กระทู้นี้น่าจะยาวหน่อยเพราะ อยากจะเล่าถึงประสบการณ์ส่วนตัว ที่ "เพื่อน" รู้จักกันมากว่า 30 ปีคือเรียนมัธยมมาด้วยกัน จนปัจจุบัน ผมและเพื่อนก็อายุ 40++ กันแล้วแน่นอน สนิทและรู้จักพื้นฐานทั้งครอบครัวและนิสัยใจคอพอสมควร
เพื่อนคนนี้ ตั้งแต่เรียนก็ตั้งใจเรียน อยู่ในเกณฑ์ดี จบมาทำงานและเติบโตถือว่าดีมากคนนึงได้เงินเดือนล่าสุดในระดับ 3 แสนขึ้น แต่มีนิสัยอย่างนึงที่เพื่อนๆ ก็พอจะรู้คือ เวลาไปเที่ยว ต่างประเทศด้วยกันก็มักจะปลีกตัวไป สัก 1 คืนเพื่อไปเล่น คาซิโน ซึ่งเพื่อนๆในกลุ่มทุกคนก็ไม่ได้ติดใจอะไรเพราะก็ปกติที่ไปเที่ยวก็อยากทำกิจกรรมที่เราชอบและอยากทำ ปกติในกลุ่มก็มักจะเล่นไพ่ กินเงินกันตาละ 5 บาท 10 บาทแค่ได้สนุกได้คลายเครียดกันไป แต่นานๆ เข้าวันหยุดสั้นๆ พอว่างก็บอกไป ปอยเปต โดยนั่งรถที่บ่อนจัดให้ไป ตอนนั้นเพื่อนๆ ก็ไม่ได้คิดอะไรอีกเพราะไม่ได้มีพฤติกรรมที่ส่อว่าจะมีเรื่องร้ายแรง
จนประมาณดือน พฤษภาคม 2563 ซึ่งเป็นเวลาที่ เจอกับเหตุการณ์โควิท วิถีชีวิตเปลี่ยนไป แทบไม่ได้เจอกัน แต่ติดต่อทางไลน์ จำได้ว่าช่วงนั้นก็พอจะผ่อนคลายมา เพื่อนๆ ในกลุ่มได้รับการติดต่อจากเพื่อนคนนี้เพื่อขอยืมเงิน โดยขอเงินรวมๆกันก็ประมาณ 500,000 บาท ตอนแรกก็บอกว่าจะนำเงินไปช่วยที่บ้านเพราะมีปัญหาอยู่เงินที่ตัวเองมีไม่พอแล้ว แต่รู้จักกันมานานจึงรู้สึกแปลกๆ เลยขอให้พูดความจริงเพราะเงินที่ยืม ทุกคนเชื่อว่าตัวเพื่อนเองน่าจะพอหาได้ และด้วยนิสัยไม่น่าจะต้องมาขอยืมถ้าไม่จนตรอกจริง จนได้ความว่าเป็นหนี้บ่อนอยู่ต้องการเอาเงินไปใช้คืนเพราะตอนนี้ผลัดมาหลายรอบ ผมกับเพื่อนรวม 3 คนก็ตัดใจให้ไป เฉพาะผมเองตอนนั้นก็ 100,000 บาท พร้อมกับเรียกมาคุยจนได้เรื่องว่า ช่วงโควิทที่ไม่เจอใครไม่มีอะไรทำเบื่อๆ ก็ ไปบ่อนที่แอบเปิดแต่เพื่อนก็ไม่บอกว่าเป็นหนี้เท่าไหร่ ไอ้ที่ยืมจะใช้คืนตอนปลายปีเพราะโบนัสออก พร้อมกับรับปากแบบเสียไม่ได้ว่าจะเลิกเล่นแล้ว
เหตุการณ์ต่อมา ช่วง สิงหาคม 2563 หากจำได้มีข่าวโด่งดังเรื่องบ่อนที่พระราม 3 ผมได้รับการติดต่อมาว่า เพื่อนคนนี้ได้อยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย พอทราบก็นัดไปเจอ เพราะเป็นห่วงและสงสัยว่าไปเล่นอีกแล้วเหรอ เพื่อนก็บอกแค่ว่าไปเป็นเพื่อน เพื่อนที่รู้จัก พวกผมก็เตือนอีกรอบว่าดีนะไม่ป็นอะไร เลิกไปเถอะมาตั้งใจทำงาน อดออมใช้หนี้ เพื่อนก็พูดตัดรำคาญว่า กูรู้ๆ ยังไม่มีอาการสลดออกมา
พอหลังจากเหตุการณ์ นั้น เพื่อนที่ให้ยืมเงินไปก็ยังไม่ได้บอกใคร ซึ่งตลอดเวลา ก็พยายามติดต่อสอบถามก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไร เงินที่ให้ไปก็ไม่ได้ทวง แต่ถือว่าช่างมันก่อนให้ได้ตั้งตัวสักพัก จนกลางปี 2564 เพื่อนที่ทำงานอยู่ที่ ออสเตรเลีย ก็โทรมาคุยและบอกว่า เพื่อนคนนี้โทรไปขอยืมเงิน ก็เลยเล่าเหตุการณ์ให้ฟังเพราะเพื่อนเล่าว่าขอยืมไปหมุนเงิน
ผ่านไปจนประมาณเดือน พฤษภาคม 2565 เพื่อนได้ติดต่อมาที่ผม โดยบอกขอยืมเงินก่อนได้มั้ย 50,000 เพราะโดยบัตรเครดิตอายัดเงินไม่สามารถกดออกมาได้ จะใช้คืนตอนปลายเดือน ผมก็เอาไปก่อนละกัน แต่ในวันนั้น ทุกคนได้รับการติดต่อจากเพื่อนคนนี้หลายคน แต่สุดท้ายพอได้เงินจากผมไปก็ไม่ได้ติดต่อคนอื่นๆ แต่พอผ่านไปได้สัก 2-3 วันก็ไปยิมเพื่อนอีกคน 200,000 ซึ่งเพื่อนคนนี้ก็สงสัยเลยโทรมาคุย จนสุดท้ายเลยนัดมาคุย เลยสรุปได้ความว่า ไปเล่นการพนันด้วยเหตุผลที่ว่า บ่อนให้เครดิตมาเล่นแต่สุดท้ายก็เสีย จนต้องหาเงินมาจ่ายให้บ่อน คาดคั้นจนได้ความว่า วันนั้นต้องจ่ายให้บ่อนเลย 200,000 ถึงจะปล่อยตัวโดนได้โทรไปยืมพี่ที่ทำงานเอามาก่อน และยังเป็นหนี้บ่อนอยู้ 500,000 ต้องจ่ายดอกเดือนละ 50,000 แถมเป็นหนี้บัตร เครดิตและบัตรกดเงินสด เดือนๆ หนึ่งจ่ายเฉพาะแค่ขี้นต่ำ ไม่น้อยกว่า 300,000 ยังไม่รวมค่าผ่อนคอนโด ราคา 7 ล้าน และ รถยนต์ที่เอาไป refinance ทั้งคู่ โดยเฉฉพาะคอนโดที่ แทยไม่ได้จ่ายต้นเลยแถมมีดอกที่ค้างอีก ภาระทั้งหมด ก็ดูเหมือนคนเงินเดือน 3 แสนก็เอาไม่อยู่
เพื่อนผมคนทีโดนขอยิม 200,000 ก็บอกจะช่วยไปก่อน แต่ให้เลิกเล่นพนัน และ วางแผนเรื่องหนี้บัตรต่างๆ จะทำยังไง ทุกคนนก็แนะนำให้หยุดจ่ายบัตรเร่งไปจ่ายนอกระบบกับ่อนให้จบไปก่อน พวกบัตรก็ค่อยคิดกัน บ้านกับรถก็ประคองๆ ไปก่อน ก็ดูเหมือนจะเข้าใจ ร้องไห้ เสียใจว่าชีวืตไม่น่าตกต่ำ ขนาดนี้
แต่หากว่ามันคือที่สุดแล้ว ยังครับ เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา เพื่อนโทรมาหาผมแต่เช้า บอกตอนนี้ อยู่ที่ บ่อนปอตเปต โดนยึด iphone ไปต้องเอามือถืออีกเครื่องโทรมา ขอเอาตัง 20,000 ไปไถ่ออกมา คราวนี้ผมฟิวส์ขาดบอกไปว่าไม่ให้ยืมแล้ว บอกทุกครั้งจะเลิกแต่ไม่เลิก เพื่อนก็ร้องไห้ฟูมฟาย บอกถ้าไม่ช่วยจะแย่ ผมเลยบอกไปว่า คงไม่ได้แล้วละ พาตัวเองไปถึงจุดนั้นเอง ซึ่งพอหลังจากเหตุการณ์นั้น ช่วงเวลานี้มันเหมือนแผลที่เป็นหนองและหนองแตก เพราะ เพื่อนหลายๆ คนก็โทรมาถามคนนั้น ผ่าน คนนี้ เพื่อนผมมันไปยืมทุกคนเท่าที่รู้จัก ซึ่งจะเป็นกลุ่มที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่มัธยม เท่าที่จะได้ ถ้าเพื่อนใกล้ชิดหน่อยก็จะบอกว่าติดที่บ่อน โดยขโมยโทรศัพท์ บ้างโดยขมขู่ไม่ได้ออกจากบ่อนบ้าง ถ้าเพื่อนห่างไปหน่อย ก็จะบอกว่าลงทุนขาดทุน เอาไปช่วยที่บ้านบ้าง โดยให้เหตุผลว่าที่ต้องมายืม เพราะพวกผมเพื่อนในกลุ่มที่มองว่าสนิท ไม่ช่วยเหลือ พอรวมกัน ก็คิดว่ามากกว่า 2 ล้านบาท ซึ่งถ้าเป็นเพื่อนที่ทำงานหรือที่คบกันที่ออื่น ก็ไม่ทราบว่าอีกเท่าไหร่
เพื่อนในกลุ่มทุกคนก็เสียใจและเครียดว่าพวกเราจะเอายังไงดี เพราะจะช่วยมากไปกว่านี้ก็ไม่ได้ เจ้าตัวเองพุดจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ บอกจะเลิกเล่นเลิกไปบ่อนก็ยังไป ถามว่าสรุปเป็นหนี้นอกระบบกับบ่อนเท่าไหร่ก็บอกเยอะหลักล้านบาท ที่บ้านช่วยมาแล้วเขาไม่ช่วยอีก ไปเล่นเพราะน่าจะเป็นทางเดียวที่จะหาเงินได้มากและเร็วใช้วิธีเงินต่อเงินไปเรื่อยๆ ผมอดคิดไม่ได้ว่า สุดท้ายไม่นานภาวะแบบนี้กระทบเรื่องงานแน่ ถ้าเขาให้ออก ไม่มีเงินเดือน ชีวิตจะไปยังไง
ผมแค่รู้สึกว่าบทเรียนจากเพื่อนผมคือ ประมาทในชีวิตมาก และทำให้ชีวิตตัวเองพัง แถมยังไปสะเทือนเพื่อนๆ ที่หวังดีที่อยากจะช่วย แต่เหมือนโดนหลอก เงินไม่ว่ามากหรือน้อยทุกคนก็ล้วนแต่มีภาระ เกือบทุกคนเงินเดือนน้อยกว่าเขาทั้งนั้น แถมเพื่อนเองก็ไม่คิดปรับปรุง ไม่คิดแก้ไข
ตอนนี้ผมพยายามตัดความรู้สึกเครียด รู้สึกเสียใจ ออกไป แต่ความเป็นเพื่อนก็อดห่วง อดกังวลไม่ได้ว่า เพื่อนผมแล้วจะมีชีวิตต่อไปยังไง ลึกๆ ไม่อยากมองไปในแง่ร้าย แต่ยอมรับว่ามันคงจะไม่เกิดขึ้น ขอบคุณที่อ่านจนจบ ถ้ามีคำแนะนำดีๆ ลงมาได้นะครับ แต่หากให้พาไปปรึกษาปรับโครงสร้างหนี้ อะไรแบบนี้ผมบอกเลยคงไม่ครับเพราะเคยแล้วเพื่อนผมมันไม่ไป
บทเรียนสำหรับคนที่ "เพื่อน" ติดการพนันจนชีวิตพังในที่สุด
เพื่อนคนนี้ ตั้งแต่เรียนก็ตั้งใจเรียน อยู่ในเกณฑ์ดี จบมาทำงานและเติบโตถือว่าดีมากคนนึงได้เงินเดือนล่าสุดในระดับ 3 แสนขึ้น แต่มีนิสัยอย่างนึงที่เพื่อนๆ ก็พอจะรู้คือ เวลาไปเที่ยว ต่างประเทศด้วยกันก็มักจะปลีกตัวไป สัก 1 คืนเพื่อไปเล่น คาซิโน ซึ่งเพื่อนๆในกลุ่มทุกคนก็ไม่ได้ติดใจอะไรเพราะก็ปกติที่ไปเที่ยวก็อยากทำกิจกรรมที่เราชอบและอยากทำ ปกติในกลุ่มก็มักจะเล่นไพ่ กินเงินกันตาละ 5 บาท 10 บาทแค่ได้สนุกได้คลายเครียดกันไป แต่นานๆ เข้าวันหยุดสั้นๆ พอว่างก็บอกไป ปอยเปต โดยนั่งรถที่บ่อนจัดให้ไป ตอนนั้นเพื่อนๆ ก็ไม่ได้คิดอะไรอีกเพราะไม่ได้มีพฤติกรรมที่ส่อว่าจะมีเรื่องร้ายแรง
จนประมาณดือน พฤษภาคม 2563 ซึ่งเป็นเวลาที่ เจอกับเหตุการณ์โควิท วิถีชีวิตเปลี่ยนไป แทบไม่ได้เจอกัน แต่ติดต่อทางไลน์ จำได้ว่าช่วงนั้นก็พอจะผ่อนคลายมา เพื่อนๆ ในกลุ่มได้รับการติดต่อจากเพื่อนคนนี้เพื่อขอยืมเงิน โดยขอเงินรวมๆกันก็ประมาณ 500,000 บาท ตอนแรกก็บอกว่าจะนำเงินไปช่วยที่บ้านเพราะมีปัญหาอยู่เงินที่ตัวเองมีไม่พอแล้ว แต่รู้จักกันมานานจึงรู้สึกแปลกๆ เลยขอให้พูดความจริงเพราะเงินที่ยืม ทุกคนเชื่อว่าตัวเพื่อนเองน่าจะพอหาได้ และด้วยนิสัยไม่น่าจะต้องมาขอยืมถ้าไม่จนตรอกจริง จนได้ความว่าเป็นหนี้บ่อนอยู่ต้องการเอาเงินไปใช้คืนเพราะตอนนี้ผลัดมาหลายรอบ ผมกับเพื่อนรวม 3 คนก็ตัดใจให้ไป เฉพาะผมเองตอนนั้นก็ 100,000 บาท พร้อมกับเรียกมาคุยจนได้เรื่องว่า ช่วงโควิทที่ไม่เจอใครไม่มีอะไรทำเบื่อๆ ก็ ไปบ่อนที่แอบเปิดแต่เพื่อนก็ไม่บอกว่าเป็นหนี้เท่าไหร่ ไอ้ที่ยืมจะใช้คืนตอนปลายปีเพราะโบนัสออก พร้อมกับรับปากแบบเสียไม่ได้ว่าจะเลิกเล่นแล้ว
เหตุการณ์ต่อมา ช่วง สิงหาคม 2563 หากจำได้มีข่าวโด่งดังเรื่องบ่อนที่พระราม 3 ผมได้รับการติดต่อมาว่า เพื่อนคนนี้ได้อยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย พอทราบก็นัดไปเจอ เพราะเป็นห่วงและสงสัยว่าไปเล่นอีกแล้วเหรอ เพื่อนก็บอกแค่ว่าไปเป็นเพื่อน เพื่อนที่รู้จัก พวกผมก็เตือนอีกรอบว่าดีนะไม่ป็นอะไร เลิกไปเถอะมาตั้งใจทำงาน อดออมใช้หนี้ เพื่อนก็พูดตัดรำคาญว่า กูรู้ๆ ยังไม่มีอาการสลดออกมา
พอหลังจากเหตุการณ์ นั้น เพื่อนที่ให้ยืมเงินไปก็ยังไม่ได้บอกใคร ซึ่งตลอดเวลา ก็พยายามติดต่อสอบถามก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไร เงินที่ให้ไปก็ไม่ได้ทวง แต่ถือว่าช่างมันก่อนให้ได้ตั้งตัวสักพัก จนกลางปี 2564 เพื่อนที่ทำงานอยู่ที่ ออสเตรเลีย ก็โทรมาคุยและบอกว่า เพื่อนคนนี้โทรไปขอยืมเงิน ก็เลยเล่าเหตุการณ์ให้ฟังเพราะเพื่อนเล่าว่าขอยืมไปหมุนเงิน
ผ่านไปจนประมาณเดือน พฤษภาคม 2565 เพื่อนได้ติดต่อมาที่ผม โดยบอกขอยืมเงินก่อนได้มั้ย 50,000 เพราะโดยบัตรเครดิตอายัดเงินไม่สามารถกดออกมาได้ จะใช้คืนตอนปลายเดือน ผมก็เอาไปก่อนละกัน แต่ในวันนั้น ทุกคนได้รับการติดต่อจากเพื่อนคนนี้หลายคน แต่สุดท้ายพอได้เงินจากผมไปก็ไม่ได้ติดต่อคนอื่นๆ แต่พอผ่านไปได้สัก 2-3 วันก็ไปยิมเพื่อนอีกคน 200,000 ซึ่งเพื่อนคนนี้ก็สงสัยเลยโทรมาคุย จนสุดท้ายเลยนัดมาคุย เลยสรุปได้ความว่า ไปเล่นการพนันด้วยเหตุผลที่ว่า บ่อนให้เครดิตมาเล่นแต่สุดท้ายก็เสีย จนต้องหาเงินมาจ่ายให้บ่อน คาดคั้นจนได้ความว่า วันนั้นต้องจ่ายให้บ่อนเลย 200,000 ถึงจะปล่อยตัวโดนได้โทรไปยืมพี่ที่ทำงานเอามาก่อน และยังเป็นหนี้บ่อนอยู้ 500,000 ต้องจ่ายดอกเดือนละ 50,000 แถมเป็นหนี้บัตร เครดิตและบัตรกดเงินสด เดือนๆ หนึ่งจ่ายเฉพาะแค่ขี้นต่ำ ไม่น้อยกว่า 300,000 ยังไม่รวมค่าผ่อนคอนโด ราคา 7 ล้าน และ รถยนต์ที่เอาไป refinance ทั้งคู่ โดยเฉฉพาะคอนโดที่ แทยไม่ได้จ่ายต้นเลยแถมมีดอกที่ค้างอีก ภาระทั้งหมด ก็ดูเหมือนคนเงินเดือน 3 แสนก็เอาไม่อยู่
เพื่อนผมคนทีโดนขอยิม 200,000 ก็บอกจะช่วยไปก่อน แต่ให้เลิกเล่นพนัน และ วางแผนเรื่องหนี้บัตรต่างๆ จะทำยังไง ทุกคนนก็แนะนำให้หยุดจ่ายบัตรเร่งไปจ่ายนอกระบบกับ่อนให้จบไปก่อน พวกบัตรก็ค่อยคิดกัน บ้านกับรถก็ประคองๆ ไปก่อน ก็ดูเหมือนจะเข้าใจ ร้องไห้ เสียใจว่าชีวืตไม่น่าตกต่ำ ขนาดนี้
แต่หากว่ามันคือที่สุดแล้ว ยังครับ เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา เพื่อนโทรมาหาผมแต่เช้า บอกตอนนี้ อยู่ที่ บ่อนปอตเปต โดนยึด iphone ไปต้องเอามือถืออีกเครื่องโทรมา ขอเอาตัง 20,000 ไปไถ่ออกมา คราวนี้ผมฟิวส์ขาดบอกไปว่าไม่ให้ยืมแล้ว บอกทุกครั้งจะเลิกแต่ไม่เลิก เพื่อนก็ร้องไห้ฟูมฟาย บอกถ้าไม่ช่วยจะแย่ ผมเลยบอกไปว่า คงไม่ได้แล้วละ พาตัวเองไปถึงจุดนั้นเอง ซึ่งพอหลังจากเหตุการณ์นั้น ช่วงเวลานี้มันเหมือนแผลที่เป็นหนองและหนองแตก เพราะ เพื่อนหลายๆ คนก็โทรมาถามคนนั้น ผ่าน คนนี้ เพื่อนผมมันไปยืมทุกคนเท่าที่รู้จัก ซึ่งจะเป็นกลุ่มที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่มัธยม เท่าที่จะได้ ถ้าเพื่อนใกล้ชิดหน่อยก็จะบอกว่าติดที่บ่อน โดยขโมยโทรศัพท์ บ้างโดยขมขู่ไม่ได้ออกจากบ่อนบ้าง ถ้าเพื่อนห่างไปหน่อย ก็จะบอกว่าลงทุนขาดทุน เอาไปช่วยที่บ้านบ้าง โดยให้เหตุผลว่าที่ต้องมายืม เพราะพวกผมเพื่อนในกลุ่มที่มองว่าสนิท ไม่ช่วยเหลือ พอรวมกัน ก็คิดว่ามากกว่า 2 ล้านบาท ซึ่งถ้าเป็นเพื่อนที่ทำงานหรือที่คบกันที่ออื่น ก็ไม่ทราบว่าอีกเท่าไหร่
เพื่อนในกลุ่มทุกคนก็เสียใจและเครียดว่าพวกเราจะเอายังไงดี เพราะจะช่วยมากไปกว่านี้ก็ไม่ได้ เจ้าตัวเองพุดจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ บอกจะเลิกเล่นเลิกไปบ่อนก็ยังไป ถามว่าสรุปเป็นหนี้นอกระบบกับบ่อนเท่าไหร่ก็บอกเยอะหลักล้านบาท ที่บ้านช่วยมาแล้วเขาไม่ช่วยอีก ไปเล่นเพราะน่าจะเป็นทางเดียวที่จะหาเงินได้มากและเร็วใช้วิธีเงินต่อเงินไปเรื่อยๆ ผมอดคิดไม่ได้ว่า สุดท้ายไม่นานภาวะแบบนี้กระทบเรื่องงานแน่ ถ้าเขาให้ออก ไม่มีเงินเดือน ชีวิตจะไปยังไง
ผมแค่รู้สึกว่าบทเรียนจากเพื่อนผมคือ ประมาทในชีวิตมาก และทำให้ชีวิตตัวเองพัง แถมยังไปสะเทือนเพื่อนๆ ที่หวังดีที่อยากจะช่วย แต่เหมือนโดนหลอก เงินไม่ว่ามากหรือน้อยทุกคนก็ล้วนแต่มีภาระ เกือบทุกคนเงินเดือนน้อยกว่าเขาทั้งนั้น แถมเพื่อนเองก็ไม่คิดปรับปรุง ไม่คิดแก้ไข
ตอนนี้ผมพยายามตัดความรู้สึกเครียด รู้สึกเสียใจ ออกไป แต่ความเป็นเพื่อนก็อดห่วง อดกังวลไม่ได้ว่า เพื่อนผมแล้วจะมีชีวิตต่อไปยังไง ลึกๆ ไม่อยากมองไปในแง่ร้าย แต่ยอมรับว่ามันคงจะไม่เกิดขึ้น ขอบคุณที่อ่านจนจบ ถ้ามีคำแนะนำดีๆ ลงมาได้นะครับ แต่หากให้พาไปปรึกษาปรับโครงสร้างหนี้ อะไรแบบนี้ผมบอกเลยคงไม่ครับเพราะเคยแล้วเพื่อนผมมันไม่ไป