ถ้าต้องเลิกกับสามี จะบอกหรือพูดกับลูกยังไงดี

ขอคำแนะนำหน่อยค่ะ เรากับสามีไปต่อกันไม่ได้แล้วจริงๆ ไม่ได้มีเรื่องนอกใจอะไรนะคะ แต่หลายๆอย่างที่ต่างคนต่างหมดใจจากกัน เราสองคนคบกันมา 7 ปี แต่งงานมีลูก 2 คน คนโต 3 ขวบ คนที่สองตอนนี้ยังอยู่ในท้อง 7 เดือนค่ะ ประเด็นเลยคือ เราตัดสินใจอยากแยกกันอยู่กับสามี แต่ห่วงความรู้สึกลูกมาก ลูกเราพูดได้แล้ว เราเคยลองคุยกับลูกแบบยิ้มๆขำๆเพื่อลองดูความคิดเห็นลูก เราถามลูกว่า "ถ้าแม่ให้ป๊ากลับไปอยู่บ้านปู่ได้มั้ยคะ" ลูกบอกไม่เอา จะอยู่กับป๊ากับแม่ เราเลยลองถาม ถ้าแม่กับป๊าแยกห้องกันนอนได้มั้ย ลูกบอก ไม่ได้ป๊าต้องนอนตรงนี้สิ น้องตอบตามประสาเด็กที่เคยเห็นทุกวันๆ ว่าพ่อต้องอยู่นี่นอนตรงนี้ ตอนนี้เราเลยต้องอยู่บ้านเดียวกันต่อ แต่ไม่คุยกัน หรือถ้าจำเป็นต้องคุยกันก็ไมเกิน 3 คำ ต่อวัน (คุยเรื่องลูก)  ลูกเราติดพ่อติดแม่มาก เราควรทำไงดีคะ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 19
จะขอเล่าเรื่องของผมบ้างแล้วกันนะครับ(อาจจะยาวหน่อย)...

สิ่งที่ใครๆก็คิดว่าเลิกกันแล้วจะจบ จริงๆแล้ว มันเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องวุ่นวายต่างหาก...

จบความสัมพันธ์ 10 ปี ลูก 8 ขวบ ไม่ได้จดทะเบียนสมรส ไม่ได้จดทะเบียนรับรองบุตร...

ตกลงกันว่า จ - พฤ จะอยู่กับแม่เค้า ศ - อา จะอยู่กับผม โดยผมไปรับส่งโรงเรียนทุกวัน (จุดเริ่มต้นของเจ็กลากไปไทยลากมา) ต้องเตรียมชุดนักเรียนวุ่นวายไปหมด เสื้อผ้าชุดนอนของกินของใช้ซื้อใหม่เพิ่มทั้งหมดอีก 1 ชุดเพื่อความสะดวกเวลารับมา...

ต่อมาไม่นานทางแม่เค้ามีแฟนใหม่ เริ่มมีคนหัวหมอมาเป่าประสาท ไม่ได้จดทะเบียนสมรส ไม่ได้จดทะเบียนรับรองบุตร บุตรเป็นสิทธิ์ของฝ่ายแม่ฝ่ายเดียว พ่อไม่มีสิทธิ์ เพราะงั้นไม่ต้องไปสนใจพ่อเด็ก ไม่ต้องให้มายุ่งเกี่ยวกับเด็กอีก...ก็เริ่มไม่พอใจกัน เริ่มงัดเรื่องลูกมาทะเลาะกัน ลงเอยด้วยการแจ้งความ และ ลามไปถึงจ้างทนายฟ้องผม ให้ส่งคืนบุตร(ทั้งๆที่ทำตามข้อตกลงที่ให้ไว้ตลอด) หลังจากได้รับหมายศาล ผมก็หยุดการไปรับไปส่งรอจนวันไกล่เกลี่ยที่ศาลโดยผู้พิพากษาสมทบ โดยผมไม่มีการจ้างทนายเพื่อต่อสู้ใดๆทั้งสิ้น เขียนคำให้การไปส่งศาลเองตามกำหนด 15 วัน เขียนแบบบ้านๆ ผิดๆถูกๆ ไม่ตรงตามแบบฟอร์ม และแก้ไขแบบฟอร์มให้ใหม่โดยเจ้าหน้าที่ศาล และท่านลงรับคำให้การ สรุปความว่า ให้ผมมารับลูกไปอยู่ด้วยวัน ศ - อา โดยต้องขออนุญาต(ฟ้องทำไมจบแบบเดิมที่เคยตกลงกันไว้)...จบยกที่ 1...

ตามสัญญาประนีประนอม ผมจึงไปรับลูกในวันศุกร์ และได้รับคำสั่งจากแม่เด็กว่า ต้องพามาส่งในวันเสาร์จะเอาไม่เอา โดยอ้างเหตุผลว่าต้องขออนุญาต ซึ่งเขาจะไม่อนุญาตก็ได้ ลงเอยที่ทะเลาะกันหน้าบ้านของแม่เด็ก โดยลูกผมได้ยินทุกคำ ผมจากมาโดยไม่ได้รับลูกมาด้วย จบลงด้วยคำพูดว่า "ได้ แล้วเจอกัน"...

วันจันทร์ ผมไปรับลูกที่โรงเรียน งัดกันตลอดที่โรงเรียน เริ่มจากแฟนเก่าที่มากับแฟนใหม่ จนผมก็รับลูกไป และพาไปส่งบ้านแม่เด็ก วันต่อมา งัดกับพี่เมียคนที่1 อีกวันงัดกับพี่เมียคนที่ 2 เสียงดังลั่นโรงเรียนในเวลาเลิกเรียนที่มีนักเรียนเป็นพันคน และผมก็รับลูกไปทุกครั้งและไปส่งบ้านแม่เด็กทุกครั้ง...

จบวันที่ 3 ด้วยยกขบวนไปแจ้งความ โดยตำรวจไม่ได้ทำอะไร และ จบลงที่หมายศาล(อีกครั้ง)ว่าผมผิดสัญญาประนีประนอม เมื่อเรื่องถึงศาลอีกครั้ง ผมหยุดการไปรับไปส่งอีกครั้ง รอจนวันนัดจากสำนักคุมประฟฤติ เพื่อสอบปากคำเพิ่มเติม(โดยไม่รู้เลยว่าลูกถูกจับย้ายโรงเรียนไปแล้ว)...
ถึงวันนัดสำนักคุมประพฤติ คำถามเเรกที่ได้ยิน "คุณไปผิดสัญญาประนีประนอมเขาทำไม" จากนั้นเป็นผมคนเดียวที่ให้ข้อมูล เกี่ยวกับลูกทั้งหมด เช่นเด็กมีโรคประจำตัว ต้องรับยา แบบไหนปริมาณเท่าไหร่ สอนลูกยังไง พาไปเที่ยวไหนบ้าง มีแผนการสอนลูกวางอนาคตลูกว่ายังไง ตั้งแต่ 8.30 น. จนเที่ยงวัน โดยเจ้าหน้าที่นั่งฟัง จนสรุปเป็นเอกสารมาให้อ่าน และทิ้งท้ายไว้ว่าวันไปศาลต้องไปแต่เช้าเลยนะ ห้ามสาย เอาลูกมาอยู่กับคุณให้ได้นะ ฉันเอาใจช่วย...

เฝ้ารอวันนัดที่ศาล ระหว่างนี้ก็เฝ้าสืบว่าลูกย้ายโรงเรียนไปเรียนที่ไหน พอสืบทราบว่าย้ายไปไหน ก็โทรสอบถามทางโรงเรียนว่าเด็กได้ย้ายไปเรียนที่นั่นหรือไม่ คำตอบที่ได้รับคือ ไม่มีเด็กชื่อนี้เรียนที่นี่(สุดจริง ยอมเสียชื่อโรงเรียน เพื่อปกป้องคนคนนึง ซึ่งก็ไม่ได้รู้ตื้นลึกหนาบางอะไรมาก่อน) จากนั้นผมก็วางแผนต่อเนื่องหากวันนัดไปศาลไม่ได้ความอะไร ผมอาจมีงัดกันที่โรงเรียนใหม่อีกรอบ และสอบถามผอ.โรงเรียนเดิมว่าหากเด็กย้ายกลับมาทางโรงเรียนจะยอมให้ย้ายกลับมามั้ย โดยได้รับคำตอบว่ายินดีรับกลับตลอดเวลา...

ถึงวันนัดศาล ทะเลาะกันบนบัลลังก์อีก โดยเด็กก็มาด้วย พอลูกเห็นผม ก็วิ่งเข้ามาหาผม มาให้ผมกอดตลอดเวลาที่อยู่ในห้องพิจารณาคดี (ความเจ็บปวดที่เห็นลูกคิดถึง และ เจ็บปวดจากความคิดถึงลูก จนกลั้นน้ำตาไม่ไหว) สรุป เด็กย้ายโรงเรียนไปแล้ว และอยู่คนละจังหวัด ไม่อยากให้ย้ายกลับไปกลับมา เอาเป็นว่า ทำตามสัญญาประนีประนอมนี้ไปก่อนจนกว่าจะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น ความว่า ให้พ่อเด็กไปรับได้วันเสาร์เว้นเสาร์และมาส่งวันอาทิตย์ ช่วงปิดเทอม ให้มารับไปอยู่ด้วยติดต่อกัน 7 วัน และ รับไปอยู่ด้วยอีกในวันศ - อา จนกว่าจะเปิดเทอม และทิ้งท้ายไว้ด้วยว่าต้องไม่ปล่อยคนรักใหม่ของแม่เด็กไปรับเด็กโดยลำพัง (ประเด็นเกิดจากผมขอ และผู้พิพากษาท่านบอกว่ายังไงทางแม่เขารับผิดชอบ แต่ผมท้วงว่า ผมต้องการป้องกันเหตุผมไม่อยากให้เหตุเกิดแล้วไปแก้ไข) อีกฝ่ายโมโหจัดทันที เนื่องจากแม่เด็กขับรถไม่เป็น จึงกลายเป็นลำบากพวกหัวหมอแทนที่จะต้องขับรถไปรับไปส่งเด็กติดต่อกันทุกวัน...

หลายคนอาจมองว่าทำไมไม่ร้องให้จดทะเบียนรับรองบุตรไปด้วยเลย มันมีเหตุครับว่าจะต้องเจอเรียกค่าเลี้ยงดูแน่ๆ และเป็นไปตามคาด เมื่อส่งลูกย้ายโรงเรียน ไปเรียนโรงเรียนเอกชน ไหนจะค่าเทอม ไหนจะค่าเดินทาง ไหนจะค่าคนดูแล ค่ากินค่าอยู่ เดือนนึงมีหลักหลายหมื่น ค่าเดินทางจึงต้องลดลงโดยการนั่งรถไฟล่องไปรับในวันศุกร์ 5 โมงเย็น และรอขบวนขึ้น สามทุ่ม เพื่อกลับบ้าน รอเปล่าๆที่สถานีรถไฟ สี่ชั่วโมง (สงสารลูกครั้งต่อมา) และก็ขอค่าเลี้ยงดูเป็นรายเดือน ผมเลยไล่ให้ไปฟ้องศาลอีกรอบเพื่อเป็นหลักฐานว่ามีการช่วยค่าเลี้ยงดู แต่เขาก็ไม่ได้ฟ้อง (อาจจะเบื่อไปศาลแล้ว เพราะสุดท้ายคนที่บอกจะช่วย ก็ช่วยได้แค่ครั้งคราว ไม่ได้มาช่วยตลอด)...

เหตุการณ์ผ่านไป 1 ปี จนลูกทนไม่ไหว เอ่ยปากบอกผมเมื่อไหร่ป๊าจะฟ้อง มีอะไรทำไมต้องฟ้อง ไม่อยากเรียนที่แล้ว อยากกลับมาเรียนที่บ้าน เรื่องแค่นี้เอง ก็บอกแม่สิ บอกแล้ว แม่ว่าไง แม่ว่าเรียนที่นั่นแหละดีแล้ว งั้นเดี๋ยวป๊าไปบอกแม่เองก็ได้ (ประมาณว่าผมไม่ยุ่งกับลูกก็ได้แค่ขอให้ลูกกลับมาเรียนที่บ้าน)(สงสารลูกครั้งต่อๆมา(ไม่รู้เป็นครั้งที่เท่าไหร่ละ))...
สักพักก็เอ่ยขึ้นมาอีกว่า โดนแกล้งด้วย (คิดว่าหลานๆคงเล่นกัน) ใครแกล้ง ไอ้นั่นน่ะ แล้วทำไมไม่บอกแม่ บอกแล้ว แล้วแม่ทำไง แม่ก็ได้แค่ด่า ด่าแล้วมันหยุดมั้ยล่ะ ไม่หยุด มันแกล้งกี่ครั้งละ ทุกวัน อือพรุ่งนี้ป๊าไปศาล...

ไปศาลท่านผู้พิพากษาก็ยังไม่เชื่อ ให้ผมเขียนคำร้องไว้ ผมเลยแจ้งว่าผมขอพาเด็กมาเล่าให้ฟังเองเลยดีกว่า รุ่งขึ้นพาลูกมา ท่านให้ผมไปรอไกลๆเลย เดี๋ยวเด็กกลัวพ่อ สรุปความว่า ให้ย้ายโรงเรียนกลับมาตามคำร้องขอของบุตร ร้องจดทะเบียนรับรองบุตรให้เรียบร้อย เด็กไปอยู่กับพ่อ โดยตกลงกับแม่เด็กกันเอง (สงสารลูกครั้งที่เท่าไหร่แล้วเนี่ย) แถมยังต้องจัดการความรู้สึกเด็กที่จะต้องห่างจากแม่อีก และต้องจัดการให้เสร็จสรรพ โดยผมจะกำหนดทุกอย่าง แบ่งเวลาให้ ป้องกันปัญหาที่เกิดตามหลังอีกหากใครผิดคำพูดอะไรอีก...

จนวันนี้ ลูกผม 15 ละ ผมก็ยังต้องจัดเวลา แม่ลูกได้เจอกันคุยกัน ไปหาอะไรกินกัน บอกว่าแม่เขารักหนูนะ เขามาหาต้องไปอยู่กับเขา ไหนจะญาติๆอีก จะได้ไม่หาว่ากีดกัน ทั้งๆที่ลูกก็ไม่ได้อยากไป สงสารลูกครั้งที่เท่าไหร่แล้วเนี่ยตลอดระยะเวลา 7-8 ปี...

ทนไหวก็ทนก่อนเถอะครับ ต่างฝ่ายต่างก็รักลูก ฃว้ทนไม่ไหวจริงๆ จะเกิดอะไรก็ต้องเกิด...
ความคิดเห็นที่ 5
ไม่ต้องไปขอความเห็นจากลูกค่ะ

บอกแค่ว่า ป๊าต้องกลับไปดูแลปู่ย่า ถ้าว่างป๊าจะมาเยี่ยม

พอเค้าโต ค่อยอธิบายบอกเค้าไปเรื่อยๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่