ปิดฉากลงไปแล้ว
สำหรับ FIFA WORLD CUP QATAR 2022
ที่ดุเดือดแถมพลิกล็อกกันในหลายๆ คู่
แม้ว่าการแข่งขันจะได้รับความสนใจ
จากแฟนบอลชาวไทย แต่ดูเหมือนว่า
จะไม่ได้ช่วยให้เม็ดเงินโฆษณา
ที่ลงกับทีวีดิจิทัลจะไม่ได้ดุเดือดตามไปด้วย
เพราะจากปกติเม็ดเงินในมหกรรมกีฬา
จะต้องสะพัดไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท
กลับเหลือไปได้ไม่ถึง 200 ล้านบาทด้วยซ้ำ
ภวัต เรืองเดชวรชัย ประธานกรรมการ
และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท มีเดียอินเทลลิเจนซ์ จำกัด กล่าวว่า
โดยปกติมหกรรมกีฬาใหญ่ ๆ ระดับโลก
หรือระดับภูมิภาค มักเป็นที่สนใจ
และติดตามของแฟนกีฬาชาวไทย
ซึ่งทำให้ช่วงเวลาดังกล่าว
เม็ดเงินการตลาดสื่อสารการตลาดของเหล่า
ผู้ประกอบการและแบรนด์จะสะพัดอย่างมากเพื่อเกาะกระแสมหกรรมดังกล่าว
โดยช่วงก่อนปี 2020 ก่อนการระบาดของโควิด มหกรรมกีฬาเหล่านี้
ทำให้เกิดเม็ดการตลาด สื่อสารการตลาด
โดยเฉพาะเม็ดเงินโฆษณาทางสื่อโทรทัศน์สะพัดไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท
แต่ FIFA WORLD CUP QATAR 2022
ที่เพิ่งจบลงไป มีเม็ดเงินโฆษณาที่สะพัด
บนสื่อโทรทัศน์อยู่ที่ 136 ล้านบาท เท่านั้น
“เม็ดเงินที่เข้ามา 7 อันดับแรก
มาจากแบรนด์ที่ลงขันซื้อลิขสิทธิ์
โดยทาง MI ได้คำนวณ
จำนวนสปอตโฆษณาของแบรนด์ที่ลงขัน ประเมินออกมาเป็นเม็ดเงิน
รวมเม็ดเงินของแบรนด์ที่มาลงโฆษณาจริง
สรุปแล้วอยู่ที่กว่า 136 ล้านบาทเท่านั้น
แสดงให้เห็นว่าบอลโลกปีนี้
ไม่ได้มาช่วยสื่อทีวีเลย”
หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ยอดเม็ดเงินโฆษณา
ไม่สะพัดอย่างที่เคยเป็น ก็คือ ความล่าช้า
ความไม่ชัดเจน ของรายละเอียด
และเงื่อนไขต่าง ๆ ในการถ่ายทอดสด
เช่น รายชื่อสปอนเซอร์หลัก
แพ็กเกจการขายโฆษณา
ตารางช่องทางการถ่ายทอด
รวมถึงสิทธิ์ในการสื่อสารทางการตลาดอื่น ๆ (Sport Marketing) ที่ยังไม่ได้ข้อสรุปที่แน่นอนจนถึงวินาทีสุดท้าย
ก่อนมหกรรมฟุตบอลจะเริ่มขึ้น
สำหรับช่องที่มีสัดส่วนเม็ดเงินโฆษณาในช่วงบอลโลกมากที่สุดได้แก่ ช่อง TRUE4U (68%) ตามด้วย ช่อง 7 (10%), ช่อง ONE (6%),
ช่อง 3 และ Amarin TV (ช่องละ 4%)
“เม็ดเงินที่ขายโฆษณาได้ต่อนาที
อยู่ที่หลักหมื่นเท่านั้น
มีแค่ไม่กี่นัดที่จะขายได้หลักแสน
แต่มีช่อง 7 ที่สามารถขายโฆษณา
ได้ถึง 3.5 แสนบาท/นาที เพราะเป็น
นัดชิงระหว่างอาร์เจนตินาและฝรั่งเศส”
บอลโลกไม่ทำเงิน บอลไทยไม่ต้องพูดถึง
สำหรับศึก AFF Suzuki Cup ที่ปีนี้
เปลี่ยนชื่อเป็น AFF Mitsubishi Electric Cup
ตามสปอนเซอร์ใหม่
ที่เริ่มแข่งนัดแรกวันอังคารที่ 20 ธันวาคมนี้
ก็ไม่มีใครซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด
จากเดิม ช่อง 7 จะเป็นเจ้าประจำที่ซื้อลิขสิทธิ์ ทั้งที่ในปี 2564 การแข่งขันฟุตบอล AFF
จะถือว่าเป็นรายการที่มีเรตติ้งสูงสุดก็ตาม
ภวัต ให้ 3 สาเหตุว่า ที่ไม่มีใครซื้อลิขสิทธิ์
เพราะ ไม่คุ้ม เพราะต้นทุนที่สูง
และเงื่อนไขที่เสี่ยงจะไม่ทำกำไร
เพราะสปอร์ตไฟว์
คนกลางในการเจรจาซื้อลิขสิทธิ์
ต้องการขายแบบครบแพ็กเกจ 26 นัด เท่านั้น
ซึ่งแปลว่าต้องดูคู่ที่ไม่ใช่ไทยแข่งด้วย
ดังนั้น คู่ที่ไม่ใช่ทีมไทยแข่ง
อาจจะขายโฆษณาไม่ได้เพราะไม่มีผู้ชม
สาเหตุที่ 2 คือ การ บังคับซื้อลิขสิทธิ์
2 ครั้ง สุดท้าย ความนิยมที่ลดลง
ขนาดบอลโลก
ยังไม่มีใครกล้าลงเงินซื้อลิขสิทธิ์
บอลระดับภูมิภาคยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ภวัต ย้ำว่า คอนเทนต์ที่พยุงทีวีให้ยังไปได้
ในปัจจุบันคือ ข่าว เพราะมีความน่าเชื่อถือ ประกอบกับที่ผ่านมา Fake News เยอะ
ทำให้คอนเทนต์ข่าวเป็นคอนเทนต์หลักของทีวี นอกจากนี้ ละคร
ก็ยังเป็นคอนเทนต์ที่พยุงทีวีให้ไปต่อได้ เนื่องจากช่องต่าง ๆ ให้ความสำคัญใน
การถ่ายทอดสดก่อนที่จะลงสตรีมมิ่งอื่น ๆ
ส่วนคอนเทนต์วาไรตี้อื่น ๆ
ผู้บริโภคเน้นดูย้อนหลังมากกว่า
🔎 ‘ทีวีดิจิทัล’ โกยเงินโฆษณาช่วง ‘บอลโลก’ ไม่ถึง 200 ล. ‘TRUE4U’ ครองส่วนแบ่งมากสุด
“เม็ดเงินที่เข้ามา 7 อันดับแรก