บทที่ 1
รวิดาพลิกดูรายงานยอดขายผลิตภัณฑ์เสริมความงามในมือเธอ หน้าปกรายงานแสดงชื่อบริษัทเครื่องสำอางยี่ห้อหนึ่งที่เป็นบริษัทแม่ของที่ทำงานเธอ บริษัทที่รวิดาทำงานอยู่คือบริษัทที่รับหน้าที่โปรโมทสินค้าด้วยงานโฆษณาในสื่อต่าง ๆ งานของเธอก็คือครีเอทีฟสร้างสรรค์งานโฆษณานั่นเอง บริษัทแห่งนี้มีหน้าที่ออกแบบฉลาก และทำการประชาสัมพันธ์สินค้าให้ติดตลาด
ความโดดเด่นของบริษัทที่เธอทำการตลาดให้คือการโฆษณาให้เหนือกว่าคู่แข่ง ทั้ง ๆ ที่บริษัทคู่แข่งมีมากมายและยังสั่งซื้อตัวสินค้ามาจากโรงงานเดียวกันอีก ใช้สูตรของครีมเหมือนกัน ใช้หีบห่อผลิตภัณฑ์คล้าย ๆ กัน แต่ว่าแบรนด์สินค้าที่เธอปั้นมาเองกับมือนั้นกลับเข้มแข็งและยิ่งใหญ่กว่าแบรนด์คู่แข่งหลายช่วงตัวนัก
ไม่เพียงแต่ส่วนแบ่งการตลาดที่เธอสามารถกอบโกยมาให้บริษัทแม่อย่างท่วมท้น แต่เธอยังสามารถทำให้คนรุ่นใหม่ ต่างหันมาเสพติดเครื่องสำอางอีกด้วย โดยการสร้างค่านิยมการแต่งหน้าให้ฝังเข้าไปในหัวของผู้รับสื่อ ให้เด็กนักเรียนที่เริ่มเป็นสาวเห็นเครื่องสำอางเป็นสิ่งจำเป็น ให้พนักงานบริษัทจำเป็นต้องแต่งหน้าเพื่อโอกาสในการทำงาน ทำให้ทุกวันนี้เมื่อเราเดินออกจากบ้าน เราแทบจะไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริงของผู้หญิงเลย หรือเห็นก็นาน ๆ ที
รวิดาคิดถึงกิจวัตรของเด็กนักเรียนที่ต้องตื่นมาแต่งหน้าทำผมแทนที่จะเอาเวลาไปนั่งกินอาหารเช้ากับครอบครัว คนทำงานหลายคนที่ต้องสละเวลาพักผ่อนเพื่อเผื่อเวลาไว้ให้กับการแต่งหน้า กฎของการทำมาค้าขายสมัยนี้ไม่เพียงแต่การขายอย่างเดียว แต่ต้องพยายามทำให้สินค้าเป็นสิ่งของจำเป็นด้วย หลายครั้งที่เธอต้องยัดเยียดสิ่งของที่ไม่จำเป็นให้ลูกค้าต้องซื้อด้วยมายาคติอะไรก็ช่าง นั่นไม่สำคัญกับคนทำงานอย่างเธอ ขอแค่ให้ขายได้ก็พอแล้ว
ต่อมาบัดนี้เธอรู้สึกเริ่มเบื่อหน่ายกับงานแบบนี้แล้ว เบื่อกับการที่ต้องคอยโกหกว่าสิ่งโน้นต้องเป็นอย่างโน้น สิ่งนี้ต้องเป็นอย่างนี้ ถ้อยคำโฆษณาหลายคำที่เธอเคยสร้างสรรค์มันขึ้นมาแม้มันจะสวยหรูและฟังดูหอมหวานเหมือนน้ำผึ้ง แต่เธอก็รู้ดีว่ามันคือยาพิษดี ๆ นั่นเอง
รวิดาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มานาน และเธอก็ได้ยื่นจดหมายลาออกไว้ตั้งแต่เดือนที่แล้ว และวันนี้จะเป็นคืนสุดท้ายที่เธอจะขับรถออกจากออฟฟิศแห่งนี้ รวิดาปิดคอมพิวเตอร์แมคอินทอชที่ช่วยให้เธอสนุกสนานกับการออกแบบงานเครื่องนั้นเป็นครั้งสุดท้าย แล้วเก็บข้าวของส่วนตัวที่มีอยู่น้อยนิดลงในกระเป๋าและก็เดินออกมาในเวลาที่ทุกคนเลิกงานกลับกันไปหมดแล้ว นึกถึงก่อนหน้านี้ที่เพื่อนร่วมงานต่างเข้ามาล่ำลากันแบบน้ำตาซึม รวมถึงเจ้านายที่อวยพรให้เธอโชคดี
ไม่เพียงแต่ที่บริษัทนี้เท่านั้น ที่เธอเบื่อหน่ายกับการที่ต้องมาสร้างโฆษณาชวนเชื่อ แม้ก่อนหน้านี้ที่รวิดายังทำงานกับบริษัทเอเยนซี่ชื่อดัง เธอก็ยังต้องแบกรับความกดดันและความคาดหวังจากลูกค้ามากมาย จากหลากหลายผลิตภัณฑ์ที่เธอต้องทำให้กลายเป็นสิ่งของจำเป็นสำหรับคนที่อาจจะไม่จำเป็นต้องมี
สำหรับหญิงสาวที่เข้ามาเรียนและทำงานในกรุงเทพ เกือบ 14 ปีมานี้ รวิดามาจากครอบครัวต่างจังหวัดที่คาดหวังให้ลูกหลานเข้ามาแสวงหาชีวิตที่ดีกว่าในเมืองกรุง พี่น้องของรวิดาทุกคนก็ต่างใช้ชีวิตอยู่ในบ้านเกิด แต่มาบัดนี้เธอกลับหมดไฟในการทำงานที่เธอคลุกคลีมาตลอดสิบปีนี้แล้ว เธอลาออกมาทั้ง ๆ ที่เธอเองก็ยังไม่มีงานใหม่รองรับ มันเป็นความเบื่อหน่ายที่หญิงสาวคิดว่าต้องหยุด แล้วใช้เวลาอยู่กับตัวเองสักพักเพื่อใคร่ครวญว่าเธออยากทำอะไรกับอนาคตข้างหน้า
รวิดาขับรถฝ่าการจราจรที่เป็นเหมือน ๆ กันทุกวันในเมืองใหญ่ ใจหนึ่งเธอก็รู้สึกโล่งอกที่ได้ทำตามความต้องการ แต่อีกส่วนหนึ่งก็ยังไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะตื่นมาทำอะไรดี หญิงสาวไม่กังวลกับสิ่งนี้มากนักเพราะคืนนี้เธออยากพักผ่อน และคืนต่อไปเธอก็อยากจะพักผ่อน และคืนต่อไปเธอก็คงอยากจะพักผ่อนอีกไปเรื่อย ๆ
รวิดาตื่นเช้ามาในคอนโดมิเนียมวันที่เธอเช่าไว้ ในวันทำงานที่เธอไม่ได้ทำงานแล้ว มันก็เหมือนวันหยุดธรรมดาทั่วไป แต่สำหรับผู้หญิงทำงานอย่างเธอที่ไม่มีอะไรทำในวันธรรมดา คงจะยากที่จะทำใจให้เคยชิน ครั้นจะออกไปหาเพื่อนเขาก็ทำงานกันทั้งสิ้น
อาหารเช้าง่าย ๆ อย่างขนมปังปิ้งและกาแฟดำถูกทำขึ้นด้วยเวลาไม่นาน ไม่ใช่เพราะเธอโปรดปรานอาหารเช้าสไตล์ฝรั่งนี่หรอก แต่เป็นเพราะความเคยชินของคนทำงานที่ต้องเร่งรีบกินอะไรสักอย่างก่อนออกจากบ้าน ขนมปังแผ่นจึงขายดิบขายดีเพราะมันเป็นสัญลักษณ์ของอาหารเช้าสำหรับคนไทยไปเรียบร้อยแล้ว รวมถึงผงชงเครื่องดื่มหลากหลายประเภท
เธอค้นตู้เก็บดีวีดีหนังหลายเรื่องที่เคยซื้อไว้นานแล้ว แต่หลายแผ่นก็ยังไม่เคยถูกเปิดเพราะเธอไม่มีเวลามานั่งดู เธอใช้เวลาทั้งวันหมดไปกับการดูหนัง บางเรื่องสนุก บางเรื่องเศร้า บางเรื่องปนขำขันลงไปบ้าง แต่เมื่อหนังจบเธอก็กลับมาสู่โลกที่แสนจะน่าเบื่อหน่ายอีกครั้ง
มื้อกลางวันรวิดาขับรถออกไปบนถนนที่บางเบาจากการจราจรเพื่อดั้นด้นไปกินอะไรที่ไกลจากบ้านบ้าง สวนอาหารนอกตัวเมืองเป็นที่ที่เธอเลือก สเต็กเนื้อราคาแพงที่เธอสั่งมาก็ไม่ได้ช่วยให้อารมณ์ของเธอแจ่มใสขึ้นมาเท่าไหร่นัก
เธอใช้เวลาหลายวันหมดไปกับความบันเทิงเท่าที่จะหาได้ ดูหนังในโรงภาพยนตร์วันละหลายเรื่อง บางทีก็ดูหนังเวียนซ้ำไปมาเพราะไม่มีเรื่องใหม่ ๆ ทันเข้าโรงฉาย บางทีก็ไปเที่ยวหาเพื่อนในวันหยุดที่พวกเขาต่างก็อยู่กับครอบครัว ชีวิตของเธอเวียนวนซ้ำจำเจไปมาอย่างนี้จนเธอไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนต่อ
วันหนึ่งเธอเดินทางไปเที่ยวหาเพื่อนสนิทสมัยเรียนที่ชื่อปาริชาติ เพื่อนคนนี้เป็นเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัย พวกเขาทั้งสองคนเป็นเพื่อนที่ไปมาหาสู่กันเป็นประจำ เพียงแต่ช่วงหลัง ๆ มานี่ที่ทั้งคู่เริ่มจะห่างหายกันไปบ้างเพราะแต่ละคนต่างยุ่งอยู่กับงาน
“อะไรทำให้เธอมาที่นี่ได้จ๊ะ” ปาริชาติทักเมื่อทั้งคู่เจอหน้ากัน
“ช่วงนี้ฉันว่าง เพราะเพิ่งจะลาออกจากงานเมื่อไม่กี่วันมานี้”
“อ้าว ออกทำไมล่ะ มีปัญหากับที่ทำงานเหรอ”
“ก็นิดหน่อยล่ะ” รวิดาขี้เกียจอธิบายเหตุผลที่แท้จริง เธอคิดว่าปาริชาติคงจะไม่เข้าใจสิ่งที่เธอคิดได้อย่างแน่นอน
“เธอไม่ได้ทำงานแล้วจะเอาเงินที่ไหนใช้ล่ะ”
“ฉันพอมีเงินเก็บอยู่บ้าง สามารถอยู่ได้เป็นปีโดยไม่ต้องทำงานก็ได้”
“ดีจัง น่าอิจฉานะไม่ต้องทำงานก็อยู่ได้”
“ก็อาจจะถูกของเธอนะ แต่ว่าบางทีมันก็น่าเบื่อน่ะสิ คนทำงานมานานพอหยุดทำก็ไม่รู้จะทำอะไร”
“เหรอ ฉันไม่เคยมีประสบการณ์แบบนั้นด้วยสิ ไม่มีงานก็ไม่มีเงิน”
สิ้นเสียงปาริชาติ ทั้งคู่ก็หัวเราะชอบใจ
“เธอยังทำงานเหมือนเดิมอยู่มั้ย” รวิดาถามเพื่อน
“ก็ยังทำงานในกองถ่ายอยู่นะ ตอนนี้รับตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้กำกับ”
“เก่งจัง ได้ขึ้นเป็นถึงรองผู้กำกับ ทำงานแค่ไม่กี่ปีเองไม่ใช่หรือ”
“คนเรามันขึ้นอยู่กับดวงน่ะ พอดีฉันได้เริ่มทำงานกับกองถ่ายใหญ่ ๆ ก็เลยมีประสบการณ์เยอะหน่อย ไม่ได้เก่งอะไรมากมายหรอก”
“ทำงานแบบเธอนี่น่าจะสนุกนะ แล้วช่วงนี้งานยุ่งไหม กำลังถ่ายหนังเรื่องอะไรอยู่”
“ช่วงนี้ว่าง ฉันกำลังลองจะทำหนังสั้นดู อาจจะขายได้นะ ต้องลองดูก่อน”
“เหรอ ๆ น่าสนใจ จะทำเกี่ยวกับอะไรล่ะ”
“ฉันอยากทำหนังสะท้อนจิตใต้สำนึกของคน แต่ยังคิดไม่ออกเลยว่าจะทำเกี่ยวกับอะไรดี เธอไม่ลองมาทำบ้างเหรอ"
"หนังสั้นเหรอ" รวิดาหยุดครุ่นคิด "น่าสนใจเหมือนกันนะ ฉันจะไปลองหาแรงบันดาลใจดู"
สิ่งแรกที่รวิดาต้องคิดคือถ้าอยากตั้งคำถามเกี่ยวกับอะไรสักอย่างที่อยากจะสื่อออกไปถึงคนดู รวิดาหาหนังสั้นหลายเรื่องมาดูและสังเกตหนังว่าตอบโจทย์จากคำถามที่หนังตั้งคำถามขึ้นมาหรือไม่ และตอบอย่างไร เธอเริ่มสนใจในการสร้างหนังสั้นแล้ว แต่ประสบการณ์ของเธอยังมีไม่พอ เธอจึงคิดที่จะไปช่วยปาริชาติสร้างหนังสั้นเพื่อหาประสบการณ์
"มาเลย ๆ รวิดา ฉันอยากจะชวนเธอมาทำหนังสั้นด้วยกันตั้งแต่ทีแรกแล้ว ประสบการณ์เรื่องการโฆษณาของเธอคงจะช่วยโปรโมทหนังของฉันได้"
"จริงหรือปาริชาติ ขอบใจมากนะ"
"ฉันจะให้เธอเป็นผู้ช่วยผู้กำกับ"
“โห... ให้เริ่มจากงานยากเลยหรือ"
"ไม่ต้องกลัวน่า กองถ่ายหนังสั้นกองไม่ใหญ่มาก การทำงานไม่ซับซ้อน กองถ่ายก็มีแค่ผู้กำกับ ผู้ช่วยผู้กำกับ ผู้จัดการกองถ่าย ตากล้อง คนบันทึกเสียง และผู้กำกับศิลป์ ความจริงแล้วผู้ช่วยผู้กำกับก็คือเบ๊ของกองถ่ายนั่นเอง" ปาริชาติยิ้มทำให้รวิดาหัวเราะชอบใจในตำแหน่งหน้าที่
"เป็นอย่างนี้เองหรือ โอเค ๆ ถ้าได้ยินแบบนี้ก็สบายใจหน่อย แล้วเราจะเริ่มงานจากอะไรก่อนดีล่ะ"
ปาริชาติยื่นเอกสารให้กับรวิดา
"นี่คือเรื่องย่อที่ฉันเขียนไว้นานแล้ว เนื้อเรื่องมันก็ไม่ซับซ้อนอะไรมากหรอก แต่มันก็เป็นเรื่องที่ฉันอยากจะทำ"
รวิดาเปิดอ่านเนื้อเรื่องย่อจากกระดาษทุกแผ่นจนครบ "มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรักนี่"
"ใช่แล้ว เป็นเรื่องของความรัก ความรักธรรมดาทั่วไปเลย แต่ความขัดแย้งของเรื่องนั้นมาจากฐานะที่ต่างกันระหว่างพระเอกและนางเอก"
"มันจะไม่น้ำเน่าไปหน่อยหรือ เรื่องพวกนี้มีเยอะแยะไปในละครหลังข่าว"
ปาริชาติยิ้มเล็กน้อยก่อนจะพูด "นี่เธอไม่รู้อะไรซะแล้ว เรื่องธรรมดา ๆ นี่แหละแต่ถ้าเราทำโปรดักชั่นให้ดูดี และมีสำนวนบทพูดให้ดูโก้เก๋ แค่นี้หนังสั้นของเราก็จะแตกต่างกับละครน้ำเน่าหลังข่าวแล้ว"
"เหรอ เอายังไงก็เอากัน"
หลังจากนั้นปาริชาติก็ส่งบทย่อไปให้นักเขียนบท ขยายโครงเรื่องออกมาให้ละเอียดมากขึ้น เธอขอให้นักเขียนใช้สำนวนและลีลาของบทพูดตามที่เธอต้องการ เมื่อได้บทขยายของหนัง ปาริชาติก็นัดรวิดามาประชุมเรื่องบท
"เราสามารถนำบทขยายนี้ไปเสนอของบประมาณจากนายทุนได้ด้วยนะ หากได้งบประมาณมาก้อนนึงก็สบาย”
"ดีจัง"
"ใคร ๆ เขาก็ทำแบบนี้แหละ"
และจากนั้นไม่นานปาริชาติก็ได้รับข่าวดีเมื่อบริษัทแห่งหนึ่งยอมที่จะสนับสนุนเงินทุนให้เธอในการสร้างภาพยนตร์สั้น และบริษัทแห่งนั้นจะซื้อภาพยนตร์เรื่องนั้นไปฉายร่วมกับภาพยนตร์สั้นเรื่องอื่น ๆ ปาริชาติใช้ฝีไม้ลายมือในการเริ่มกองถ่ายประมาณหนึ่งเดือนรวมตัดต่อภาพก็สามารถปิดกองถ่ายได้ ส่วนรวิดาเธอได้ฝึกงานอย่างเต็มที่จากการเป็นเบ๊ของกอง ทำให้เธอเข้าใจขั้นตอนในการถ่ายทำหนังสั้นทุกขั้นตอนโดยละเอียด
เมื่อเสร็จงานจากกองถ่าย รวิดาก็กลับมาอยู่บ้านและก็หาอะไรทำเรื่อยเปื่อยแก้เบื่ออยู่เหมือนเดิม แต่ใจของเธอก็ยังรู้สึกสนุกอยู่กับงานถ่ายทำภาพยนตร์ เธอใช้เวลาว่างคิดถึงการทำหนังสั้น และเธอก็ตั้งใจแล้วว่าจะหาประเด็นอะไรสักอย่างที่สังคมกำลังสนใจและให้ความสำคัญ
หลายวันมานี้เธอดูข่าวในโทรทัศน์ มีแต่เรื่องความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และในปัญหาเหล่านี้ก็ยากที่ประชาชนจะเข้าใจถึงต้นเหตุแห่งความรุนแรง และยิ่งโดยเฉพาะกับรวิดาที่ไม่เคยติดตามข่าวสารหรือบทวิเคราะห์เกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ทำให้เธอเป็นเสมือนคนตาบอดในเรื่องนี้ และการที่ยอมรับว่าตัวเองตาบอด ทำให้เธอใช้เวลาศึกษาความเป็นมาของปัญหาอย่างถ่องแท้
เธอพบว่าเรื่องราวความขัดแย้งในประวัติศาสตร์ก็เรื่องหนึ่ง แต่เรื่องที่สำคัญในปัจจุบันก็มีหลายเรื่องที่น่าจะทำให้ปัญหาความรุนแรงยังคงดำเนินไป เช่นเรื่องผลประโยชน์ผิดกฎหมาย เรื่องผู้มีอิทธิพล หรือเรื่องความต่างของวัฒนธรรม รวิดาครุ่นคิดในใจ
วันที่ฟ้าเปิด The Movie
รวิดาพลิกดูรายงานยอดขายผลิตภัณฑ์เสริมความงามในมือเธอ หน้าปกรายงานแสดงชื่อบริษัทเครื่องสำอางยี่ห้อหนึ่งที่เป็นบริษัทแม่ของที่ทำงานเธอ บริษัทที่รวิดาทำงานอยู่คือบริษัทที่รับหน้าที่โปรโมทสินค้าด้วยงานโฆษณาในสื่อต่าง ๆ งานของเธอก็คือครีเอทีฟสร้างสรรค์งานโฆษณานั่นเอง บริษัทแห่งนี้มีหน้าที่ออกแบบฉลาก และทำการประชาสัมพันธ์สินค้าให้ติดตลาด
ความโดดเด่นของบริษัทที่เธอทำการตลาดให้คือการโฆษณาให้เหนือกว่าคู่แข่ง ทั้ง ๆ ที่บริษัทคู่แข่งมีมากมายและยังสั่งซื้อตัวสินค้ามาจากโรงงานเดียวกันอีก ใช้สูตรของครีมเหมือนกัน ใช้หีบห่อผลิตภัณฑ์คล้าย ๆ กัน แต่ว่าแบรนด์สินค้าที่เธอปั้นมาเองกับมือนั้นกลับเข้มแข็งและยิ่งใหญ่กว่าแบรนด์คู่แข่งหลายช่วงตัวนัก
ไม่เพียงแต่ส่วนแบ่งการตลาดที่เธอสามารถกอบโกยมาให้บริษัทแม่อย่างท่วมท้น แต่เธอยังสามารถทำให้คนรุ่นใหม่ ต่างหันมาเสพติดเครื่องสำอางอีกด้วย โดยการสร้างค่านิยมการแต่งหน้าให้ฝังเข้าไปในหัวของผู้รับสื่อ ให้เด็กนักเรียนที่เริ่มเป็นสาวเห็นเครื่องสำอางเป็นสิ่งจำเป็น ให้พนักงานบริษัทจำเป็นต้องแต่งหน้าเพื่อโอกาสในการทำงาน ทำให้ทุกวันนี้เมื่อเราเดินออกจากบ้าน เราแทบจะไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริงของผู้หญิงเลย หรือเห็นก็นาน ๆ ที
รวิดาคิดถึงกิจวัตรของเด็กนักเรียนที่ต้องตื่นมาแต่งหน้าทำผมแทนที่จะเอาเวลาไปนั่งกินอาหารเช้ากับครอบครัว คนทำงานหลายคนที่ต้องสละเวลาพักผ่อนเพื่อเผื่อเวลาไว้ให้กับการแต่งหน้า กฎของการทำมาค้าขายสมัยนี้ไม่เพียงแต่การขายอย่างเดียว แต่ต้องพยายามทำให้สินค้าเป็นสิ่งของจำเป็นด้วย หลายครั้งที่เธอต้องยัดเยียดสิ่งของที่ไม่จำเป็นให้ลูกค้าต้องซื้อด้วยมายาคติอะไรก็ช่าง นั่นไม่สำคัญกับคนทำงานอย่างเธอ ขอแค่ให้ขายได้ก็พอแล้ว
ต่อมาบัดนี้เธอรู้สึกเริ่มเบื่อหน่ายกับงานแบบนี้แล้ว เบื่อกับการที่ต้องคอยโกหกว่าสิ่งโน้นต้องเป็นอย่างโน้น สิ่งนี้ต้องเป็นอย่างนี้ ถ้อยคำโฆษณาหลายคำที่เธอเคยสร้างสรรค์มันขึ้นมาแม้มันจะสวยหรูและฟังดูหอมหวานเหมือนน้ำผึ้ง แต่เธอก็รู้ดีว่ามันคือยาพิษดี ๆ นั่นเอง
รวิดาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มานาน และเธอก็ได้ยื่นจดหมายลาออกไว้ตั้งแต่เดือนที่แล้ว และวันนี้จะเป็นคืนสุดท้ายที่เธอจะขับรถออกจากออฟฟิศแห่งนี้ รวิดาปิดคอมพิวเตอร์แมคอินทอชที่ช่วยให้เธอสนุกสนานกับการออกแบบงานเครื่องนั้นเป็นครั้งสุดท้าย แล้วเก็บข้าวของส่วนตัวที่มีอยู่น้อยนิดลงในกระเป๋าและก็เดินออกมาในเวลาที่ทุกคนเลิกงานกลับกันไปหมดแล้ว นึกถึงก่อนหน้านี้ที่เพื่อนร่วมงานต่างเข้ามาล่ำลากันแบบน้ำตาซึม รวมถึงเจ้านายที่อวยพรให้เธอโชคดี
ไม่เพียงแต่ที่บริษัทนี้เท่านั้น ที่เธอเบื่อหน่ายกับการที่ต้องมาสร้างโฆษณาชวนเชื่อ แม้ก่อนหน้านี้ที่รวิดายังทำงานกับบริษัทเอเยนซี่ชื่อดัง เธอก็ยังต้องแบกรับความกดดันและความคาดหวังจากลูกค้ามากมาย จากหลากหลายผลิตภัณฑ์ที่เธอต้องทำให้กลายเป็นสิ่งของจำเป็นสำหรับคนที่อาจจะไม่จำเป็นต้องมี
สำหรับหญิงสาวที่เข้ามาเรียนและทำงานในกรุงเทพ เกือบ 14 ปีมานี้ รวิดามาจากครอบครัวต่างจังหวัดที่คาดหวังให้ลูกหลานเข้ามาแสวงหาชีวิตที่ดีกว่าในเมืองกรุง พี่น้องของรวิดาทุกคนก็ต่างใช้ชีวิตอยู่ในบ้านเกิด แต่มาบัดนี้เธอกลับหมดไฟในการทำงานที่เธอคลุกคลีมาตลอดสิบปีนี้แล้ว เธอลาออกมาทั้ง ๆ ที่เธอเองก็ยังไม่มีงานใหม่รองรับ มันเป็นความเบื่อหน่ายที่หญิงสาวคิดว่าต้องหยุด แล้วใช้เวลาอยู่กับตัวเองสักพักเพื่อใคร่ครวญว่าเธออยากทำอะไรกับอนาคตข้างหน้า
รวิดาขับรถฝ่าการจราจรที่เป็นเหมือน ๆ กันทุกวันในเมืองใหญ่ ใจหนึ่งเธอก็รู้สึกโล่งอกที่ได้ทำตามความต้องการ แต่อีกส่วนหนึ่งก็ยังไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะตื่นมาทำอะไรดี หญิงสาวไม่กังวลกับสิ่งนี้มากนักเพราะคืนนี้เธออยากพักผ่อน และคืนต่อไปเธอก็อยากจะพักผ่อน และคืนต่อไปเธอก็คงอยากจะพักผ่อนอีกไปเรื่อย ๆ
รวิดาตื่นเช้ามาในคอนโดมิเนียมวันที่เธอเช่าไว้ ในวันทำงานที่เธอไม่ได้ทำงานแล้ว มันก็เหมือนวันหยุดธรรมดาทั่วไป แต่สำหรับผู้หญิงทำงานอย่างเธอที่ไม่มีอะไรทำในวันธรรมดา คงจะยากที่จะทำใจให้เคยชิน ครั้นจะออกไปหาเพื่อนเขาก็ทำงานกันทั้งสิ้น
อาหารเช้าง่าย ๆ อย่างขนมปังปิ้งและกาแฟดำถูกทำขึ้นด้วยเวลาไม่นาน ไม่ใช่เพราะเธอโปรดปรานอาหารเช้าสไตล์ฝรั่งนี่หรอก แต่เป็นเพราะความเคยชินของคนทำงานที่ต้องเร่งรีบกินอะไรสักอย่างก่อนออกจากบ้าน ขนมปังแผ่นจึงขายดิบขายดีเพราะมันเป็นสัญลักษณ์ของอาหารเช้าสำหรับคนไทยไปเรียบร้อยแล้ว รวมถึงผงชงเครื่องดื่มหลากหลายประเภท
เธอค้นตู้เก็บดีวีดีหนังหลายเรื่องที่เคยซื้อไว้นานแล้ว แต่หลายแผ่นก็ยังไม่เคยถูกเปิดเพราะเธอไม่มีเวลามานั่งดู เธอใช้เวลาทั้งวันหมดไปกับการดูหนัง บางเรื่องสนุก บางเรื่องเศร้า บางเรื่องปนขำขันลงไปบ้าง แต่เมื่อหนังจบเธอก็กลับมาสู่โลกที่แสนจะน่าเบื่อหน่ายอีกครั้ง
มื้อกลางวันรวิดาขับรถออกไปบนถนนที่บางเบาจากการจราจรเพื่อดั้นด้นไปกินอะไรที่ไกลจากบ้านบ้าง สวนอาหารนอกตัวเมืองเป็นที่ที่เธอเลือก สเต็กเนื้อราคาแพงที่เธอสั่งมาก็ไม่ได้ช่วยให้อารมณ์ของเธอแจ่มใสขึ้นมาเท่าไหร่นัก
เธอใช้เวลาหลายวันหมดไปกับความบันเทิงเท่าที่จะหาได้ ดูหนังในโรงภาพยนตร์วันละหลายเรื่อง บางทีก็ดูหนังเวียนซ้ำไปมาเพราะไม่มีเรื่องใหม่ ๆ ทันเข้าโรงฉาย บางทีก็ไปเที่ยวหาเพื่อนในวันหยุดที่พวกเขาต่างก็อยู่กับครอบครัว ชีวิตของเธอเวียนวนซ้ำจำเจไปมาอย่างนี้จนเธอไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนต่อ
วันหนึ่งเธอเดินทางไปเที่ยวหาเพื่อนสนิทสมัยเรียนที่ชื่อปาริชาติ เพื่อนคนนี้เป็นเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัย พวกเขาทั้งสองคนเป็นเพื่อนที่ไปมาหาสู่กันเป็นประจำ เพียงแต่ช่วงหลัง ๆ มานี่ที่ทั้งคู่เริ่มจะห่างหายกันไปบ้างเพราะแต่ละคนต่างยุ่งอยู่กับงาน
“อะไรทำให้เธอมาที่นี่ได้จ๊ะ” ปาริชาติทักเมื่อทั้งคู่เจอหน้ากัน
“ช่วงนี้ฉันว่าง เพราะเพิ่งจะลาออกจากงานเมื่อไม่กี่วันมานี้”
“อ้าว ออกทำไมล่ะ มีปัญหากับที่ทำงานเหรอ”
“ก็นิดหน่อยล่ะ” รวิดาขี้เกียจอธิบายเหตุผลที่แท้จริง เธอคิดว่าปาริชาติคงจะไม่เข้าใจสิ่งที่เธอคิดได้อย่างแน่นอน
“เธอไม่ได้ทำงานแล้วจะเอาเงินที่ไหนใช้ล่ะ”
“ฉันพอมีเงินเก็บอยู่บ้าง สามารถอยู่ได้เป็นปีโดยไม่ต้องทำงานก็ได้”
“ดีจัง น่าอิจฉานะไม่ต้องทำงานก็อยู่ได้”
“ก็อาจจะถูกของเธอนะ แต่ว่าบางทีมันก็น่าเบื่อน่ะสิ คนทำงานมานานพอหยุดทำก็ไม่รู้จะทำอะไร”
“เหรอ ฉันไม่เคยมีประสบการณ์แบบนั้นด้วยสิ ไม่มีงานก็ไม่มีเงิน”
สิ้นเสียงปาริชาติ ทั้งคู่ก็หัวเราะชอบใจ
“เธอยังทำงานเหมือนเดิมอยู่มั้ย” รวิดาถามเพื่อน
“ก็ยังทำงานในกองถ่ายอยู่นะ ตอนนี้รับตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้กำกับ”
“เก่งจัง ได้ขึ้นเป็นถึงรองผู้กำกับ ทำงานแค่ไม่กี่ปีเองไม่ใช่หรือ”
“คนเรามันขึ้นอยู่กับดวงน่ะ พอดีฉันได้เริ่มทำงานกับกองถ่ายใหญ่ ๆ ก็เลยมีประสบการณ์เยอะหน่อย ไม่ได้เก่งอะไรมากมายหรอก”
“ทำงานแบบเธอนี่น่าจะสนุกนะ แล้วช่วงนี้งานยุ่งไหม กำลังถ่ายหนังเรื่องอะไรอยู่”
“ช่วงนี้ว่าง ฉันกำลังลองจะทำหนังสั้นดู อาจจะขายได้นะ ต้องลองดูก่อน”
“เหรอ ๆ น่าสนใจ จะทำเกี่ยวกับอะไรล่ะ”
“ฉันอยากทำหนังสะท้อนจิตใต้สำนึกของคน แต่ยังคิดไม่ออกเลยว่าจะทำเกี่ยวกับอะไรดี เธอไม่ลองมาทำบ้างเหรอ"
"หนังสั้นเหรอ" รวิดาหยุดครุ่นคิด "น่าสนใจเหมือนกันนะ ฉันจะไปลองหาแรงบันดาลใจดู"
สิ่งแรกที่รวิดาต้องคิดคือถ้าอยากตั้งคำถามเกี่ยวกับอะไรสักอย่างที่อยากจะสื่อออกไปถึงคนดู รวิดาหาหนังสั้นหลายเรื่องมาดูและสังเกตหนังว่าตอบโจทย์จากคำถามที่หนังตั้งคำถามขึ้นมาหรือไม่ และตอบอย่างไร เธอเริ่มสนใจในการสร้างหนังสั้นแล้ว แต่ประสบการณ์ของเธอยังมีไม่พอ เธอจึงคิดที่จะไปช่วยปาริชาติสร้างหนังสั้นเพื่อหาประสบการณ์
"มาเลย ๆ รวิดา ฉันอยากจะชวนเธอมาทำหนังสั้นด้วยกันตั้งแต่ทีแรกแล้ว ประสบการณ์เรื่องการโฆษณาของเธอคงจะช่วยโปรโมทหนังของฉันได้"
"จริงหรือปาริชาติ ขอบใจมากนะ"
"ฉันจะให้เธอเป็นผู้ช่วยผู้กำกับ"
“โห... ให้เริ่มจากงานยากเลยหรือ"
"ไม่ต้องกลัวน่า กองถ่ายหนังสั้นกองไม่ใหญ่มาก การทำงานไม่ซับซ้อน กองถ่ายก็มีแค่ผู้กำกับ ผู้ช่วยผู้กำกับ ผู้จัดการกองถ่าย ตากล้อง คนบันทึกเสียง และผู้กำกับศิลป์ ความจริงแล้วผู้ช่วยผู้กำกับก็คือเบ๊ของกองถ่ายนั่นเอง" ปาริชาติยิ้มทำให้รวิดาหัวเราะชอบใจในตำแหน่งหน้าที่
"เป็นอย่างนี้เองหรือ โอเค ๆ ถ้าได้ยินแบบนี้ก็สบายใจหน่อย แล้วเราจะเริ่มงานจากอะไรก่อนดีล่ะ"
ปาริชาติยื่นเอกสารให้กับรวิดา
"นี่คือเรื่องย่อที่ฉันเขียนไว้นานแล้ว เนื้อเรื่องมันก็ไม่ซับซ้อนอะไรมากหรอก แต่มันก็เป็นเรื่องที่ฉันอยากจะทำ"
รวิดาเปิดอ่านเนื้อเรื่องย่อจากกระดาษทุกแผ่นจนครบ "มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรักนี่"
"ใช่แล้ว เป็นเรื่องของความรัก ความรักธรรมดาทั่วไปเลย แต่ความขัดแย้งของเรื่องนั้นมาจากฐานะที่ต่างกันระหว่างพระเอกและนางเอก"
"มันจะไม่น้ำเน่าไปหน่อยหรือ เรื่องพวกนี้มีเยอะแยะไปในละครหลังข่าว"
ปาริชาติยิ้มเล็กน้อยก่อนจะพูด "นี่เธอไม่รู้อะไรซะแล้ว เรื่องธรรมดา ๆ นี่แหละแต่ถ้าเราทำโปรดักชั่นให้ดูดี และมีสำนวนบทพูดให้ดูโก้เก๋ แค่นี้หนังสั้นของเราก็จะแตกต่างกับละครน้ำเน่าหลังข่าวแล้ว"
"เหรอ เอายังไงก็เอากัน"
หลังจากนั้นปาริชาติก็ส่งบทย่อไปให้นักเขียนบท ขยายโครงเรื่องออกมาให้ละเอียดมากขึ้น เธอขอให้นักเขียนใช้สำนวนและลีลาของบทพูดตามที่เธอต้องการ เมื่อได้บทขยายของหนัง ปาริชาติก็นัดรวิดามาประชุมเรื่องบท
"เราสามารถนำบทขยายนี้ไปเสนอของบประมาณจากนายทุนได้ด้วยนะ หากได้งบประมาณมาก้อนนึงก็สบาย”
"ดีจัง"
"ใคร ๆ เขาก็ทำแบบนี้แหละ"
และจากนั้นไม่นานปาริชาติก็ได้รับข่าวดีเมื่อบริษัทแห่งหนึ่งยอมที่จะสนับสนุนเงินทุนให้เธอในการสร้างภาพยนตร์สั้น และบริษัทแห่งนั้นจะซื้อภาพยนตร์เรื่องนั้นไปฉายร่วมกับภาพยนตร์สั้นเรื่องอื่น ๆ ปาริชาติใช้ฝีไม้ลายมือในการเริ่มกองถ่ายประมาณหนึ่งเดือนรวมตัดต่อภาพก็สามารถปิดกองถ่ายได้ ส่วนรวิดาเธอได้ฝึกงานอย่างเต็มที่จากการเป็นเบ๊ของกอง ทำให้เธอเข้าใจขั้นตอนในการถ่ายทำหนังสั้นทุกขั้นตอนโดยละเอียด
เมื่อเสร็จงานจากกองถ่าย รวิดาก็กลับมาอยู่บ้านและก็หาอะไรทำเรื่อยเปื่อยแก้เบื่ออยู่เหมือนเดิม แต่ใจของเธอก็ยังรู้สึกสนุกอยู่กับงานถ่ายทำภาพยนตร์ เธอใช้เวลาว่างคิดถึงการทำหนังสั้น และเธอก็ตั้งใจแล้วว่าจะหาประเด็นอะไรสักอย่างที่สังคมกำลังสนใจและให้ความสำคัญ
หลายวันมานี้เธอดูข่าวในโทรทัศน์ มีแต่เรื่องความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และในปัญหาเหล่านี้ก็ยากที่ประชาชนจะเข้าใจถึงต้นเหตุแห่งความรุนแรง และยิ่งโดยเฉพาะกับรวิดาที่ไม่เคยติดตามข่าวสารหรือบทวิเคราะห์เกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ทำให้เธอเป็นเสมือนคนตาบอดในเรื่องนี้ และการที่ยอมรับว่าตัวเองตาบอด ทำให้เธอใช้เวลาศึกษาความเป็นมาของปัญหาอย่างถ่องแท้
เธอพบว่าเรื่องราวความขัดแย้งในประวัติศาสตร์ก็เรื่องหนึ่ง แต่เรื่องที่สำคัญในปัจจุบันก็มีหลายเรื่องที่น่าจะทำให้ปัญหาความรุนแรงยังคงดำเนินไป เช่นเรื่องผลประโยชน์ผิดกฎหมาย เรื่องผู้มีอิทธิพล หรือเรื่องความต่างของวัฒนธรรม รวิดาครุ่นคิดในใจ