรู้สึกว่าเธอเป็นคนที่มีสิ่งที่ผมไม่มี และผมก็สามารถให้สิ่งที่เธอต้องการได้
เมื่อโควิดจบลง ผมต้องกลับบ้าน เราก็ต้องแยกจากกันอีก ผมรู้สึกว่าคิดถึงเธอมาก ตอนนี้ก็เป็นเวลาประมาณห้าปีหลังจากที่ผมได้เลิกกับเธอ(ในสายตาของพ่อแม่) ผมได้คุยกับแฟนผมว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงได้มีปัญหากับพ่อแม่ผม และไม่ค่อยพูดคุยกับพวกเขา เธอบอกว่าช่วงนั้นเรียนหนัก และรู้สึกไม่อยากรบกวนความเป็นส่วนตัวของพ่อแม่ผม ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับที่พ่อแม่ผมต้องการให้สะใภ้มาช่วยดูแลในบ้าน ส่วนเรื่องแม่แฟนผมและแม่ผมที่ไม่ค่อยคุยกัน แฟนผมบอกว่าเธอไม่คิดว่ามีอะไร
ผมได้ลองคุยกับแม่ของผม ว่ามีโอกาสที่จะให้อภัยแฟนของผมได้ไหม แม่ผมยังรู้สึกไม่ดีกับเธออยู่และบอกว่าไม่สามรถอภัยให้ได้ แม่ยังกังวลว่าแม่ของแฟนอาจจะบงการแฟนอยู่ด้วย (แม่ผมรู้สึกไม่ดีกับแม่แฟนผมมากจากตอนที่ไปเที่ยวด้วยกันครั้งนั้น)
ผมรู้สึกว่าผมยังไม่พร้อมที่จะมูฟออน และยังไม่เห็นเหตุผลที่แม่ผมไม่ชอบแฟนและแม่ของเธอชัดเจนเท่าไหร่
จึงมีคำถามให้ช่วยวิเคราะห์และแสดงความคิดเห็นว่า
1.ทำไมแฟนถึงมีกริยากับพ่อแม่ผมต่างจากที่ทำจากคนอื่น
2. ทำไมแม่แฟนถึงไม่ค่อยคุยกับแม่ผม
3. ผมควรจะไปต่อกับแฟนของผมหรือไม่
4. เรื่องที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นเรื่องปกติไหม
5. โดยสรุป ผมควรจะทำอย่างไรต่อไป
นี่เป็นกระทู้แรกอาจจะเขียนไม่ค่อยดี มีส่วนใหนไม่ชัดเจนควรจะเพิ่มข้อมูลช่วยแนะนำด้วยนะครับ
พ่อแม่ผมไม่ชอบแฟนผมมากๆ เลยอยากขอคำปรึกษา
ทางพ่อแม่ผมได้ไปเที่ยวต่างจังหวัดกับแม่แฟนทริปนึง พ่อแม่ผมบอกว่าแม่แฟนไม่ค่อยพูดคุยกับเขาเท่าไหร่ จะให้เพื่อนของแม่แฟนมาคุยด้วย
พอดีแฟนต้องมาเรียนต่อในกทมเลยได้มาพักที่บ้านผมหลายเดือน ในระหว่างนี้พอพ่อแม่ได้ใกล้ชิดกับแฟน แล้วรู้สึกว่าแฟนไม่ค่อยสุงสิงหรือพูดคุยกับพ่อแม่ผมเลย เก็บตัวอยู่แต่ในห้องไม่ทักทาย ผมได้ลองถามแล้วเขาก็บอกว่าเรียนหนัก
ในระหว่างนี้ผมรู้สึกได้ว่าแฟนเหมือนจะมีปฎิกริยาเมื่อผมต้องการทำกิจกรรมอะไรกับครอบครัว เขาจะเหมือนมีอาการงอนๆ จนผมรู้สึกได้ แต่ผมก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่ เคยมีเหตุการณ์แม่เดินตามแฟนผมเข้าประตูแต่แฟนผมน่าจะไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้จับประตูไว้ให้ทำให้ประตูไปชนแม่ผม แม่บอกว่าแฟนผมไม่ยอมขอโทษ ผมคิดว่าแฟนผมน่าจะไม่ได้นึกว่าแม่จะตามเข้าไป แต่ก็หมายความว่าแฟนผมไม่ได้สนใจแม่ผมซึ่งผมก็รู้สึกไม่ค่อยโอเค แต่แม่ผมไม่โอเคมากๆ กับเรื่องนี้
ยังมีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อีกหลายอย่าง เช่นเวลาไปซื้อของ แฟนผมไม่เคยช่วยแม่ผมถือของเลย เวลามีอะไรก็ไม่ได้ปรึกษากับแม่ (แม่ชอบให้คำปรึกษากับคนทั่วไป)
อีกเรื่องหนึ่งคือแฟนผมจะอ่อนน้อมกับผู้คนอื่นๆ มาก แต่กับพ่อแม่ผมเขาจะทำเหมือนท่านไม่มีตัวตน ไม่เสนอความช่วยเหลือ ไม่ยิ้มแย้มทักทาย ตรงข้ามกับเวลาแม่เห็นเธอเวลาไปทำกิจกรรมต่างๆ นอกบ้าน
ส่วนตัวผมเป็นคนที่มีความตั้งใจที่จะอยู่กับพ่อแม่ในบ้านเดียวกันและเลี้ยงดูท่านไปตลอด จึงอยากจะได้ภรรยาที่เข้ากับพ่อแม่ได้ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคือพ่อแม่ต้องการให้ผมเลิกกับแฟนผมคนนี้ ผมไม่มีทางเลือกก็ต้องทำและพยายามมูฟออน
ผมยังนึกถึงแฟนของผมอยู่เสมอเพราะสิ่งที่เขาเป็นคือสิ่งที่ผมรู้สึกว่ามีความสุขเมื่ออยู่ด้วย คือแฟนผมจะเป็นคนที่จัดการเรื่องต่างๆ ได้เก่ง ในขณะที่ผมสามารถทำได้เช่นกันแต่ก็ไม่ได้ชอบทำเท่าไหร่
ในระหว่างที่ผมเลิกกับเธอ (ในสายตาของพ่อแม่) ผมก็ยังหาโอกาสที่จะไปเที่ยวกับแฟนคนเดิมของผม และมีอยู่ช่วงหนึ่งเธอได้ย้ายมาอยู่หอเดียวกับผมก่อนช่วงโควิค ในช่วงโควิด ผมต้องไปอยู่หอตลอดเนื่องจากกลัวว่าจะนำโรคมาติดพ่อแม่ที่บ้าน แฟนผมก็มาอยู่ด้วยตลอด ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่ผมมีความสุขมาก ผมรู้สึกว่าเธอเป็นคนที่มีสิ่งที่ผมไม่มี และผมก็สามารถให้สิ่งที่เธอต้องการได้
เมื่อโควิดจบลง ผมต้องกลับบ้าน เราก็ต้องแยกจากกันอีก ผมรู้สึกว่าคิดถึงเธอมาก ตอนนี้ก็เป็นเวลาประมาณห้าปีหลังจากที่ผมได้เลิกกับเธอ(ในสายตาของพ่อแม่) ผมได้คุยกับแฟนผมว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงได้มีปัญหากับพ่อแม่ผม และไม่ค่อยพูดคุยกับพวกเขา เธอบอกว่าช่วงนั้นเรียนหนัก และรู้สึกไม่อยากรบกวนความเป็นส่วนตัวของพ่อแม่ผม ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับที่พ่อแม่ผมต้องการให้สะใภ้มาช่วยดูแลในบ้าน ส่วนเรื่องแม่แฟนผมและแม่ผมที่ไม่ค่อยคุยกัน แฟนผมบอกว่าเธอไม่คิดว่ามีอะไร
ผมได้ลองคุยกับแม่ของผม ว่ามีโอกาสที่จะให้อภัยแฟนของผมได้ไหม แม่ผมยังรู้สึกไม่ดีกับเธออยู่และบอกว่าไม่สามรถอภัยให้ได้ แม่ยังกังวลว่าแม่ของแฟนอาจจะบงการแฟนอยู่ด้วย (แม่ผมรู้สึกไม่ดีกับแม่แฟนผมมากจากตอนที่ไปเที่ยวด้วยกันครั้งนั้น)
ผมรู้สึกว่าผมยังไม่พร้อมที่จะมูฟออน และยังไม่เห็นเหตุผลที่แม่ผมไม่ชอบแฟนและแม่ของเธอชัดเจนเท่าไหร่
จึงมีคำถามให้ช่วยวิเคราะห์และแสดงความคิดเห็นว่า
1.ทำไมแฟนถึงมีกริยากับพ่อแม่ผมต่างจากที่ทำจากคนอื่น
2. ทำไมแม่แฟนถึงไม่ค่อยคุยกับแม่ผม
3. ผมควรจะไปต่อกับแฟนของผมหรือไม่
4. เรื่องที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นเรื่องปกติไหม
5. โดยสรุป ผมควรจะทำอย่างไรต่อไป
นี่เป็นกระทู้แรกอาจจะเขียนไม่ค่อยดี มีส่วนใหนไม่ชัดเจนควรจะเพิ่มข้อมูลช่วยแนะนำด้วยนะครับ