โลกนี้คือละคร..(รำพึงรำพันโดยคนสูงวัย)

"โลกนี้เหมือนละครโรงนิด คิดว่าเราเป็นละครอยู่ทั่วกัน
          ต่างคนมีบทรำและทำท่า  ต่างๆนานาเหมือนแสร้งสรร"
      
         จาก "The Merchant of Venice"  ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่๖ ทรงแปล
                   
        บนเส้นทางของชีวิตที่ผ่านมายาวนานพอควร จนสามารถเรียกได้เต็มปากอย่างภูมิใจว่า อยู่ใน "วัยชรา" ดังมีคำพูดกันเล่นๆทำนองปลอบใจกันเองว่า ถ้าไม่แน่จริงไม่อยู่มาจนมีสิทธิ์ใช้คำว่า "คนแก่" หรอก(ว่ะ)
                   
        วันเวลาที่ล่วงผ่าน ไม่ได้ล่วงผ่านเฉยๆ แต่ได้พรากเอาเวลาของชีวิตไปด้วย ทั้งฝากริ้วรอยแห่งความทุกข์ ความสุข ความสมหวัง ความผิดหวัง ไว้กับความทรงจำอีกนานัปการ สิ่งเหล่านี้สะสมและตกตะกอนอยู่ฝังในความคิดและความทรงจำ ที่นับวันจะมากและเพิ่มพูนขึ้น พร้อมจะแสดงออกเมื่อมีสิ่งมากระทบ จึงจะเห็นได้ว่าคนสูงวัยเมื่อโกรธก็โกรธรุนแรง แสดงออกอย่างไม่ยั้งคิด, เมื่อชอบพอถูกใจ เขาว่าอย่างไรก็เชื่อตามนั้น ใครจะตักเตือนว่าอย่างไรก็ไม่สนใจ จะทำตามใจอย่างเดียว ทำให้ได้รับสมญานาม(ที่ไม่ต้องการ)เรียกขานกันว่า มนุษย์ลุง มนุษย์ป้า
            
         ก่อนจะมาถึงวันนี้ วันแห่งความชรา ทุกคนต่างผ่านการเล่นละครแห่งชีวิตกันมาอย่างโชกโชน ในแต่ละช่วงบทบาทชีวิต เริ่มตั้งแต่เล่นบทของเด็ก บทบาทตอนนี้เป็นบทที่เล่นง่าย สบายๆ เพราะมีผู้เล่นบทบาท พ่อ แม่ ญาติโกโหติกาคอยดูแลและกำกับ หากเผลอออกนอกบท นอกลู่นอกทางบ้างก็ยังไม่เป็นไร มีอภัยมีกรุณา  
              
            ละครแห่งชีวิตที่เริ่มถึงตอนสำคัญคือตอนเปลี่ยนบทเล่นจากชีวิตนักเรียน นักศึกษา ออกเผชิญโลกกว้าง คราวนี้ละ รสชาติจริงของชีวิตเริ่ม ต้องปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมขององค์กรที่เข้าไปเรียน ที่เข้าไปอาศัยทำมาหากินเลี้ยงชีพ ใครปรับตัวได้ เล่นบทที่ได้รับดี ตีบทแตก ชีวิตก็จะโลดแล่นไปข้างหน้าด้วยความรู้ ชื่อเสียง เงินทอง ใครที่ปรับตัวไม่ได้ ก็จะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง และไม่นานก็อาจถูกลืม ออกจากเวทีไปตามยถากรรม
            
           และเช่นกัน บทบาทต่อมาคือการมีครอบครัว ซึ่งก็เป็นอีกบทที่เล่นยากมาก บางคนเล่นเป็นสามี ภรรยา ที่แสนดี ว่าอะไรว่าตามกัน ช่วยกันทำมาหากินเก็บหอมรอมริบ สร้างอนาคต ให้เป็นปึกแผ่นมั่นคง สุขสบายในบั้นปลาย แต่ก็มีอีกหลายคน หลายคู่เล่นบทตื่นเต้น รุนแรง สามีกินเหล้า เจ้าชู้ การพนัน ส่วนภรรยาเล่นบทนางกระเฌอก้นรั่ว มีเท่าไรใช้หมด เก็บหอมรอมริบไม่เป็นแถมเล่นหวยเล่นเบอร์ อนาคตของตัวละครบทบาทนี้จะเป็นอย่างไร คงไม่เกินการคาดเดา ที่สำคัญชีวิตในช่วงนี้จะต้องมีบทบาทของพ่อ แม่ มาให้เล่นอีกด้วย ซึ่งเป็นบทที่หนักและเหนื่อย เล่นยากอีกบทหนึ่ง ของละครแห่งชีวิต
             
        แล้วก็มาถึงบทที่เล่นยากที่สุด  คือบทสุดท้ายก่อนลาโรง บทบาทนี้น่าจะเริ่มตั้งแต่เกษียณอายุจากการทำการทำงาน ตอนนี้ละครับ คำกล่าวที่ว่า "ปัจจุบันเป็นผลของอดีต" พิสูจน์ได้ว่าถูกต้องจริงก็ในตอนนี้ ใครวางแผนมาดี เก็บหอมรอมริบ มาถึงตรงนี้จะเห็นผล เห็นความมั่นคงของชีวิตได้ และที่ว่าเป็นบทที่เล่นยากที่สุดก็เพราะว่ารายได้ต่างๆเริ่มหดหาย ร่างกายก็เสื่อมถอย โรคภัยต่างๆก็เริ่มมาเยือน กฎเกณฑ์ต่างๆที่เคยครอบงำมามาตลอดชีวิตการทำงานก็ถูกเปลื้องออกสิ้น ชีวิตมีอิสระ เริ่มที่จะทำอะไรตามใจตัวโดยไม่คำนึงถึงกฎเกณฑ์ต่างๆ เพราะให้คุณให้โทษไม่ได้แล้ว ความรู้สึกต่างๆที่เคยถูกเก็บและกดไว้ช้านานด้วยกติกาต่างๆที่เกี่ยวข้องกับชีวิตที่ผ่านมา พร้อมที่จะระเบิดออกมาได้ทุกขณะที่ไม่สบอารมณ์ ไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหม
         
       "ฉันแก่แล้ว อย่ามายุ่งกับฉัน ฉันจะทำอะไรเรื่องของฉัน ให้ฉันมีอิสระบ้าง เหนื่อยมาทั้งชีวิตแล้ว" ประโยคนี้ผมเคยได้ยินบ่อยๆ จากพรรคพวกกลุ่ม "ผู้ชรา" หรือที่เรียกกันแบบถนอมน้ำใจว่า สว. (ผู้สูงวัย) 
          
        บทบาทตอนนี้ สว.หลายท่านก็สวมบทนักท่องเที่ยว เที่ยวไปในโลกกว้างตามใจปรารถนา เก็บเกี่ยวความเพลิดเพลินจากการเดินทาง, บ้างก็หาความสุขด้วยความสงบ ปลีกตัววิเวกยึดถือสันโดษ อยู่กับความสงบ ต้นไม้ ใบหญ้า ธรรมชาติไปเงียบๆ ที่มีบุญเก่าติดตัวมาทางธรรมก็ออกบวชเป็นการเป็นงาน สวดมนต์ภาวนาอาศัยร่มเงาของพระศาสนาสร้างบุญกุศล เล่นบทหลวงปู่ หลวงตาเก็บกุศลผลบุญเพื่อเอาติดตัวไปในภพชาติต่อไปตามศรัทธาจริตที่เชื่อมั่น ,อีกหลายคนหลายท่านก็ต้องการรับใช้สังคม โดยสมัครผู้แทนฯ ,นายกเทศบาล อบต. ทั้งสนุกสนานไปกับงานสังคม และอีกไม่น้อยท่านก็เลือกที่จะฟูมฟักเลี้ยงหลาน เล่นละครเป็นคุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยายไปตามท้องเรื่อง
 
           และบทสุดท้าย สุดท้ายจริงๆ ก็คือบทลาจากเวทีละครแห่งชีวิต บทนี้เลือกวิธีการลาไม่ได้ ก็ต้องว่าตามความเชื่อของชาวพุทธว่า สุดแต่กรรมลิขิต ซึ่งหลายท่านก็ลาจากเวทีอย่างสงบบนเตียงนอนหลังจากเข้านอนตามปกติ ,หลายท่านก็ลาจากเวทีบนท้องถนน ในท้องน้ำ หรือแม้กระทั่งบนฟากฟ้านภากาศด้วยอาการหัวใจล้มเหลวบนเครื่องบินก็มีให้เห็น ที่น่ากลัวที่สุดคือบทลาจากบนเตียงในโรงพยาบาลหลังจากที่แน่นิ่งให้อาหารทางสายยางมานานนับปี และยังอีกสารพัดบทลาจากที่สุดจะพรรณา เลือกไม่ได้จริงๆ 
          
           เพื่อนผมที่บวชเป็นพระภิกษุ(หลายท่านทีเดียว ที่บวชหลังเกษียณแล้วไปอยู่วัดป่าทางภาคอิสาน) ท่านหนึ่งเคยให้ข้อคิดไว้อย่างคมคายไว้ว่า การที่ท่านบวชก็เพราะต้องการใช้แนวทางพระพุทธศาสนาขัดเกลาเอากิเลส ต่างๆที่ฝังลึกมากมายในกมลสันดานออก เพราะในเมื่อชีวิตไม่มีกรอบบังคับแล้ว   จิตไม่มีอะไรยึดเหนี่ยวก็จะฟุ้งซ่าน เกิดโลภโมโทสัน ยื่งแก่ยิ่งแย่ และเพื่อเป็นการฝึกให้รู้จักกับคำว่า พอ โดยการปล่อยวาง อันเป็นการเตรียมการเล่นบทสุดท้ายของละครแห่งชีวิตคือบทลาจากโลกนี้อย่างสงบเย็น เพราะสุข ทุกข์ร้อนหนาวก็ต่างรู้มาหมดแล้ว จึงขอใช้ชีวิตอย่างสงบพิจารณาจิต พิจารณากายก่อนตาย ดูบ้าง ซึ่งก็เป็นความคิดที่มีเหตุผลไปอีกแบบ
                
         โลกนี้คือละคร ทุกคนทุกท่านเล่นบทบาทตามที่ถูกลิขิตมา หรือจะบอกว่าเล่นบทบาทตามที่พอใจจะเลือกเล่นเอง ในกรณีที่ไม่เชื่อเรื่องบุญและกรรมก็ใช่
              
         ทุกคนที่เกิดมาต่างปรารถนาหาความสุข สุขใครสุขเขา จะให้เราชอบเหมือนเขาหรือเขามาชอบเหมือนเรา ย่อมเป็นไปไม่ได้ ทุกคนเลือกชีวิต  เลือกบทบาทของตัวละครเล่นเองตามชอบ แต่ท้ายสุด สุดท้ายก็ต้องลาจากเวทีละครโรงใหญ่นี้ไปทุกท่านทุกคน เหลือไว้แต่สิ่งที่ได้กระทำฝากไว้ในโลกนี้. 
                  
                  นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย
                  สถิตทั่วแต่ชั่วดี   ประดับไว้ในโลกา..... 

                                    ขอบคุณครับ     
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่