เปิดแฟ้มศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง พิพากษาจำคุก "เจ้าหน้าที่รัฐ" ร่วมกับบุคคลอื่น คนละ 3 ปี ทุจริตปลอมแปลงเอกสาร พบชื่อ "สกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ" มีเอี่ยว
จากการสืบค้นของ “ฐานเศรษฐกิจ” คดีหมายเลขดําที่ อท 76 /2562 คดีหมายเลขแดงที่ อท 228/2562 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2562 ระหว่าง พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 4 เป็นโจทก์ ฟ้อง นายประสิทธิ์ อภัยพลชาญ จำเลยที่ 1 และ นายสุรกิจ ตั้งวิทูวนิช จำเลยที่ 2 ฐานความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ความผิดเกี่ยวกับเอกสาร ความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต โดยจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ
ศาลพิพากษา ทั้งสองให้มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 143,264, 265,268 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/4
การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรม ต่างกันให้เรียงกระทง
ลงโทษทุกกรรมเป็นความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันปลอมเอกสารราชการและใช้เอกสารราชการปลอม รวมสองกระทง ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานร่วมกัน ใช้เอกสารราชการปลอม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 จำคุกกระทงละ 2 ปี ฐานร่วมกันเป็นตัวกลางในการเรียกรับสินบนเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท
แต่ละบทมีอัตราโทษเท่ากันให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 143 จำคุกคนละ 2 ปี รวมจำคุกคนละ 6 ปี จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ กระทงละกึ่งหนึ่ง คงลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 3 ปี
ทั้งนี้ ในคำวินิจฉัยของศาล ชี้ถึงพฤติกรรมของจำเลยว่า ระหว่างกลางเดือนมีนาคม 2560 ถึงวันที่ 18 กันยายน 2560 นายประสิทธิ์ (จำเลยที่ 1) ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่ง เจ้าหน้าที่บริหารโครงการ ระดับ บ.4 แผนโครงการธุรกิจ 1 กองโครงการธุรกิจ 1 ฝ่ายโครงการพิเศษ สำนักงาน(ชื่อเดิม) ทำหน้าที่สนับสนุนงานหลักของฝ่ายโครงการพิเศษ และนายประสิทธิ์ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำพื้นที่ของสำนักงาน (ชื่อเดิม) ไปจัดประโยชน์แต่อย่างใด และนายสุรกิจ (จำเลยที่ 2) ซึ่งมิใช่เจ้าพนักงาน ร่วมกันกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ
1.จำเลยทั้งสองร่วมกันทำเอกสารราชการของ สำนักงาน (ชื่อเดิม) ปลอมขึ้นทั้งฉบับ
โดยนายประสิทธิ์ ทำเอกสารปลอมขึ้นซึ่งหนังสือ ที่ ฝบอ.2000/0064 ลงวันที่ 18 กันยายน 2560 เรื่อง การพัฒนาที่ดินบริเวณองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (ชิดลม) ถึง นายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบ.เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด มีตราครุฑอันเป็นตราสัญลักษณ์ของหน่วยราชการตามระบบงานสารบรรณ
ตั้งแท่นลงนามเป็นชื่อ นายสุรพล เล็กเลิศผล ตำแหน่ง นักบริหารงานอสังหาฯ โดยนายประสิทธิ์ ลงนามแทนด้วยการปลอมลายมือชื่อนายสุรพล โดยเอกสารฉบับดังกล่าวมีข้อความสรุปได้ว่า
บริษัท เรียลแอสเสทฯ ได้ผ่านการพิจารณาคุณสมบัติของผู้ลงทุนในเบื้องต้นแล้ว สนง. จึงขอให้ยื่นแผนการพัฒนาพื้นที่และการลงทุนภายใน 90 วัน
จากนั้นจึงให้นายสุรกิจ จำเลยที่ 2 นำไปแสดงต่อ นายสกุลธร เพื่อให้หลงเชื่อว่า เป็นเอกสารที่แท้จริงว่า บริษัท เรียลแอสเสทฯ ได้ผ่านการพิจารณาของผู้ลงทุนในเบื้องต้นแล้ว และขอให้ยื่นแผนการพัฒนาพื้นที่และการลงทุนดังกล่าว
2.นอกจากนี้จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันทำเอกสารของ สำนักงาน(ชื่อเดิม) ปลอมขึ้นทั้งฉบับ โดยนายประสิทธิ์ ทำปลอมซึ่งหนังสือ สนง.ฝบอ.2000/002 ลงวันที่ 16 พฤศจิกายน 2560 เรื่อง การพัฒนาที่ดินบริเวณองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (ชิดลม) ถึง นายสกุลธร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เรียลแอสเสทฯ
แจ้งเข้าร่วมประชุมเกี่ยวกับแผนการพัฒนาที่ดิน บริเวณองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (ชิดลม) ในวันที่ 23 พฤศจิกายน 2560 โดยนายประสิทธิ์ ลงลายมือชื่อ ในตำแหน่ง นักบริหารงานอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งไม่มีอำนาจและมิได้ปฏิบัติหน้าที่ในฝ่ายงานบริหารงานอสังหาริมทรัพย์แต่อย่างใด
หนังสือดังกล่าวมิได้ออกโดยฝ่ายบริหารงานอสังหาฯ ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบดูแลจัดประโยชน์อสังหาฯของ สนง. รวมถึงพื้นที่ซึ่งเป็นที่ตั้งขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (ชิดลม) เนื่องจากเลขหนังสือที่ถูกต้องจะต้องขึ้นต้นด้วย ฝอท.1000 นอกจากนี้หมายเลขโทรศัพท์ที่ปรากฏในหนังสือฉบับนี้ก็เป็นหมายเลขโทรศัพท์ของหน่วยงานฝ่ายโครงการพิเศษ ที่นายประสิทธิ์ ปฏิบัติหน้าที่อยู่ ไม่ใช่หมายเลขโทรศัพท์ของฝ่ายบริหารงานอสังหาริมทรัพย์ หน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องนี้ ขณะที่ตำแหน่งนักบริหารงานอสังหาฯที่กล่าวอ้างก็ไม่มีอยู่ในสนง. แต่อย่างใด
3.จำเลยทั้งสองร่วมกันนำข้อมูลของ สนง.(ชื่อเดิม) ไปแจ้งต่อ นายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ ว่า ที่ดินดังกล่าวกำลังจะหมดสัญญาเช่าและจะเปิดให้ผู้สนใจมาลงทุนพัฒนาที่ดิน โดยจะมีการทำสัญญาเช่ากับ สนง. ระยะยาว
นายสกุลธร จึงเชื่อว่า ที่ดินแปลงดังกล่าวให้เช่าจริงจึงให้นายสุรกิจ จำเลยที่ 2 ดำเนินการติดต่อประสานงานและอำนวยความสะดวกให้บริษัท เรียลแอสเสทฯ ได้สิทธิการเช่าที่ดินแปลงดังกล่าว โดยมีค่าตอบแทน 500 ล้านบาท
จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันแบ่งหน้าที่กันทำ โดย นายประสิทธิ์ จำเลยที่ 1 แนะนำให้ นายสกุลธร ยื่นหนังสือแสดงความจำนงขอเช่าที่ดินแปลงดังกล่าวต่อ สนง. ตามช่องทางปกติ
นายประสิทธิ์ และนายสุรกิจ ได้ร่วมกันเรียกรับเงินงวดแรก จำนวน 5 ล้านบาท จากนายสกุลธร และร่วมกันใช้เอกสารราชการที่ทั้งสองทำปลอมขึ้น 2 ฉบับ อ้างต่อนายสกุลธร ที่หลงเชื่อว่า เป็นเอกสารจริง เมื่อนายสกุลธรได้หนังสือทั้งสองฉบับดังกล่าวจึงจ่ายเงินงวดที่สอง จำนวน 5 ล้านบาท และงวดที่ 3 อีก 10 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 20 ล้านบาทให้กับจำเลยทั้งสองเพื่อเป็นการตอบแทนที่ไปร่วมกันดำเนินการประสานงานให้
และนำเงินส่วนหนึ่งไปมอบให้ รองผู้อำนวยการสนง. ที่เป็นเจ้าพนักงาน เจ้าหน้าที่ของรัฐ เจ้าพนักงานของรัฐ เพื่อจูงใจ รองผอ.สนง. ให้จัดสรรที่ดินแปลงดังกล่าวให้ บริษัท เรียลแอสเสทฯ ได้สิทธิการเช่าที่ระยะยาว โดยไม่ต้องผ่านการประมูลแข่งขันตามขั้นตอนปกติ
อ่าน
https://www.thansettakij.com/politics/459110
พลิกแฟ้มคดีฉาว โยง “สกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ"
จากการสืบค้นของ “ฐานเศรษฐกิจ” คดีหมายเลขดําที่ อท 76 /2562 คดีหมายเลขแดงที่ อท 228/2562 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2562 ระหว่าง พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 4 เป็นโจทก์ ฟ้อง นายประสิทธิ์ อภัยพลชาญ จำเลยที่ 1 และ นายสุรกิจ ตั้งวิทูวนิช จำเลยที่ 2 ฐานความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ความผิดเกี่ยวกับเอกสาร ความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต โดยจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ
ศาลพิพากษา ทั้งสองให้มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 143,264, 265,268 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/4
การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรม ต่างกันให้เรียงกระทง
ลงโทษทุกกรรมเป็นความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันปลอมเอกสารราชการและใช้เอกสารราชการปลอม รวมสองกระทง ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานร่วมกัน ใช้เอกสารราชการปลอม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 จำคุกกระทงละ 2 ปี ฐานร่วมกันเป็นตัวกลางในการเรียกรับสินบนเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท
แต่ละบทมีอัตราโทษเท่ากันให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 143 จำคุกคนละ 2 ปี รวมจำคุกคนละ 6 ปี จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ กระทงละกึ่งหนึ่ง คงลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 3 ปี
ทั้งนี้ ในคำวินิจฉัยของศาล ชี้ถึงพฤติกรรมของจำเลยว่า ระหว่างกลางเดือนมีนาคม 2560 ถึงวันที่ 18 กันยายน 2560 นายประสิทธิ์ (จำเลยที่ 1) ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่ง เจ้าหน้าที่บริหารโครงการ ระดับ บ.4 แผนโครงการธุรกิจ 1 กองโครงการธุรกิจ 1 ฝ่ายโครงการพิเศษ สำนักงาน(ชื่อเดิม) ทำหน้าที่สนับสนุนงานหลักของฝ่ายโครงการพิเศษ และนายประสิทธิ์ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำพื้นที่ของสำนักงาน (ชื่อเดิม) ไปจัดประโยชน์แต่อย่างใด และนายสุรกิจ (จำเลยที่ 2) ซึ่งมิใช่เจ้าพนักงาน ร่วมกันกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ
1.จำเลยทั้งสองร่วมกันทำเอกสารราชการของ สำนักงาน (ชื่อเดิม) ปลอมขึ้นทั้งฉบับ
โดยนายประสิทธิ์ ทำเอกสารปลอมขึ้นซึ่งหนังสือ ที่ ฝบอ.2000/0064 ลงวันที่ 18 กันยายน 2560 เรื่อง การพัฒนาที่ดินบริเวณองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (ชิดลม) ถึง นายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบ.เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด มีตราครุฑอันเป็นตราสัญลักษณ์ของหน่วยราชการตามระบบงานสารบรรณ
ตั้งแท่นลงนามเป็นชื่อ นายสุรพล เล็กเลิศผล ตำแหน่ง นักบริหารงานอสังหาฯ โดยนายประสิทธิ์ ลงนามแทนด้วยการปลอมลายมือชื่อนายสุรพล โดยเอกสารฉบับดังกล่าวมีข้อความสรุปได้ว่า
บริษัท เรียลแอสเสทฯ ได้ผ่านการพิจารณาคุณสมบัติของผู้ลงทุนในเบื้องต้นแล้ว สนง. จึงขอให้ยื่นแผนการพัฒนาพื้นที่และการลงทุนภายใน 90 วัน
จากนั้นจึงให้นายสุรกิจ จำเลยที่ 2 นำไปแสดงต่อ นายสกุลธร เพื่อให้หลงเชื่อว่า เป็นเอกสารที่แท้จริงว่า บริษัท เรียลแอสเสทฯ ได้ผ่านการพิจารณาของผู้ลงทุนในเบื้องต้นแล้ว และขอให้ยื่นแผนการพัฒนาพื้นที่และการลงทุนดังกล่าว
2.นอกจากนี้จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันทำเอกสารของ สำนักงาน(ชื่อเดิม) ปลอมขึ้นทั้งฉบับ โดยนายประสิทธิ์ ทำปลอมซึ่งหนังสือ สนง.ฝบอ.2000/002 ลงวันที่ 16 พฤศจิกายน 2560 เรื่อง การพัฒนาที่ดินบริเวณองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (ชิดลม) ถึง นายสกุลธร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เรียลแอสเสทฯ
แจ้งเข้าร่วมประชุมเกี่ยวกับแผนการพัฒนาที่ดิน บริเวณองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (ชิดลม) ในวันที่ 23 พฤศจิกายน 2560 โดยนายประสิทธิ์ ลงลายมือชื่อ ในตำแหน่ง นักบริหารงานอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งไม่มีอำนาจและมิได้ปฏิบัติหน้าที่ในฝ่ายงานบริหารงานอสังหาริมทรัพย์แต่อย่างใด
หนังสือดังกล่าวมิได้ออกโดยฝ่ายบริหารงานอสังหาฯ ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบดูแลจัดประโยชน์อสังหาฯของ สนง. รวมถึงพื้นที่ซึ่งเป็นที่ตั้งขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (ชิดลม) เนื่องจากเลขหนังสือที่ถูกต้องจะต้องขึ้นต้นด้วย ฝอท.1000 นอกจากนี้หมายเลขโทรศัพท์ที่ปรากฏในหนังสือฉบับนี้ก็เป็นหมายเลขโทรศัพท์ของหน่วยงานฝ่ายโครงการพิเศษ ที่นายประสิทธิ์ ปฏิบัติหน้าที่อยู่ ไม่ใช่หมายเลขโทรศัพท์ของฝ่ายบริหารงานอสังหาริมทรัพย์ หน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องนี้ ขณะที่ตำแหน่งนักบริหารงานอสังหาฯที่กล่าวอ้างก็ไม่มีอยู่ในสนง. แต่อย่างใด
3.จำเลยทั้งสองร่วมกันนำข้อมูลของ สนง.(ชื่อเดิม) ไปแจ้งต่อ นายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ ว่า ที่ดินดังกล่าวกำลังจะหมดสัญญาเช่าและจะเปิดให้ผู้สนใจมาลงทุนพัฒนาที่ดิน โดยจะมีการทำสัญญาเช่ากับ สนง. ระยะยาว
นายสกุลธร จึงเชื่อว่า ที่ดินแปลงดังกล่าวให้เช่าจริงจึงให้นายสุรกิจ จำเลยที่ 2 ดำเนินการติดต่อประสานงานและอำนวยความสะดวกให้บริษัท เรียลแอสเสทฯ ได้สิทธิการเช่าที่ดินแปลงดังกล่าว โดยมีค่าตอบแทน 500 ล้านบาท
จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันแบ่งหน้าที่กันทำ โดย นายประสิทธิ์ จำเลยที่ 1 แนะนำให้ นายสกุลธร ยื่นหนังสือแสดงความจำนงขอเช่าที่ดินแปลงดังกล่าวต่อ สนง. ตามช่องทางปกติ
นายประสิทธิ์ และนายสุรกิจ ได้ร่วมกันเรียกรับเงินงวดแรก จำนวน 5 ล้านบาท จากนายสกุลธร และร่วมกันใช้เอกสารราชการที่ทั้งสองทำปลอมขึ้น 2 ฉบับ อ้างต่อนายสกุลธร ที่หลงเชื่อว่า เป็นเอกสารจริง เมื่อนายสกุลธรได้หนังสือทั้งสองฉบับดังกล่าวจึงจ่ายเงินงวดที่สอง จำนวน 5 ล้านบาท และงวดที่ 3 อีก 10 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 20 ล้านบาทให้กับจำเลยทั้งสองเพื่อเป็นการตอบแทนที่ไปร่วมกันดำเนินการประสานงานให้
และนำเงินส่วนหนึ่งไปมอบให้ รองผู้อำนวยการสนง. ที่เป็นเจ้าพนักงาน เจ้าหน้าที่ของรัฐ เจ้าพนักงานของรัฐ เพื่อจูงใจ รองผอ.สนง. ให้จัดสรรที่ดินแปลงดังกล่าวให้ บริษัท เรียลแอสเสทฯ ได้สิทธิการเช่าที่ระยะยาว โดยไม่ต้องผ่านการประมูลแข่งขันตามขั้นตอนปกติ
อ่าน https://www.thansettakij.com/politics/459110