Preparation
มัลดีฟส์เป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในช่วงกลางปี 2565 ที่เปิดรับนักท่องเที่ยวแบบไม่ต้องกักตัว ไม่ต้อง RT-PCR ไม่ต้อง ATK และไม่ต้องมี Vaccine VISA ขอแค่มีใบรับรองฉีดวัดซีน 2 เข็ม (เซฟจากแอพหม้อพร้อมก็ได้) ไม่จำกัดยี่ห้อวัคซีน หรือถึงแม้จะไม่ได้ฉีดวัคซีนเลยสักเข็มก็ยังสามารถเข้าได้ (แต่กรณีนี้ต้อง RT-PCR นะ) ผ่อนปรนสุดๆ ขนาดนี้ ก็เลยกลายเป็นจุดหมายปลายทางแรกของเราในการท่องเที่ยวแบบ New Normal
การเที่ยวมัลดีฟส์ จะเที่ยวให้แพงหรือถูกก็ได้ ถ้าอยากไฮโซก็เลือกพักรีสอร์ทกลางทะเล 4-5 ดาว ราคาเริ่มต้นสองหมื่นกว่าไปจนถึงหลักแสน ถ้าอยากประหยัดก็พักโรงแรม 2-3 ดาว ตาม Local Islands ค่าใช้จ่ายทั้งหมด (ไม่รวมตั๋วเครื่องบิน) สามารถคุมให้อยู่แค่หลักพันปลายๆ ถึงหมื่นต้นๆ ได้สบายๆ
แต่ช่วงโควิดแบบนี้ การจะไปตะลอนแบกเป้เที่ยว Local Islands ดูวิถีชีวิตคนท้องถิ่น ก็ดูจะมีความเสี่ยงสูงอยู่เหมือนกัน อีกอย่างการได้นอนบังกะโลที่ยื่นออกไปในทะเลของรีสอร์ทที่ได้สัมปทานไปสร้างแบบเหมาทั้งเกาะ ก็เป็นประสบการณ์ที่หาได้แต่ที่มัลดีฟส์เท่านั้น ก็เลยกัดฟันยอมจ่ายแพงหน่อยโดยเลือกพักเป็นรีสอร์ท 4 ดาว แบบ All-Inclusive (อาหาร 3 มื้อ + เครื่องดื่ม + แอลกอฮอล์)
เดินทางช่วงโควิดแบบนี้ แนะนำให้ซื้อประกันการเดินทางที่คุ้มครองถึงกรณีพบเชื้อโควิดก่อนเดินทางจนทำให้ทริปล่มด้วย โดยเราเลือกใช้บริการของ MSIG ที่มีระยะเวลาคุ้มครองก่อนเริ่มเดินทางตั้ง 2 เดือน แน่ะ (ไม่ได้ค่าโฆษณานะ 55)
การเดินทางจากสนามบินไปรีสอร์ท หรือ Local Islands ต่างๆ ถ้าอยู่ไม่ไกลก็จะนั่งเป็น Speed Boat แต่ถ้าไกลหน่อยอาจนั่งเป็นเครื่องบินน้ำ (Sea Plane) หรือเที่ยวบินภายในประเทศ แต่ถ้าอยากได้ประสบการณ์ของการมาเที่ยวมัลดีฟส์ให้มันถึงจริงๆ ก็ต้องลองโดยสารเครื่องบินน้ำดูสักครั้ง
มัลดีฟส์มี 2 ฤดู คือฤดูร้อน (พ.ย.-เม.ย.) ที่เป็นไฮซีซั่น กับฤดูฝน (พ.ค.-ต.ค.) ที่เป็นโลว์ซีซั่น ซึ่งราคารีสอร์ทในช่วงโลว์ซีซั่นจะถูกกว่า แต่ถึงจะขึ้นชื่อว่าเป็นฤดูฝน แต่ฝนฟ้าตามฤดูกาลของมัลดีฟส์จะตกเป็นช่วงสั้นๆ จึงถือเป็นประเทศที่เที่ยวได้ตลอดทั้งปี (ยกเว้นว่าโชคร้ายไปเจ๊อะเอาช่วงพายุเข้าพอดี) และแม้จะเป็นโลว์ซีซั่นของนักท่องเที่ยว แต่สำหรับคนรักการชมสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเลแล้ว ช่วงฤดูฝนที่คลื่นลมพัดพาแพลงตอนมาแบบนี้แหละเป็นช่วงที่มีโอกาสจะได้พบกับปลากระเบนราหู หรือ แมนต้าเรย์ ยิ่งถ้าโชคดีอาจได้เห็นเหล่าแมนต้ามารวมตัวกันนับสิบๆ ตัวเลยทีเดียว
สำหรับใครที่คิดว่าทะเลเมืองไทยก็ระดับโลกเหมือนกัน ไม่เห็นต้องถ่อไปถึงมัลดีฟส์เลย คือถ้าวัดกันที่ความสวยงาม แน่นอนว่าทะเลบ้านเราไม่แพ้ใครง่ายๆ อยู่แล้ว ยิ่งถ้าพูดถึงความงดงามของแนวปะการังแล้ว ว่ากันว่าของไทยเราเหนือกว่าที่มัลดีฟส์เสียอีก แต่สภาพภูมิประเทศของมัลดีฟส์ที่เกิดจากการทับถมของปะการังที่พอกตัวบนภูเขาไฟใต้ทะเลจนโผล่พ้นผืนน้ำกลายเป็นหมู่เกาะที่จับกลุ่มกันเป็นรูปวงแหวนที่ เรียกว่าอทอลล์ (Atoll) จำนวนหลายอทอลล์นั้น ก็เป็นภาพที่หาดูไม่ได้ในเมืองไทยแน่นอน และด้วยภูมิประเทศแบบนี้นี่เอง ทำให้รอบๆ แต่ละเกาะเต็มไปด้วยสัตว์น้ำนาๆ ชนิด ที่ว่ายมาทักทายถึงหน้าห้องพักกันเลยทีเดียว
เราเลือกพักที่ Dreamland The Unique Sea & Lake Resort / Spa รีสอร์ท 4 ดาว ตั้งอยู่ที่ Baa Atoll ใกล้กับอ่าวฮานิฟารู (Hanifaru Bay) ที่ Unesco กำหนดให้เป็นพื้นที่อนุรักษ์เนื่องจากเป็นแหล่งรวมตัวกันของเหล่าแมนต้าร์เรย์และฉลามวาฬ ซึ่งเป็นเป้าหมายของเราในทริปนี้
เลือกเดินทางในฤดูฝนแบบนี้ก็ทำใจไว้ประมาณนึงแล้วว่าอาจไม่ได้เห็นฟ้าสวยทะเลใสแบบในรูปที่เขาเอามาโปรโมทกัน แต่พอใกล้ๆ เดินทางเปิดดูพยากรณ์อากาศขึ้นเป็นรูปเมฆฝนกับฟ้าผ่าติดกันทุกวันตลอดทั้งทริปก็ชักหวั่นๆ เหมือนกัน
เกริ่นมาซะเยอะ ไปเริ่มเดินทางกันเลยดีกว่า
EP2 - ON THE WAY
EP3 - INTO THE BLUE
EP4 - FAREWELL
https://betweenthejourney.blogspot.com/
MALDIVES DREAMLAND EP1 - PREPARATION
มัลดีฟส์เป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในช่วงกลางปี 2565 ที่เปิดรับนักท่องเที่ยวแบบไม่ต้องกักตัว ไม่ต้อง RT-PCR ไม่ต้อง ATK และไม่ต้องมี Vaccine VISA ขอแค่มีใบรับรองฉีดวัดซีน 2 เข็ม (เซฟจากแอพหม้อพร้อมก็ได้) ไม่จำกัดยี่ห้อวัคซีน หรือถึงแม้จะไม่ได้ฉีดวัคซีนเลยสักเข็มก็ยังสามารถเข้าได้ (แต่กรณีนี้ต้อง RT-PCR นะ) ผ่อนปรนสุดๆ ขนาดนี้ ก็เลยกลายเป็นจุดหมายปลายทางแรกของเราในการท่องเที่ยวแบบ New Normal
การเที่ยวมัลดีฟส์ จะเที่ยวให้แพงหรือถูกก็ได้ ถ้าอยากไฮโซก็เลือกพักรีสอร์ทกลางทะเล 4-5 ดาว ราคาเริ่มต้นสองหมื่นกว่าไปจนถึงหลักแสน ถ้าอยากประหยัดก็พักโรงแรม 2-3 ดาว ตาม Local Islands ค่าใช้จ่ายทั้งหมด (ไม่รวมตั๋วเครื่องบิน) สามารถคุมให้อยู่แค่หลักพันปลายๆ ถึงหมื่นต้นๆ ได้สบายๆ
แต่ช่วงโควิดแบบนี้ การจะไปตะลอนแบกเป้เที่ยว Local Islands ดูวิถีชีวิตคนท้องถิ่น ก็ดูจะมีความเสี่ยงสูงอยู่เหมือนกัน อีกอย่างการได้นอนบังกะโลที่ยื่นออกไปในทะเลของรีสอร์ทที่ได้สัมปทานไปสร้างแบบเหมาทั้งเกาะ ก็เป็นประสบการณ์ที่หาได้แต่ที่มัลดีฟส์เท่านั้น ก็เลยกัดฟันยอมจ่ายแพงหน่อยโดยเลือกพักเป็นรีสอร์ท 4 ดาว แบบ All-Inclusive (อาหาร 3 มื้อ + เครื่องดื่ม + แอลกอฮอล์)
เดินทางช่วงโควิดแบบนี้ แนะนำให้ซื้อประกันการเดินทางที่คุ้มครองถึงกรณีพบเชื้อโควิดก่อนเดินทางจนทำให้ทริปล่มด้วย โดยเราเลือกใช้บริการของ MSIG ที่มีระยะเวลาคุ้มครองก่อนเริ่มเดินทางตั้ง 2 เดือน แน่ะ (ไม่ได้ค่าโฆษณานะ 55)
การเดินทางจากสนามบินไปรีสอร์ท หรือ Local Islands ต่างๆ ถ้าอยู่ไม่ไกลก็จะนั่งเป็น Speed Boat แต่ถ้าไกลหน่อยอาจนั่งเป็นเครื่องบินน้ำ (Sea Plane) หรือเที่ยวบินภายในประเทศ แต่ถ้าอยากได้ประสบการณ์ของการมาเที่ยวมัลดีฟส์ให้มันถึงจริงๆ ก็ต้องลองโดยสารเครื่องบินน้ำดูสักครั้ง
มัลดีฟส์มี 2 ฤดู คือฤดูร้อน (พ.ย.-เม.ย.) ที่เป็นไฮซีซั่น กับฤดูฝน (พ.ค.-ต.ค.) ที่เป็นโลว์ซีซั่น ซึ่งราคารีสอร์ทในช่วงโลว์ซีซั่นจะถูกกว่า แต่ถึงจะขึ้นชื่อว่าเป็นฤดูฝน แต่ฝนฟ้าตามฤดูกาลของมัลดีฟส์จะตกเป็นช่วงสั้นๆ จึงถือเป็นประเทศที่เที่ยวได้ตลอดทั้งปี (ยกเว้นว่าโชคร้ายไปเจ๊อะเอาช่วงพายุเข้าพอดี) และแม้จะเป็นโลว์ซีซั่นของนักท่องเที่ยว แต่สำหรับคนรักการชมสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเลแล้ว ช่วงฤดูฝนที่คลื่นลมพัดพาแพลงตอนมาแบบนี้แหละเป็นช่วงที่มีโอกาสจะได้พบกับปลากระเบนราหู หรือ แมนต้าเรย์ ยิ่งถ้าโชคดีอาจได้เห็นเหล่าแมนต้ามารวมตัวกันนับสิบๆ ตัวเลยทีเดียว
สำหรับใครที่คิดว่าทะเลเมืองไทยก็ระดับโลกเหมือนกัน ไม่เห็นต้องถ่อไปถึงมัลดีฟส์เลย คือถ้าวัดกันที่ความสวยงาม แน่นอนว่าทะเลบ้านเราไม่แพ้ใครง่ายๆ อยู่แล้ว ยิ่งถ้าพูดถึงความงดงามของแนวปะการังแล้ว ว่ากันว่าของไทยเราเหนือกว่าที่มัลดีฟส์เสียอีก แต่สภาพภูมิประเทศของมัลดีฟส์ที่เกิดจากการทับถมของปะการังที่พอกตัวบนภูเขาไฟใต้ทะเลจนโผล่พ้นผืนน้ำกลายเป็นหมู่เกาะที่จับกลุ่มกันเป็นรูปวงแหวนที่ เรียกว่าอทอลล์ (Atoll) จำนวนหลายอทอลล์นั้น ก็เป็นภาพที่หาดูไม่ได้ในเมืองไทยแน่นอน และด้วยภูมิประเทศแบบนี้นี่เอง ทำให้รอบๆ แต่ละเกาะเต็มไปด้วยสัตว์น้ำนาๆ ชนิด ที่ว่ายมาทักทายถึงหน้าห้องพักกันเลยทีเดียว
เราเลือกพักที่ Dreamland The Unique Sea & Lake Resort / Spa รีสอร์ท 4 ดาว ตั้งอยู่ที่ Baa Atoll ใกล้กับอ่าวฮานิฟารู (Hanifaru Bay) ที่ Unesco กำหนดให้เป็นพื้นที่อนุรักษ์เนื่องจากเป็นแหล่งรวมตัวกันของเหล่าแมนต้าร์เรย์และฉลามวาฬ ซึ่งเป็นเป้าหมายของเราในทริปนี้
เลือกเดินทางในฤดูฝนแบบนี้ก็ทำใจไว้ประมาณนึงแล้วว่าอาจไม่ได้เห็นฟ้าสวยทะเลใสแบบในรูปที่เขาเอามาโปรโมทกัน แต่พอใกล้ๆ เดินทางเปิดดูพยากรณ์อากาศขึ้นเป็นรูปเมฆฝนกับฟ้าผ่าติดกันทุกวันตลอดทั้งทริปก็ชักหวั่นๆ เหมือนกัน
เกริ่นมาซะเยอะ ไปเริ่มเดินทางกันเลยดีกว่า
EP2 - ON THE WAY
EP3 - INTO THE BLUE
EP4 - FAREWELL
https://betweenthejourney.blogspot.com/