เราเคยไปนอนโฮมสเตย์ที่เชียงดาวเมื่อ 5 ปีที่แล้ว หน้าโฮมสเตย์เป็นวิวดอยหลวงเลย
ตอนนั้นคิดว่า แค่มองแค่นี้ก็สวยแล้ว ไม่ต้องขึ้นไปหรอก
ไม่คิดเลยว่า 5 ปีผ่านมา ฉันกำลังจะขึ้นไปบนนั้น 55555
ซึ่งหลังจากที่ปีที่แล้วพลาดการจองดอยหลวงเชียงดาวไป ในที่สุดปีนี้ก็ได้ไปแล้ว!!!
เกริ่น
ประมาณช่วงเดือนตุลาคม ทางเพจเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าจะประกาศข้อกำหนดและวันจองไว้ในเฟสบุ๊ค
เราก็ทำการปักหมุดที่
https://www.chiangdao-biosphere.com/ เอาไว้
อ่านข้อกำหนดต่างๆให้ละเอียด เตรียมเอกสารให้พร้อม พอถึงวันจองก็ลุยเลย
ลืมบอกไปว่าทริปดอยหลวงเชียงดาวจะใช้เวลาทั้งหมด 3 วันด้วยกัน
-วันแรกจะเป็นการอบรม เนื่องจากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดอยหลวงเชียงดาวเป็นพื้นที่สงวนชีวมณฑลจึงมีข้อบังคับที่ค่อนข้างมีระเบียบกว่าที่อื่นๆ ซึ่งการอบรมก็จะทำให้เราได้รู้ถึงเหตุและผลต่างๆ ว่าทำไมเขาถึงมีกฎหรือข้อบังคับให้เราทำตาม ของเราเขานัดช่วง 13.00-14.30 น.
-วันที่สองเป็นวันเดินขึ้นดอย
-วันที่สามเป็นวันเดินลง
ขั้นตอนการจองไม่ยาก เพียงแค่เราอ่านข้อกำหนดต่างๆมาก่อน การจองก็จะทำได้เร็วยิ่งขึ้น
โดยเมื่อจองเสร็จแล้วก็ทำการโอนเงิน แล้วยืนยันหลักฐานหน้าเวปได้เลย
ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้เราจ่ายไปคนละ 1,230.- ไม่มีค่าเช่าอุปกรณ์ต่างๆ (เต๊นท์ เตาแก๊ส แผ่นรองนอน หม้อสนามแก๊สกระป๋อง ถุงนอน) และไม่ได้จ้างลูกหาบ
พอจองได้เรียบร้อย ขั้นตอนต่อไปก็คือจองรถทัวร์ รถเช่า และที่พัก
-เราเลือกรถทัวร์เพราะอยากประหยัด 55555 ง่ายๆเลย จองสมบัติทัวร์ไป-กลับเลย ราคา 1386.-
-เช่ารถที่นู้น ตอนแรกก็คิดว่าอยากจะนั่งรถสาธารณะ แต่เท่าที่ดูคิดว่าน่าจะกินเวลา บวกกับอยากจะมีที่เก็บของไว้ตอนที่เดินขึ้นดอย แล้วก็อาจจะไปแวะที่อื่นบ้างเล็กๆน้อยๆ เลยตัดสินใจเช่ารถ ใช้ไม่ค่อยคุ้มแต่ก็แลกมากับความสบาย
-ที่พัก เราเลือกที่พักที่ใกล้ๆกับที่อบรมและที่ทำการเขตฯ จะได้ประหยัดเวลา เราจอง สวนฉันโฮมสเตย์ คืนละ 750.-
การเตรียมตัว
เตรียมอุปกรณ์ต่างๆให้พร้อม สิ่งที่สำคัญเลยสำหรับเราคือ ไม้ค้ำ รองเท้าถุงเท้า ถุงมือ ไฟฉายคาดหัว และยาคลายกล้ามเนื้อ
ที่นี่ห้ามพกทิชชู่เปียกไป และไม่มีที่อาบน้ำ การทำความสะอาดร่างกายก็คือเอาผ้าเล็กๆชุบน้ำเช็ดเอา หรือทำใจให้สบาย อากาศข้างบนมันเย็น ความรู้สึกเหนียวตัวมันก็หายไปเอง แฮร่ (พูดจริงนะ)
และที่สำคัญคือร่างกาย ควรออกกำลังกายก่อนไปมากๆ เพื่อการเดินป่าที่ไม่ท้อ
ปีที่แล้วเราเจ็บเข่าจากการเดินป่า เพราะลงน้ำหนักผิดตอนเดินลง ตลอดทั้งปีเลยแทบจะไม่ได้ออกกำลังกายเลยเพราะต้องพักเข่าให้หายดี ก่อนเดินป่าเดือนนึง รอบนี้เลยเน้นออกกำลังกายแบบ Low impact ไม่กระโดด ไม่หักโหมเน้นว่าได้ออก บริหารขาเยอะๆ ให้กล้ามเนื้อแข็งแรง (แล้วตอนที่เดินก็ใส่สนับเข่าด้วย)
เริ่มเดินทางกันเลย!!
3.12.22
มาถึงเชียงใหม่เรียบร้อยตอน 6 โมงเช้า หาข้าวเช้ากิน แล้วแวะเที่ยวรอเวลาอบรม
13.00น. เริ่มอบรมที่วัดถ้ำหลวงเชียงดาว เดินเข้ามาในเขตวัดเลย จะมีป้ายบอกทางอยู่
มาถึงก็หาชื่อตัวเองเพื่อดูลำดับหมายเลขของตัวเอง เพื่อเอาไว้ติดต่อเจ้าหน้าที่
ทำการลงทะเบียน แล้วอบรม
เจ้าหน้าที่จะให้ความรู้เกี่ยวกับสถานที่ ระเบียบ ข้อบังคับต่างๆ และการเตรียมตัวสำหรับวันพรุ่งนี้
อบรมเสร็จก็จะได้รับบัตรประจำตัวมา
หลังจากนั้นก็หาซื้อของที่ขาด แล้วก็พักผ่อน
4.12.22
เตรียมตัวแต่เช้ามืด แพ็คของครั้งสุดท้าย เสร็จแล้วออกไปตลาดในตัวเมืองเชียงดาว
หาซื้อเสบียง เราเตรียมข้าวเหนียวหมูปิ้งกับไก่ทอดไว้สำหรับมื้อเช้าและกลางวัน
ส่วนมื้อเย็น มื้อเช้าและมื้อเที่ยงของวันถัดไป จะเป็นมาม่า ขนม และขนมปังต่างๆ
น้ำดื่มเราเอาไป 1.5 ลิตร 2 ขวด และ 600 มล. 2 ขวด
พอพร้อมแล้วก็มุ่งหน้าไปยังที่ทำการเขต (มีห้องน้ำ และห้องอาบน้ำให้ใช้)
8.00น. เป็นเวลาที่เจ้าหน้าที่นัดเราไว้ มี 4 จุด ให้เราเช็คอิน
จุดที่ 1 จะเป็นการลงทะเบียน
จุดที่ 2 จ่ายค่าธรรมเนียม ค่าเข้า กับค่ากางเต๊นท์ (จำราคาไม่ได้ แต่ไม่เกิน 70.-)
จุดที่ 3 ไปรับถุงฉี่ 2 ใบ, ถุงขยะดำไว้ขับถ่าย, ทิชชู่ พร้อมกระเป๋า 1 ใบ
จุดที่ 4 ตรวจเช็คขยะ เจ้าหน้าที่จะนับจำนวนขยะที่เราจะพกขึ้นไป เช่น ซองขนม, ขวดน้ำ, กระป๋องมาม่า, กระป๋องแก๊สและทิชชู่ เป็นต้น นับว่ามีเท่าไหร่ แล้วจ่ายมัดจำคนละ 500.- ขาลงเราต้องนับกลับลงมาให้ครบตามจำนวน แล้วจะได้เงินคืน
จากนั้นก็รอขึ้นรถเพื่อไปยังจุดเริ่มเดิน ถ้ามาครบ 5 คนก็ออกเดินทางได้เลย
นั่งรถใช้เวลา 1-1 ชั่วโมงครึ่ง เส้นทางมีความขรุขระ มีฝุ่นเล็กน้อย
เราไปถึงจุดเริ่มเดิน 10 โมงนิดๆ เตรียมตัวครั้งสุดท้าย แล้วก็มีห้องน้ำจริงๆให้เข้าเป็นจุดสุดท้ายก่อนขึ้นดอย
หลังจากนี้จะเป็นเพิง (ที่สะอาด) ให้เข้า แต่เราต้องใช้ถุงฉี่ที่เขาให้มา 2 ใบ กับถุงขยะในการขับถ่าย
.
ออกเดินทาง ทางเดินชัดเจน เดินแล้วรู้ว่าต้องไปทางไหน
ทางมีความชันบ้างเล็กน้อย
เราเดินแบบก้มหน้าก้มตาเกือบตลอดทาง จนลืมดูวิวบ้างบางที
ที่นี่มีจุดให้เช็คอินด้วยนะ วันที่อบรมจะมีให้ดาวน์โหลดแอพไว้ใช้
ระหว่างทางจะมีคิวอาร์โค้ดให้เราสแกน(ไม่มีเนตก็ใช้ได้)พอสแกนแล้วก็จะมีรูปตัวอย่างจุดเด่นของบริเวณนั้นๆ
เดินไปเรื่อยๆผ่านป่าต่างๆ มีดอกไม้ตลอดทางเลย
เจอคนที่เดินลงจากดอย เขาบอกว่ามีดอกเทียนนกแก้วเหลือ 2 ดอกสุดท้าย
ไอเราก็เดินดุ่มๆหาว่าอยู่ไหน จนเจออีกคนเขาบอกว่าเลยมาแล้ว 555555 ดอกเทียนนกแก้วอยู่ตรงอุโมงค์ไผ่ แง่
จนเวลา 12.30น. เราก็เดินมาถึงปางวัว ครึ่งทางแล้ว นั่งกินข้าวเที่ยงกัน พักให้หายเหนื่อย แล้วเดินต่อ
ซึ่งเส้นทางต่อจากนี้จะชันมากขึ้น และมีความลื่นเล็กน้อย (ช่วงที่ไปน้ำค้างแรง) และระหว่างจากตรงนี้จะสวยมากกก เราจะเห็นเขาล้อมรอบตัวเราเลย
ซึ่งเราดูรูปที่ถ่ายแล้ว มันไม่สวยเท่าของจริงเลย
เดินเรื่อยๆ คอยหันหลังกลับไปมองข้างหลังบ้าง ข้างหลังสวยยย
และแล้วเราก็มาถึงจุดกางเต็นท์ตอนประมาณบ่ายสาม
หาทำเลดีๆกางเต็นท์ แล้วพักผ่อนได้เลย
.
พอเวลาประมาณ 4 โมงกว่าๆเจ้าหน้าที่ก็จะบอกว่าขึ้นดอยได้
เราก็เตรียมเสื้อกันหนาวกับน้ำพกไปด้วย แล้วก็ใส่ถุงมือเดินขึ้นดอยไป
ทางเดินขึ้นดอยค่อนข้างชัน และต้องปีนหินขึ้นไป บางจุดจะมีเชือกให้เราไต่ขึ้นไป ใช้เวลาสักพักนึงก็จะถึง
ระหว่างทางเจอกวางผาด้วย ออกมายืนบนหินให้เห็นที่เขาลูกทางขวา เท่มาก 555555
แล้วเราก็ขึ้นมาถึง “ยอดดอยหลวงเชียงดาว”
ขึ้นมาก็คือสวยยยยย เขาสลับทับซ้อน
ยืนจ้องวิวตรงหน้าพักนึง แล้วนึกได้ว่า โหหหหห เราเดินมาไกลมากเลยนะเนี่ย
พอเก็บเกี่ยววิวตรงหน้าเสร็จ เราก็เดินลงก่อนที่ฟ้าจะมืด เพราะว่า.. เราไม่ได้เอาไฟฉายคาดหัวมา แง่
ทางที่ขึ้นมาค่อนข้างลำบาก แล้วหินก็ค่อนข้างคม เลยอยากลงตอนที่ฟ้ายังสว่างอยู่
แล้วก็คิดแล้วแหละ ว่าพรุ่งนี้เช้าไม่น่าจะขึ้นมา
เดินลงไปถึงก็ทำการต้มน้ำใส่มาม่าทันที เพราะว่าน้ำค้างเริ่มลงแล้ว
กินเสร็จน้ำที่เหลือก็เทลงขวดน้ำ เขาห้ามเทน้ำที่ไม่ใช่น้ำเปล่าลงบนพื้นนะ เพราะว่าสัตว์อาจจะมากินได้
ทำให้เขาอาจจะเสียนิสัย ไม่ยอมหาอาหารเอง
แล้วก็ไม่ได้แปรงฟันนะ 55555 เพราะว่าน้ำที่บ้วนปากก็ไม่ควรบ้วนลงพื้น ก็เลยเคี้ยวหมากฝรั่งแทนเอา.. วันเดียวไม่เป็นไรหรอกเนอะ
เสร็จแล้วกินยาคลายกล้ามเนื้อ แล้วก็นอนจ้า ไม่ได้อาบน้ำนะ เอาผ้ามาเช็ดๆเอา
อ่อๆ แล้วก็ห้องน้ำ จะเป็นเพิงเปล่าๆ ที่มีส้วมตั้งไว้ ถ้าจะถ่ายเบาก็ใช้ถุง พอฉี่ลงไปทิ้งไว้สักพักจะกลายเป็นเจล เราก็พกลงไปทิ้งข้างล่าง ส่วนถ่ายหนัก ให้เอาถุงดำสวมทับส้วม พอเสร็จภารกิจก็มัดให้เป็นถุงเล็กๆ หย่อนไว้ที่ๆเขาจัดไว้ให้
5.12.2022
หลับสนิทสุดๆไปเลย แต่มาตื่นตอนเที่ยงคืนเพราะหนาว
วันที่เราไป น้ำค้างแรงมากๆ เท้าแตะเต็นท์ไม่ได้เลย หนาว แล้วก็แนะนำว่าแผ่นรองนอนสำคัญมากๆ เพราะพื้นเย็นมาก
อีกอย่างคือที่อุดหู เผื่อใครนอนยาก แล้วเต็นท์ใกล้ๆนอนดึกจะได้ช่วยเบาเสียงไปได้บ้าง
ตื่นเช้ามา ก็เติมพลังด้วยขนมปังนี่แหละ เสร็จแล้วก็เก็บของแล้วเดินลง
ซึ่งเราชอบตอนเดินลงมากกว่าเดินขึ้นนะ เพราะว่าเราเดินจากที่สูงไปต่ำ มันเห็นวิวระหว่างทางชัดมากๆ แล้วมันสวยมากๆด้วย
แล้วอีกหนึ่งสิ่งที่พลาดไม่ได้คือ ดอกเทียนนกแก้ว!! ยังไม่ลืม 55555 ก็ตามหาอุโมงค์ไผ่
เจอไผ่แล้วไผ่อีก ก็หาไม่เจอ มันเขียวไปหมด
จนในที่สุดก็เจอจนได้ เย่ มีเหลือ 1 ดอก คุณเขาตาดีมองเห็น ซึ่งเป็นอุโมงค์ไผ่ที่เป็นอุโมงค์จริงๆ แล้วไผ่ก็ไผ่ใหญ่ๆ (ที่ผ่านมาคือ เจอกอไผ่ก็นึกว่าตรงนั้นละ 55555)
และแล้วภารกิจดอยหลวงเชียงดาวครั้งนี้ก็สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี
เราเดินมาถึงจุดเริ่มต้นประมาณ 10 โมงกว่าๆ ใช้เวลาเดินลง 2 ชั่วโมง
อยากบอกว่าเส้นทางไม่ยากมาก แต่ก็ยากนิดหน่อย 555555 แล้วก็เหนื่อยเหมือนกัน แอบท้อเล็กน้อย
อาจเป็นเพราะเราเองไม่ค่อยพักเท่าไหร่ แล้วก็เสพบรรยากาศน้อยเกินไป มั่วแต่เร่งเดินจนเกินไป.. แง่
ขอบคุณคุณเขา เพื่อนร่วมทางทุกๆคน ที่เจอกันระหว่างเดิน ได้แวะคุยกัน ให้กำลังใจกัน มันชุบชูจิตใจได้ดีมากๆเลยค่ะ แล้วก็ขอบคุณเจ้าหน้าที่ด้วยนะคะ
ที่นี่อาจจะมีข้อกำหนดที่มากกว่าที่อื่น แต่ทุกๆสิ่งที่เขาให้เราทำเป็นสิ่งมีเหตุผล และดีต่อธรรมชาติมากๆเลย
ไว้มีโอกาสจะกลับไปอีกนะ.. “ดอยหลวงเชียงดาว”
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ขอฝากเพจ https://www.facebook.com/luksaothejourney
และตามไปอ่านกระทู้เก่าๆได้นะคะ
[เที่ยวไทย] ดอยหลวงเชียงดาว ที่ๆคุณเขาอยากมา : 3-5 ธันวาคม 2022
เราก็ทำการปักหมุดที่ https://www.chiangdao-biosphere.com/ เอาไว้
อ่านข้อกำหนดต่างๆให้ละเอียด เตรียมเอกสารให้พร้อม พอถึงวันจองก็ลุยเลย
ลืมบอกไปว่าทริปดอยหลวงเชียงดาวจะใช้เวลาทั้งหมด 3 วันด้วยกัน
-วันแรกจะเป็นการอบรม เนื่องจากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดอยหลวงเชียงดาวเป็นพื้นที่สงวนชีวมณฑลจึงมีข้อบังคับที่ค่อนข้างมีระเบียบกว่าที่อื่นๆ ซึ่งการอบรมก็จะทำให้เราได้รู้ถึงเหตุและผลต่างๆ ว่าทำไมเขาถึงมีกฎหรือข้อบังคับให้เราทำตาม ของเราเขานัดช่วง 13.00-14.30 น.
-วันที่สองเป็นวันเดินขึ้นดอย
-วันที่สามเป็นวันเดินลง
ขั้นตอนการจองไม่ยาก เพียงแค่เราอ่านข้อกำหนดต่างๆมาก่อน การจองก็จะทำได้เร็วยิ่งขึ้น
โดยเมื่อจองเสร็จแล้วก็ทำการโอนเงิน แล้วยืนยันหลักฐานหน้าเวปได้เลย
ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้เราจ่ายไปคนละ 1,230.- ไม่มีค่าเช่าอุปกรณ์ต่างๆ (เต๊นท์ เตาแก๊ส แผ่นรองนอน หม้อสนามแก๊สกระป๋อง ถุงนอน) และไม่ได้จ้างลูกหาบ
พอจองได้เรียบร้อย ขั้นตอนต่อไปก็คือจองรถทัวร์ รถเช่า และที่พัก
-เราเลือกรถทัวร์เพราะอยากประหยัด 55555 ง่ายๆเลย จองสมบัติทัวร์ไป-กลับเลย ราคา 1386.-
-เช่ารถที่นู้น ตอนแรกก็คิดว่าอยากจะนั่งรถสาธารณะ แต่เท่าที่ดูคิดว่าน่าจะกินเวลา บวกกับอยากจะมีที่เก็บของไว้ตอนที่เดินขึ้นดอย แล้วก็อาจจะไปแวะที่อื่นบ้างเล็กๆน้อยๆ เลยตัดสินใจเช่ารถ ใช้ไม่ค่อยคุ้มแต่ก็แลกมากับความสบาย
-ที่พัก เราเลือกที่พักที่ใกล้ๆกับที่อบรมและที่ทำการเขตฯ จะได้ประหยัดเวลา เราจอง สวนฉันโฮมสเตย์ คืนละ 750.-
การเตรียมตัว
เตรียมอุปกรณ์ต่างๆให้พร้อม สิ่งที่สำคัญเลยสำหรับเราคือ ไม้ค้ำ รองเท้าถุงเท้า ถุงมือ ไฟฉายคาดหัว และยาคลายกล้ามเนื้อ
ที่นี่ห้ามพกทิชชู่เปียกไป และไม่มีที่อาบน้ำ การทำความสะอาดร่างกายก็คือเอาผ้าเล็กๆชุบน้ำเช็ดเอา หรือทำใจให้สบาย อากาศข้างบนมันเย็น ความรู้สึกเหนียวตัวมันก็หายไปเอง แฮร่ (พูดจริงนะ)
และที่สำคัญคือร่างกาย ควรออกกำลังกายก่อนไปมากๆ เพื่อการเดินป่าที่ไม่ท้อ
ปีที่แล้วเราเจ็บเข่าจากการเดินป่า เพราะลงน้ำหนักผิดตอนเดินลง ตลอดทั้งปีเลยแทบจะไม่ได้ออกกำลังกายเลยเพราะต้องพักเข่าให้หายดี ก่อนเดินป่าเดือนนึง รอบนี้เลยเน้นออกกำลังกายแบบ Low impact ไม่กระโดด ไม่หักโหมเน้นว่าได้ออก บริหารขาเยอะๆ ให้กล้ามเนื้อแข็งแรง (แล้วตอนที่เดินก็ใส่สนับเข่าด้วย)
เริ่มเดินทางกันเลย!!
3.12.22
มาถึงเชียงใหม่เรียบร้อยตอน 6 โมงเช้า หาข้าวเช้ากิน แล้วแวะเที่ยวรอเวลาอบรม
13.00น. เริ่มอบรมที่วัดถ้ำหลวงเชียงดาว เดินเข้ามาในเขตวัดเลย จะมีป้ายบอกทางอยู่
มาถึงก็หาชื่อตัวเองเพื่อดูลำดับหมายเลขของตัวเอง เพื่อเอาไว้ติดต่อเจ้าหน้าที่
ทำการลงทะเบียน แล้วอบรม
เจ้าหน้าที่จะให้ความรู้เกี่ยวกับสถานที่ ระเบียบ ข้อบังคับต่างๆ และการเตรียมตัวสำหรับวันพรุ่งนี้
อบรมเสร็จก็จะได้รับบัตรประจำตัวมา
หลังจากนั้นก็หาซื้อของที่ขาด แล้วก็พักผ่อน
4.12.22
เตรียมตัวแต่เช้ามืด แพ็คของครั้งสุดท้าย เสร็จแล้วออกไปตลาดในตัวเมืองเชียงดาว
หาซื้อเสบียง เราเตรียมข้าวเหนียวหมูปิ้งกับไก่ทอดไว้สำหรับมื้อเช้าและกลางวัน
ส่วนมื้อเย็น มื้อเช้าและมื้อเที่ยงของวันถัดไป จะเป็นมาม่า ขนม และขนมปังต่างๆ
น้ำดื่มเราเอาไป 1.5 ลิตร 2 ขวด และ 600 มล. 2 ขวด
พอพร้อมแล้วก็มุ่งหน้าไปยังที่ทำการเขต (มีห้องน้ำ และห้องอาบน้ำให้ใช้)
8.00น. เป็นเวลาที่เจ้าหน้าที่นัดเราไว้ มี 4 จุด ให้เราเช็คอิน
จุดที่ 1 จะเป็นการลงทะเบียน
จุดที่ 2 จ่ายค่าธรรมเนียม ค่าเข้า กับค่ากางเต๊นท์ (จำราคาไม่ได้ แต่ไม่เกิน 70.-)
จุดที่ 3 ไปรับถุงฉี่ 2 ใบ, ถุงขยะดำไว้ขับถ่าย, ทิชชู่ พร้อมกระเป๋า 1 ใบ
จุดที่ 4 ตรวจเช็คขยะ เจ้าหน้าที่จะนับจำนวนขยะที่เราจะพกขึ้นไป เช่น ซองขนม, ขวดน้ำ, กระป๋องมาม่า, กระป๋องแก๊สและทิชชู่ เป็นต้น นับว่ามีเท่าไหร่ แล้วจ่ายมัดจำคนละ 500.- ขาลงเราต้องนับกลับลงมาให้ครบตามจำนวน แล้วจะได้เงินคืน
จากนั้นก็รอขึ้นรถเพื่อไปยังจุดเริ่มเดิน ถ้ามาครบ 5 คนก็ออกเดินทางได้เลย
นั่งรถใช้เวลา 1-1 ชั่วโมงครึ่ง เส้นทางมีความขรุขระ มีฝุ่นเล็กน้อย
เราไปถึงจุดเริ่มเดิน 10 โมงนิดๆ เตรียมตัวครั้งสุดท้าย แล้วก็มีห้องน้ำจริงๆให้เข้าเป็นจุดสุดท้ายก่อนขึ้นดอย
หลังจากนี้จะเป็นเพิง (ที่สะอาด) ให้เข้า แต่เราต้องใช้ถุงฉี่ที่เขาให้มา 2 ใบ กับถุงขยะในการขับถ่าย
.
ออกเดินทาง ทางเดินชัดเจน เดินแล้วรู้ว่าต้องไปทางไหน
ทางมีความชันบ้างเล็กน้อย
เราเดินแบบก้มหน้าก้มตาเกือบตลอดทาง จนลืมดูวิวบ้างบางที
ที่นี่มีจุดให้เช็คอินด้วยนะ วันที่อบรมจะมีให้ดาวน์โหลดแอพไว้ใช้
ระหว่างทางจะมีคิวอาร์โค้ดให้เราสแกน(ไม่มีเนตก็ใช้ได้)พอสแกนแล้วก็จะมีรูปตัวอย่างจุดเด่นของบริเวณนั้นๆ
เดินไปเรื่อยๆผ่านป่าต่างๆ มีดอกไม้ตลอดทางเลย
เจอคนที่เดินลงจากดอย เขาบอกว่ามีดอกเทียนนกแก้วเหลือ 2 ดอกสุดท้าย
ไอเราก็เดินดุ่มๆหาว่าอยู่ไหน จนเจออีกคนเขาบอกว่าเลยมาแล้ว 555555 ดอกเทียนนกแก้วอยู่ตรงอุโมงค์ไผ่ แง่
จนเวลา 12.30น. เราก็เดินมาถึงปางวัว ครึ่งทางแล้ว นั่งกินข้าวเที่ยงกัน พักให้หายเหนื่อย แล้วเดินต่อ
ซึ่งเส้นทางต่อจากนี้จะชันมากขึ้น และมีความลื่นเล็กน้อย (ช่วงที่ไปน้ำค้างแรง) และระหว่างจากตรงนี้จะสวยมากกก เราจะเห็นเขาล้อมรอบตัวเราเลย
ซึ่งเราดูรูปที่ถ่ายแล้ว มันไม่สวยเท่าของจริงเลย
เดินเรื่อยๆ คอยหันหลังกลับไปมองข้างหลังบ้าง ข้างหลังสวยยย
และแล้วเราก็มาถึงจุดกางเต็นท์ตอนประมาณบ่ายสาม
หาทำเลดีๆกางเต็นท์ แล้วพักผ่อนได้เลย
พอเวลาประมาณ 4 โมงกว่าๆเจ้าหน้าที่ก็จะบอกว่าขึ้นดอยได้
เราก็เตรียมเสื้อกันหนาวกับน้ำพกไปด้วย แล้วก็ใส่ถุงมือเดินขึ้นดอยไป
ทางเดินขึ้นดอยค่อนข้างชัน และต้องปีนหินขึ้นไป บางจุดจะมีเชือกให้เราไต่ขึ้นไป ใช้เวลาสักพักนึงก็จะถึง
ระหว่างทางเจอกวางผาด้วย ออกมายืนบนหินให้เห็นที่เขาลูกทางขวา เท่มาก 555555
แล้วเราก็ขึ้นมาถึง “ยอดดอยหลวงเชียงดาว”
ขึ้นมาก็คือสวยยยยย เขาสลับทับซ้อน
ยืนจ้องวิวตรงหน้าพักนึง แล้วนึกได้ว่า โหหหหห เราเดินมาไกลมากเลยนะเนี่ย
พอเก็บเกี่ยววิวตรงหน้าเสร็จ เราก็เดินลงก่อนที่ฟ้าจะมืด เพราะว่า.. เราไม่ได้เอาไฟฉายคาดหัวมา แง่
ทางที่ขึ้นมาค่อนข้างลำบาก แล้วหินก็ค่อนข้างคม เลยอยากลงตอนที่ฟ้ายังสว่างอยู่
แล้วก็คิดแล้วแหละ ว่าพรุ่งนี้เช้าไม่น่าจะขึ้นมา
เดินลงไปถึงก็ทำการต้มน้ำใส่มาม่าทันที เพราะว่าน้ำค้างเริ่มลงแล้ว
กินเสร็จน้ำที่เหลือก็เทลงขวดน้ำ เขาห้ามเทน้ำที่ไม่ใช่น้ำเปล่าลงบนพื้นนะ เพราะว่าสัตว์อาจจะมากินได้
ทำให้เขาอาจจะเสียนิสัย ไม่ยอมหาอาหารเอง
แล้วก็ไม่ได้แปรงฟันนะ 55555 เพราะว่าน้ำที่บ้วนปากก็ไม่ควรบ้วนลงพื้น ก็เลยเคี้ยวหมากฝรั่งแทนเอา.. วันเดียวไม่เป็นไรหรอกเนอะ
เสร็จแล้วกินยาคลายกล้ามเนื้อ แล้วก็นอนจ้า ไม่ได้อาบน้ำนะ เอาผ้ามาเช็ดๆเอา
อ่อๆ แล้วก็ห้องน้ำ จะเป็นเพิงเปล่าๆ ที่มีส้วมตั้งไว้ ถ้าจะถ่ายเบาก็ใช้ถุง พอฉี่ลงไปทิ้งไว้สักพักจะกลายเป็นเจล เราก็พกลงไปทิ้งข้างล่าง ส่วนถ่ายหนัก ให้เอาถุงดำสวมทับส้วม พอเสร็จภารกิจก็มัดให้เป็นถุงเล็กๆ หย่อนไว้ที่ๆเขาจัดไว้ให้
หลับสนิทสุดๆไปเลย แต่มาตื่นตอนเที่ยงคืนเพราะหนาว
วันที่เราไป น้ำค้างแรงมากๆ เท้าแตะเต็นท์ไม่ได้เลย หนาว แล้วก็แนะนำว่าแผ่นรองนอนสำคัญมากๆ เพราะพื้นเย็นมาก
อีกอย่างคือที่อุดหู เผื่อใครนอนยาก แล้วเต็นท์ใกล้ๆนอนดึกจะได้ช่วยเบาเสียงไปได้บ้าง
ตื่นเช้ามา ก็เติมพลังด้วยขนมปังนี่แหละ เสร็จแล้วก็เก็บของแล้วเดินลง
ซึ่งเราชอบตอนเดินลงมากกว่าเดินขึ้นนะ เพราะว่าเราเดินจากที่สูงไปต่ำ มันเห็นวิวระหว่างทางชัดมากๆ แล้วมันสวยมากๆด้วย
แล้วอีกหนึ่งสิ่งที่พลาดไม่ได้คือ ดอกเทียนนกแก้ว!! ยังไม่ลืม 55555 ก็ตามหาอุโมงค์ไผ่
เจอไผ่แล้วไผ่อีก ก็หาไม่เจอ มันเขียวไปหมด
จนในที่สุดก็เจอจนได้ เย่ มีเหลือ 1 ดอก คุณเขาตาดีมองเห็น ซึ่งเป็นอุโมงค์ไผ่ที่เป็นอุโมงค์จริงๆ แล้วไผ่ก็ไผ่ใหญ่ๆ (ที่ผ่านมาคือ เจอกอไผ่ก็นึกว่าตรงนั้นละ 55555)
และแล้วภารกิจดอยหลวงเชียงดาวครั้งนี้ก็สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี
เราเดินมาถึงจุดเริ่มต้นประมาณ 10 โมงกว่าๆ ใช้เวลาเดินลง 2 ชั่วโมง