19 มกราคม 2566 แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ สมาชิกวุฒิสภา เผยแพร่ข้อเขียนผ่านอินสตาแกรม โดยระบุว่า
“ต้องกลับมาเขียนเรื่องนี้อีกครั้งเพราะความนิ่งเฉยของนายกต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในหลายหน่วยงาน
กรณีตู้ห่าวที่พลิกให้เห็นขยะใต้พรมตั้งแต่การแทรกซึมยึดแผ่นดินของคนต่างด้าวด้วยการทุจริตและด้วยด้วยความอ่อนแอของคนไทยทุกภาคส่วน เดิมทีคนพม่ายึดธุรกิจแผงลอยในตลาด และกิจการหลายอย่าง เราคุมการเคลื่อนย้ายแรงงานที่ทะลักเข้ามาไม่ได้ ตามมาด้วยเรื่องคนจีนที่ก็ทะลักเข้ามาพร้อมการแทรกที่จุดโหว่ของระบบราชการไทยและคนไทย
กรณีการจ่ายส่วยในการเลื่อนตำแหน่งที่รู้กันว่ามีในหลายหน่วยงาน ขนาดจับเงินสดได้จำนวนมหาศาลยังทำอะไรไม่ได้
กรณีการใช้อำนาจเข้าตรวจค้นแล้วยักยอกเงินของกลางซึ่งมีมานานหัวหน้าล้วนเอาหูไปนาเอาตาไปไร่หรือร่วมกินด้วยเลย
กรณีการแก้ปัญหาในระบบราชการด้วยการย้ายไปแขวน ย้ายสลับที่ไม่เคยมีระบบให้สังคมได้ติดตามมีส่วนร่วม เมื่อมีข่าวอื่นแทรก ผู้คนเริ่มลืมคนเหล่านี้ก็กลับเข้าสู่ตำแหน่ง แต่อะไรก็ไม่เท่ากับย้ายคนสีเทาไปไว้ในหน่วยงานอื่น ทำให้บุคคลากรดีๆต้องเสียขวัญเสียกำลังใจเพราะเป็นที่พักรอเวลา
ผู้คนในปัจจุบันไม่รักษาและไม่ศรัทธาธรรม ถูกพลังความชั่วฉุดให้ทำชั่วได้ง่าย รวมทั้งคนที่ไม่ได้ร่วมทำชั่วต่างเกรงและกลัวที่ออกมาจัดการหรือต่อสู้ กลายเป็นฝ่ายหลบลี้หนีภัย ล้วนทำให้มีการแผ่อำนาจความชั่วร้ายเต็มไปหมด
เสียดายที่ผู้นำตั้งใจเดินต่อในสายการเมืองจึงเงียบต่อสิ่งเลวร้ายเหล่านี้
หมอยังคงรักษาความศรัทธาไว้อยู่ เพียงแต่มองหาแนวร่วม มองหาทางออกไม่เจอ ไม่หมดใจ ไม่ถอดใจแน่นอน ยามนี้ที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ที่ได้ปลุกปั้นตามที่รัฐธรรมนูญฉบับ2540 กำหนดกำลังเริ่มหันหัวเรือเดินหน้าได้ใหม่ หลังจากที่การเมืองต้องการยุบ แต่เมื่อยุบไม่สำเร็จก็ใช้เป็นที่เอาคนมารอขึ้นหน่วยงานอื่น แต่ไม่หมือนคราวนี้ที่ย้ายคนมีปัญหาจากหน่วยอื่นมาพักไว้ นอกจากจะไม่แก้ปัญหาเรื่องทุจริตคอรัปชั่นแล้ว ยังเป็นการทำลายกำลังใจคนดีๆ
คำแนะนำของหมอคือ ถ้าเราไม่ลุกขึ้นสู้เอง รอดูคนอื่น ก็จงอย่าหวังว่าจะมีความเปลี่ยนแปลง หมอใช้แนวทางเก็บเศษแก้วแตกตลอดชีวิต สิ่งที่เกิดขึ้นคือเศษแก้วที่ทุกคนต้องช่วยกันเก็บออกและจัดการคนที่โยนแก้วทิ้งเรี่ยราด
ที่ผ่านมาคนตัวเล็กก็เปลี่ยนโลกได้ ต้องสู้ ต้องกล้า”
อ่านเพิ่มต่ออีกได้ในเวปแนวหน้า
https://www.naewna.com/politic/705266
หมอพรทิพย์ เขียนถึงบิ้กตู่
“ต้องกลับมาเขียนเรื่องนี้อีกครั้งเพราะความนิ่งเฉยของนายกต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในหลายหน่วยงาน
กรณีตู้ห่าวที่พลิกให้เห็นขยะใต้พรมตั้งแต่การแทรกซึมยึดแผ่นดินของคนต่างด้าวด้วยการทุจริตและด้วยด้วยความอ่อนแอของคนไทยทุกภาคส่วน เดิมทีคนพม่ายึดธุรกิจแผงลอยในตลาด และกิจการหลายอย่าง เราคุมการเคลื่อนย้ายแรงงานที่ทะลักเข้ามาไม่ได้ ตามมาด้วยเรื่องคนจีนที่ก็ทะลักเข้ามาพร้อมการแทรกที่จุดโหว่ของระบบราชการไทยและคนไทย
กรณีการจ่ายส่วยในการเลื่อนตำแหน่งที่รู้กันว่ามีในหลายหน่วยงาน ขนาดจับเงินสดได้จำนวนมหาศาลยังทำอะไรไม่ได้
กรณีการใช้อำนาจเข้าตรวจค้นแล้วยักยอกเงินของกลางซึ่งมีมานานหัวหน้าล้วนเอาหูไปนาเอาตาไปไร่หรือร่วมกินด้วยเลย
กรณีการแก้ปัญหาในระบบราชการด้วยการย้ายไปแขวน ย้ายสลับที่ไม่เคยมีระบบให้สังคมได้ติดตามมีส่วนร่วม เมื่อมีข่าวอื่นแทรก ผู้คนเริ่มลืมคนเหล่านี้ก็กลับเข้าสู่ตำแหน่ง แต่อะไรก็ไม่เท่ากับย้ายคนสีเทาไปไว้ในหน่วยงานอื่น ทำให้บุคคลากรดีๆต้องเสียขวัญเสียกำลังใจเพราะเป็นที่พักรอเวลา
ผู้คนในปัจจุบันไม่รักษาและไม่ศรัทธาธรรม ถูกพลังความชั่วฉุดให้ทำชั่วได้ง่าย รวมทั้งคนที่ไม่ได้ร่วมทำชั่วต่างเกรงและกลัวที่ออกมาจัดการหรือต่อสู้ กลายเป็นฝ่ายหลบลี้หนีภัย ล้วนทำให้มีการแผ่อำนาจความชั่วร้ายเต็มไปหมด
เสียดายที่ผู้นำตั้งใจเดินต่อในสายการเมืองจึงเงียบต่อสิ่งเลวร้ายเหล่านี้
หมอยังคงรักษาความศรัทธาไว้อยู่ เพียงแต่มองหาแนวร่วม มองหาทางออกไม่เจอ ไม่หมดใจ ไม่ถอดใจแน่นอน ยามนี้ที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ที่ได้ปลุกปั้นตามที่รัฐธรรมนูญฉบับ2540 กำหนดกำลังเริ่มหันหัวเรือเดินหน้าได้ใหม่ หลังจากที่การเมืองต้องการยุบ แต่เมื่อยุบไม่สำเร็จก็ใช้เป็นที่เอาคนมารอขึ้นหน่วยงานอื่น แต่ไม่หมือนคราวนี้ที่ย้ายคนมีปัญหาจากหน่วยอื่นมาพักไว้ นอกจากจะไม่แก้ปัญหาเรื่องทุจริตคอรัปชั่นแล้ว ยังเป็นการทำลายกำลังใจคนดีๆ
คำแนะนำของหมอคือ ถ้าเราไม่ลุกขึ้นสู้เอง รอดูคนอื่น ก็จงอย่าหวังว่าจะมีความเปลี่ยนแปลง หมอใช้แนวทางเก็บเศษแก้วแตกตลอดชีวิต สิ่งที่เกิดขึ้นคือเศษแก้วที่ทุกคนต้องช่วยกันเก็บออกและจัดการคนที่โยนแก้วทิ้งเรี่ยราด
ที่ผ่านมาคนตัวเล็กก็เปลี่ยนโลกได้ ต้องสู้ ต้องกล้า”
อ่านเพิ่มต่ออีกได้ในเวปแนวหน้า
https://www.naewna.com/politic/705266