JJNY : กมธ.สภา ตามเรื่องส่อทุจริต| "หมอธีระ" ยกงานวิจัยสหรัฐอเมริกา| เอกชนจ๊าก ค่าไฟขึ้น| สหรัฐฯประเมินแนวโน้มโควิดจีน

กระทู้ข่าว
กมธ.สภาผู้แทนราษฎร ตามเรื่องส่อทุจริต อปท.หนุนเอกชนครอบครองที่ดิน ส.ป.ก. 4-01
https://prachatai.com/journal/2022/12/101903
 
 
กมธ.กิจการศาลฯ และ กมธ.กระจายอำนาจฯ สภาผู้แทนราษฎร ตามเรื่องส่อทุจริตขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หนุนเอกชนครอบครองที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 จำนวนกว่า 1,000 ไร่ ด้วยวิธีการที่ให้บริษัทเอกชนนำบุคคลที่เป็นเครือข่ายและพนักงานถือครองสิทธิในที่ดินดังกล่าวเป็นจำนวนมาก
 
เว็บไซต์สถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์รัฐสภา รายงานเมื่อวันที่ 15 ธ.ค. 2565 ว่านายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ประธานคณะกรรมาธิการกิจการศาล องค์กรอิสระ องค์กรอัยการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และกองทุน สภาผู้แทนราษฎร นายซูการ์โน มะทา ประธานคณะกรรมาธิการการกระจายอำนาจ การปกครองส่วนท้องถิ่น และการบริหารราชการรูปแบบพิเศษ สภาผู้แทนราษฎร ร่วมแถลงกรณีได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนใน จ.สระบุรี และภูเก็ต ถึงการกระทำความผิดขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่ทำให้บริษัทเอกชนได้มาซึ่งที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 จำนวนกว่า 1,000 ไร่ ทั้งที่ที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินที่รัฐสงวนไว้เฉพาะให้กับประชาชนซึ่งเป็นเกษตรกรผู้ยากจนหรือยากไร้และไม่มีที่ดินทำกิน ด้วยวิธีการที่ให้บริษัทเอกชนนำบุคคลที่เป็นเครือข่ายและพนักงานของบริษัทเข้าถือครองสิทธิในที่ดินดังกล่าวเป็นจำนวนมาก  
 
โดยบุคคลดังกล่าวไม่อยู่ในกฎเกณฑ์เงื่อนไขระเบียบของราชการและไม่มีคุณสมบัติของการได้กรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินทำกิน ไม่เข้าหลักเกณฑ์นิยามคำว่ายากจน และยังพบว่าบุคคลที่ครอบครอง ได้นำที่ดินไปแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย  ขณะที่กรรมาธิการทั้ง 2 คณะได้ลงพื้นที่หาข้อมูลหลักฐานที่ปรากฏจากชื่อ การลงนาม สถานะ อาชีพ แหล่งที่อยู่ สถานที่ ทำงาน ของผู้ครอบครอง สำหรับกระบวนการได้มาซึ่งสิทธิและครอบครองที่ดิน ส.ป.ก. ดังกล่าวอาจมิชอบด้วยพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 ดังนั้น คณะกรรมาธิการการกระจายอำนาจฯ จะนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมกรรมาธิการในวันพุธที่ 21 ธ.ค. นี้และจะมอบหลักฐานเพิ่มเติมให้กับประธานคณะกรรมาธิการกิจการศาลฯ เพื่อนำไปพิจารณาศึกษา อย่างรอบคอบ เพื่อประโยชน์และความชอบธรรมกับเกษตรกรผู้ที่ไม่มีที่ดินทำกินต่อไป นอกจากนี้ ประธานคณะกรรมาธิการกิจการศาลฯ เผยว่าจะนำเรื่องดังกล่าวเป็นประเด็นในการยื่นญัตติเปิดอภิปรายทั่วไปรัฐบาลแบบไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 ซึ่งคาดว่าจะอภิปรายในช่วงต้นเดือน ม.ค. 2566


 
"หมอธีระ" ยกงานวิจัยสหรัฐอเมริกา วัคซีน Bivalent ลดเสี่ยงป่วยนอนรพ.
https://siamrath.co.th/n/408102
 
วันที่ 17 ธ.ค.65 รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Thira Woratanarat ระบุว่า...
 
เมื่อวานทั่วโลกติดเพิ่ม 391,058 คน ตายเพิ่ม 911 คน รวมแล้วติดไป 656,864,576 คน เสียชีวิตรวม 6,669,350 คน
5 อันดับแรกที่ติดเชื้อสูงสุดคือ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา และออสเตรเลีย
 
เมื่อวานนี้จำนวนติดเชื้อใหม่มีประเทศจากยุโรปและเอเชียครอง 7 ใน 10 อันดับแรก และ 16 ใน 20 อันดับแรกของโลก
จำนวนติดเชื้อใหม่ในแต่ละวันของทั่วโลกตอนนี้ มาจากทวีปเอเชียและยุโรป รวมกันคิดเป็นร้อยละ 86.99 ของทั้งโลก ในขณะที่จำนวนการเสียชีวิตคิดเป็นร้อยละ 80.57
 
...อัพเดตสถานการณ์ระบาดในอเมริกา
 
ล่าสุด BQ.1.x ครองสัดส่วนการระบาดสูงสุดถึงเกือบ 70% ในขณะที่ BA.5 มีอยู่ 10% และ XBB ยังมีสัดส่วนไม่มาก 7.2%
แนวโน้มการระบาดแบบ Variant soup หรือที่เข้าใจกันได้ว่าเป็นการระบาดแบบสายพันธุ์หลากหลายของทั่วโลกนั้น ถือเป็นการเปลี่ยนโฉมจากระลอกก่อนๆ ในรอบสองปีที่ผ่านมา
 
อย่างไรก็ตาม สังเกตเห็นได้ชัดเจนว่า ไม่ว่าจะ BQ.1.x กับ BA.5 ที่กลายพันธุ์เพิ่มหลายตำแหน่ง ที่กำลังระบาดมากในยุโรปและอเมริกา, XBB ในเอเชีย, และแม้แต่ BA.2.75.x ในไทยก็ตาม ล้วนเป็นสายพันธุ์ที่ชูธงเรื่องสมรรถนะของไวรัสที่ดื้อต่อภูมิคุ้มกันมากกว่าเดิม
 
...อัพเดตความรู้โควิด-19

"Bivalent vaccines ช่วยลดเสี่ยงป่วยนอนโรงพยาบาลได้มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มสูงอายุ"

งานวิจัยล่าสุดจากสหรัฐอเมริกา เผยแพร่ในวารสารทางการแพทย์และสาธารณสุข MMWR เมื่อวานนี้ 16 ธันวาคม 2565
ชี้ให้เห็นว่า กลุ่มที่ได้รับวัคซีนชนิด Bivalent จะช่วยป้องกันการป่วยนอนโรงพยาบาลได้มากกว่ากลุ่มที่ได้รับวัคซีนชนิดดั้งเดิม (Monovalent vaccine)
โดยในกลุ่มสูงอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป พบว่าช่วยลดความเสี่ยงป่วยนอนโรงพยาบาลได้ถึง 84% เมื่อเทียบกับการไม่ได้ฉีดวัคซีน และกว่า 70-80% เมื่อเทียบกับกลุ่มที่เคยได้วัคซีนชนิดดั้งเดิมมาก่อนอย่างน้อย 2 เข็ม
 
ทั้งนี้หากเป็นกลุ่มที่อายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป ผลในการลดความเสี่ยงป่วยนอนโรงพยาบาลจะอยู่ประมาณ 57% เมื่อเทียบกับการไม่ได้ฉีดวัคซีน และ 38-45% เมื่อเทียบกับกลุ่มที่เคยได้วัคซีนชนิดดั้งเดิมมาก่อนอย่างน้อย 2 เข็ม

 ...สำหรับไทยเรา
เน้นย้ำการใช้ชีวิตอย่างมีสติ ไม่ประมาท ป้องกันตัวอย่างสม่ำเสมอ เพราะสถานการณ์ปัจจุบันยังมีการติดเชื้อแพร่เชื้อจำนวนมาก
การฉลองคริสตมาสและปีใหม่ พักผ่อนอยู่กับสมาชิกในครอบครัว เป็นทางเลือกที่ดีและเหมาะสมกับสถานการณ์มากกว่าการไปตะลอนท่องเที่ยวและพักแรมในที่ที่คนจำนวนมาก

One-day trip เป็นแนวคิดที่ดี โดยจัดแพลนที่ยืดหยุ่น หาทางเลือกเผื่อสำหรับร้านอาหาร ที่ท่องเที่ยว ที่เน้นโปร่งโล่งแจ้ง ไม่แออัด
การไปรับวัคซีนเข็มกระตุ้นให้ครบตามกำหนด จะช่วยลดเสี่ยงป่วยรุนแรง เสียชีวิต และ Long COVID
หัวใจสำคัญมากคือ การใส่หน้ากากอย่างถูกต้อง ระหว่างออกไปใช้ชีวิตประจำวันหรือท่องเที่ยว จะช่วยลดความเสี่ยงลงไปได้มาก
 
อ้างอิง
Surie D et al. Early Estimates of Bivalent mRNA Vaccine Effectiveness in Preventing COVID-19–Associated Hospitalization Among Immunocompetent Adults Aged ≥65 Years — IVY Network, 18 States, September 8–November 30, 2022. MMWR Morb Mortal Wkly Rep. ePub: 16 December 2022.
  
 


เอกชนจ๊าก ค่าไฟขึ้น เป็นของขวัญปีใหม่-ชี้นักลงทุนส่อเผ่น

สรุปข่าวหน้า 1 : เอกชนจ๊าก ค่าไฟขึ้น เป็นของขวัญปีใหม่-ชี้นักลงทุนส่อเผ่น
 
วันที่ 17 ธันวาคม จากกรณีสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) มีมติเห็นชอบค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) งวดเดือนมกราคม-เมษายน 2566 โดยตรึงไว้ที่4.72 บาทต่อหน่วย สำหรับบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟไม่เกิน 500 หน่วยต่อเดือน ส่วนผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทอื่นๆ จะปรับขึ้นที่อัตรา 5.69 บาทต่อหน่วย ทำให้ภาคเอกชนออกมาตัดพ้อ เพราะขอให้ตรึงค่าไฟภาคธุรกิจด้วย เนื่องจากจะทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นอีก
  
เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ ส.อ.ท.เรียกร้องให้ภาครัฐชะลอขึ้นค่าไฟฟ้า พร้อมสะท้อนด้วยเหตุด้วยผลมาตลอด แต่กลับได้รับการขึ้นค่าไฟฟ้าเป็นของขวัญปีใหม่ และยังได้รับข่าวอีกว่าหลังแจกของขวัญนี้แล้ว จะมีของขวัญเพิ่มเติมอีก คือค่าไฟรอบหลังเดือนเมษายน 2566 มีแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้นอีก
 
นายเกรียงไกรกล่าวว่า ส.อ.ท.จึงอยากจะสะท้อนความกังวลต่อผลกระทบจากการขึ้นค่าไฟฟ้า ประการแรกคือ ลดขีดความสามารถการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทยกับต่างประเทศ และเรื่องภาวะเงินเฟ้อ เนื่องจากเมื่อต้นทุนการผลิตทุกอย่างเพิ่ม ราคาสินค้าก็ต้องขึ้นตาม ส่งผลต่อค่าครองชีพของประชาชน
 
นายเกรียงไกรกล่าวว่า ความน่าสนใจของไทยในการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติของไทยนั้น ถ้าเทียบกับหลายประเทศต่างมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป แต่เมื่อดูเรื่องค่าไฟที่เป็นต้นทุนสำคัญก็จะทำให้ต่างชาติสะดุด เพราะค่าไฟไทยไม่ได้แพงขึ้นเพียงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับประเทศเวียดนามที่เป็นคู่แข่งสำคัญ ปัจจุบันเวียดนามมีค่าไฟอยู่ที่ 2.88 บาทต่อหน่วย ขณะที่ไทยอยู่ที่ 4.72 บาทต่อหน่วย ก็ทำให้นักลงทุนคิดหนักแล้ว แต่ไทยยังแจกของขวัญปีใหม่ปรับค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอีกเกือบ 1 บาท หรืออยู่ที่ 5.69 บาทต่อหน่วย เพราะฉะนั้น นักลงทุนต่างชาติที่กำลังจะพิจารณาย้ายฐานผลิตก็อาจไม่พิจารณามาตั้งฐานที่ไทย
 
ล่าสุดมีหลายอุตสาหกรรมที่กำลังเตรียมเข้ามาลงทุน ล้วนเป็นกลุ่มใช้ไฟฟ้าเป็นหลักในการผลิต ก็น่าจะตัดสินใจได้ทันทีว่าจะย้ายฐานไปยังประเทศอื่นๆ ที่ราคาพลังงานถูกกว่า เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย เป็นต้น ทั้งนี้ การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (เอฟดีไอ) ช่วง 6 เดือนแรกของปี 2565 (มกราคม-มิถุนายน) ในกลุ่มประเทศอาเซียน อันดับ 1 คือสิงคโปร์ มีเม็ดเงินลงทุน 8,181 ล้านเหรียญสหรัฐ ตามด้วย มาเลเซีย 4,195 ล้านเหรียญสหรัฐ เวียดนาม 3,658 ล้านเหรียญสหรัฐ อินโดนีเซีย 1,540 ล้านเหรียญสหรัฐ ฟิลิปปินส์ 1,256 ล้านเหรียญสหรัฐ และไทย 1,079 ล้านเหรียญสหรัฐ ถือว่าไทยอยู่ระดับปลายแถวของอาเซียน มีเพียง 2 ชาติที่รองไทยคือ กัมพูชา 474 ล้านเหรียญสหรัฐ และเมียนมา 34.6 ล้านเหรียญสหรัฐ” นายเกรียงไกรกล่าว
 
นายเกรียงไกรกล่าวว่า ตัวเลขการลงทุนดังกล่าวเป็นช่วงที่ไทยจัดเก็บค่าไฟฟ้าที่ 4.72 บาท ต่อหน่วย หากไทยปรับค่าไฟฟ้าขึ้นอีกในเดือนมกราคม 2566 ก็น่าจะเห็นตัวเลขการลงทุนน้อยลงกว่านี้ ยิ่งมีสัญญาณจะปรับขึ้นค่าไฟฟ้าต่อเนื่อง ความสามารถในการแข่งขัน เม็ดเงินลงทุน และภาวะเงินเฟ้อไทย จะมีปัญหาทวีขึ้นมากขนาดไหน ส.อ.ท.ก็พยายามจะบอกมาตลอด ทุกประเทศทั่วโลกกำลังต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อ พยายามกดเงินเฟ้อลง แต่ไทยกลับเพิ่มค่าไฟ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของต้นเหตุที่ทำให้ราคาสินค้าเพิ่มสูง เงินเฟ้ออยู่แล้วก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น ขณะที่รายได้ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้เพิ่มขึ้นเท่าไร
 
นายเกรียงไกรกล่าวว่า ด้านขีดความสามารถทางการแข่งขัน เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเวียดนามที่เป็นคู่แข่งสำคัญ ปัจจุบันเวียดนามมีสิทธิพิเศษทางการค้าตามข้อตกลงความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับประเทศต่างๆ ถึง 16 ฉบับ ครอบคลุม 55 ประเทศ ส่วนไทยมีเอฟทีเอ 14 ฉบับ ครอบคลุม 19 ประเทศ ซึ่งครอบคลุมมากกว่าไทย ถึง 36 ประเทศ ทำให้มีแต้มต่อมากกว่าไทย ด้านค่าแรงก็ราคาถูกกว่าไทย และค่าครองชีพก็ต่ำกว่าไทย ยิ่งไปกว่านั้นค่าไฟของเวียดนามก็ต่ำกว่าไทยมาก
 
สิ่งที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดคือ ในปี 2566 เวียดนามมีนโยบายที่จะยืนราคาค่าไฟที่ 2.88 บาทต่อหน่วย ให้กับภาคอุตสาหกรรม เพื่อสนับสนุนให้ภาคอุตสาหกรรมแข่งขันได้สูงขึ้น ส่งออกได้ดี แต่จะปรับค่าไฟของครัวเรือนขึ้น 3-4% แทน เพื่อส่งสัญญาณถึงครัวเรือนให้ความร่วมมือในการประหยัดพลังงาน แต่ไทยกลับมีนโยบายกลับกัน ให้ภาคอุตสาหกรรมแบกรับภาระค่าไฟฟ้าของครัวเรือน ”นายเกรียงไกรกล่าว
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่