ผมหลงทางกับชีวิตจนตอนนี้อายุ 21 ปีแล้วไม่รู้จะไปทางไหนดี

ขอเล่าย้อนไปสมัยม.ปลายก่อน..
เรื่องมีอยู่ว่าหลังจากผมเรียนจบม.3 มาได้ด้วยเกรด 3.58 ช่วงนั้นครอบครัวผมพึ่งมารู้ว่าพ่อผมเป็นมะเร็งลำไส้ระยะสามแล้ว ที่บ้านก็บอกว่าไม่ต้องเครียดอะไรมากให้สนใจกับการเรียนก็พอ แล้วผมก็เตรียมตัวสอบเข้าม.ปลาย ในโรงเรียนประจำจังหวัดได้ ผมดีใจมากแล้วก็ได้เลือกลงเรียนสายศิลป์-ภาษาอังกฤษ เพราะผมอยากเรียนจิตวิทยาในมหาวิทยาลัยจุฬาฯ จากที่หาข้อมูลมาได้ยินว่าช่วงปีสามจะมีไปเรียนแลกเปลี่ยนที่ออสเตรเลีย ผมเลยมาเรียนสายภาษาเตรียมไว้ เพื่อที่จะได้พร้อมไปต่อหลังเรียนจบ แต่ทุกอย่างกลับไม่เป็นเหมือนที่ผมคิด ด้วยความที่ผมพึ่งย้ายมาตอน.ปลายและสอบเข้ามาได้ ผมเลยได้อยู่ห้องท้ายสุดของสายภาษาอังกฤษ สายภาษาจะมีสามห้อง มีห้อง Gifted ห้อง 8 และ 9 ผมอยู่ห้อง 9 การเรียนกับสังคมมันต่างจากที่เคยเจอมา แรกๆ ผมก็ปรับตัวไม่ค่อยได้ ผมพึ่งได้โทรศัพท์มือถือเป็นของตัวเองก็ตอนมาเรียนม.ปลายนี่แหละ ที่บ้านห้ามไม่ให้ใช้เพราะกลัวเสียการเรียนด้วยและภาวะหนี้สินของที่บ้านเลยมองว่ามันสิ้นเปลืองและมันยังไม่จำเป็นสำหรับผมในตอนนั้น แต่ตอนนี้มันต้องมีแล้วเพราะการสั่งงานและทำงานส่วนมากจะใช้ไลน์แล้วไหนจะเวลาติดต่อสื่อสารอีก ที่บ้านก็เลยให้เอามือถือเครื่องเก่าของพี่ชายมาใช้ไปก่อน พอเรียนมาได้สักพักทุกอย่างก็ไม่มีอะไรแย่ ผมเริ่มปรับตัวได้แต่มีบางวิชาที่ไม่รู้จะเรียนทำไม และภาษาอังกฤษที่มีเรียนทุกวัน อังกฤษบางตัวเรียนก็ไม่รู้เรื่อง ไม่ค่อยเข้าใจแก่นของมัน รู้สึกเหมือนเป็นห้องท้ายแล้วเขาไม่ได้ใส่ใจเรามาก แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากเพราะผมเป็นเด็กใหม่ยังไม่ค่อยรู้นิสัยอาจารย์สักเท่าไหร่แต่ละคนใครสอนยังไง พอเรียนมาได้เกือบเดือน ผมบอกที่บ้านว่าอยากลองหางานพาร์ทไทม์ทำดู แฟนพี่ชายตอนนั้นเขาเลยพาไปสมัคร แล้วได้งานแรกมาเป็นงานที่บิ๊กซีข้างๆ โรงเรียน ทำงานร้านโดนัท ทำหลังเลิกเรียนถึงห้างปิด เวลาประมาณสี่ทุ่ม เดินทางกลับบ้านถึงประมาณเกือบเที่ยงคืน ทำไปประมาณ 8 เดือน เงินเก็บไม่มี พ่อขอไปหมุนเงินบ้างพี่สาวยืมบ้าง จนเกือบขึ้นม.5 แล้วรู้สึกว่าทำต่อไม่ไหวแล้วการเรียนก็เริ่มหนักขึ้น แถมยังติด0 เป็นตัวแรกของชีวิตอีก เป็นวิชาดนตรีสากล ต้องมาตามแก้แต่ก็แก้แปปเดียว เออติด0มันก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่นี่ แต่ไม่เอาอีกดีกว่า แล้วก็ไม่เคยติด0อีกเลย แล้วช่วงนี้ปัญหาการเงินที่บ้านหนักขึ้น จนต้องขายบ้านใช้หนี้ ช่วงม.5 ผมเลยได้ไปอยู่บ้านเช่า ผมที่เลิกทำพาร์ทไทม์แล้วก็มาโฟกัสกับการเรียน เวลาผ่านไปความคิดก็เริ่มไม่เหมือนเดิม มีปัญหาเข้ามาให้แก้มากมาย การเรียนกลับมาดีขึ้น จนกระทั่งถึงจบม.5 ขึ้นมาม.6 อาการป่วยของพ่อผมแย่ลงทุกวันๆ งานที่พ่อทำเป็นงานส่งของส่งเอกสารไปต่างจังหวัดบ้าง ตามที่ต่างๆ แต่เจ้านายพ่อวางแผนได้ไม่ดีเลยมีปัญหาการเงิน เงินค่าจ้างก็ค้างพ่อไว้ไม่ยอมจ่าย ทำงานแบบเข้าเนื้อ เงินที่ได้จากขายบ้านไปแล้วใช้หนี้หมดแล้วยังเหลือก้อนเล็กๆ ก้อนนึงก็ค่อยๆ หมดไป แม่ก็ทำงานขายของก็ขายไม่ค่อยได้เศรษฐกิจไม่ดี ชีวิตเริ่มอยู่ช่วงขาลงแล้ว จากที่ไม่ต้องมามองเรื่องนี้ก็ต้องมาสนใจแล้ว เพราะที่บ้านเริ่มแย่ลงทุกวันๆ จนกระทั้งวันนึง เหมือนทุกอย่างมันลงล็อคเหมือนฟ้าตั้งใจมาแกล้ง เป็นวันที่ทำให้ผมเจ็บแสบมากจนถึงทุกวันนี้เวลาที่นึกถึงมัน มันคือเรื่องรถ ตอนนั้นพ่อบอกว่าถ้าพ่อเป็นอะไรไป รถกระบะที่พ่อใช้คันนี้จะเป็นของผม ไม่ต้องผ่อนแล้วเพราะมีสัญญาและประกัน แล้วหลังจากนั้นเหมือนตัวแทนรถมาบอกว่าสัญญามันหมดอายุแล้ว ต่องต่อสัญญาใหม่เพราะ 4 ปีแล้วยังผ่อนไม่หมดเลยต้องต่อสัญญา ผมไม่แน่ใจว่าพ่อดำเนินการอะไรยังไง คนป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายที่ขับรถทำงานอยู่คนเดียว ผมไม่รู้ว่าพ่อโดนเป่าหูอะไรยังไง แล้วยังไม่พอเจ้านายเก่าพ่อบอกให้พ่อเอารถคันนั้นไปเข้าเต้นแล้วเอาเงินไปให้เขาหน่อย เขาสัญญาว่าถ้าได้เช็คเงินสดแล้วจะขึ้นเงินแล้วเอาไปคืนให้แล้วค่อยเอารถออกมา สรุปได้เงินคืนมาไม่พอที่จะเอารถออกมา แล้วหลังจากนั้นพ่อผมก็เสีย..เวลาผ่านไปสองสามเดือนไม่มีเงินพอจะส่งเต้นดอกเบี้ยก็เยอะขึ้นเรื่อยๆ เจ้านายเก่าพ่อก็ล้มละลายหนีหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ แล้วหลังจากนั้นที่เต้นบอกรถขายไปแล้ว ตอนนั้นผมก็เรียนอยู่ทำอะไรถูก สัญญารถใหม่เป็นยังไงก็ไม่รู้สรุปก็ต้องผ่อนรถต่อ แต่ไม่มีเงินจ่าย จนทางศูนย์เขาฟ้อง ต้องขึ้นโรงขึ้นศาลแต่ที่บ้านผมก็ผิดนัดเพราะไม่มีใครกล้าไป ชื่อผู้รับผิดชอบคือผม ทายาทโดยชอบธรรม แม่ของผม (ภรรยา) และผู้ค้ำประกัน เป็นญาติฝ่ายพ่อ ผิดนัดจนเขาจะยึดบ้านผู้ค้ำแล้ว ทางเขาเลยจะดำเนินงานให้ คือเขาจะออกค่าที่โดนฟ้องให้ก่อน แล้วให้ทางผมและแม่เอาโฉนดที่ดินที่ต่างจังหวัดให้เขาไปก่อนเป็นหลักประกัน แล้วก็ให้ผ่อนค่าฟ้องจนกว่าจะครบ ถ้าครบแล้วถึงจะคืนโฉนดให้ ช่วงม.6 เป็นอะไรแย่มากสำหรับผม ไม่มีกะจิตกะใจเรียนต่อ ทุกอย่างมันแย่ไปหมด ผมก็เลยเลิกเตรียมตัวสอบ เพราะถึงจะสอบได้ก็ไม่มีเงินเรียน แถมได้ย้ายที่อยู่ตั้งหลายรอบ ไกลจากโรงเรียนขึ้นเรื่อยๆ จนไปเรียนสายทุกวัน โดนหักคะแนนจิตพิสัยอีก แต่ก็พยุงตัวจนเรียนจบมาได้ด้วยเกรด 3.08 ก็ถือว่าไม่ๆด้แย่เท่าไหร่ แล้วก็เลือกเรียนต่อที่ ม.รามแทน เพราะค่าเทอมถูกแล้วก็ไม่ต้องสอบเข้าด้วย เลือกเรียนจิตวิทยาตามที่ตั้งใจไว้ แต่พอเริ่มเรียนโควิคก็ระบาดอีก ทำได้แต่เรียนออนไลน์ ตอนนี้อาศัยอยู่ในห้องเช่าเล็กๆ ราคา1900/เดือน รวมค่าน้ำค่าไฟด้วยก็ประมาณ 2300/เดือน ช่วงนี้รู้สึกแย่มาก ไปไหนก็ไม่ได้ ว่าจะสมัครงานไปด้วยเรียนไปด้วยเขาก็ไม่รับเพราะยังไม่ผ่านการเกณฑ์ทหาร ตอนม.ปลายพ่อก็ไม่ยอมให้เรียน รด.ด้วย เพราะอะไรก็ไม่รู้ แบบห้ามเลย ผมก็ขลุกตัวอยู่แต่ในห้องพักนึง ช่วงนี้แม่ก็ไม่ได้ขายของแล้วและหันมาทำงานแม่บ้านแทนได้เงินเดือนพอจะได้สองแม่ลูก ส่วนพี่ๆ ก็แยกย้ายไปอยู่ที่อื่น ผมรู้สึกผิดกับแม่ผิดกับตัวเองมาก เรียนก็ไม่มีกะจิตกะใจเรียนแล้ว รู้สึกดาวน์มาก แล้วปีนั้น ปี64 มันเปิดรับสมัครทหารเกณฑ์แบบออนไลน์ปีแรก ผมเลยรีบสมัครเลย ดีกว่าอยู่เฉยๆ กินๆ นอนๆ ใช้ชีวิตอย่างไร้จุดหมายอยู่อย่างนี้ ผมสมัครเป็น 1 ปี มาเป็นทหารที่ลพบุรี ตอนแรกตั้งใจแค่ว่ารีบๆ เป็นให้มันจบๆ ไป เพราะถ้าต้องรอวันเกณฑ์ผมจะต้องเดินทางไปต่างจังหวัด มันคงจะลำบากน่าดูเลยสำหรับผม เพราะบ้านเกิดอยู่ไกลกรุงเทพมาก ผมเลยสมัครมาก่อนอายุ ผมเกิดปี44 แล้วตอนนี้เป็นพลทหารผลัด 1/64 แล้วก็คิดว่าจะสมัครเป็นนักเรียนนายสิบต่อ แต่บังเอิญรอบที่แล้วติดโควิด เขาเลยตัดสิทธิ์ไม่ให้สอบ ให้มาใหม่ปีหน้าแทน ผมช่วงใกล้ปลดเพราะเป็นปีเดียวก็มานั่งคิด สรุปอยู่ต่ออีกปีละกันรอสอบอีกทีปีหน้า ด้วยความที่ผมเป็นคนขยัน เชื่อฟังดี ทำงานได้ นายสิบหลายคนก็คอยเชียร์ให้ผมสอบให้ได้ เพราะงานที่ผมทำเป็นผู้ช่วยนายสิบในสายงานเลยใกล้ชิดกับพวกเขามาหน่อย แต่พออยู่นานมันเริ่มเห็นอะไรๆ มาขึ้นๆ ทั้งดีและไม่ดี จนหัวผมในตอนนี้ไม่ได้อยากเป็นนายสิบแล้ว แต่มันมีแรงกดดันจากคนรอบข้างที่ตั้งความหวังไว้ที่ผม ว่าต้องเป็นให้ได้ ผมก็เลยต้องแสร้งทำเป็นอยากเป็นอยู่แต่ความรู้สึกตอนนี้มันตรงข้ามกัน บวกด้วยตอนนี้ผมเริ่มมีความรักแล้ว ผมลองชวนเพื่อนที่เคยบอกชอบสมัยม.ต้นคุยดู ตอนนี้ผมก็เริ่มคุยกับเธอทุกวัน ถึงจะยังไม่ได้เป็นแฟนกันตอนนี้ เพราะเหตุผลทางบ้านของเธอ ผมก็ยังจะรอ แล้วผมก็จะทำตัวเองให้ดีพอที่จะเป็นแฟนเธอให้ได้ ตอนนี้เธอกำลังเรียนมหาลัย อยู่ปีสามแล้วตอนนี้ เธอดูยุ่งมากๆ แต่ถ้าเธอว่างเธอก็จะมาตอบแชทผม เวลาพวกเราไม่ค่อยจะตรงกัน ผมเลยไม่มีความคิดที่จะสอบนักเรียนนายสิบต่ออีกแล้ว ผมอยากกลับไปเรียน ทำงาน แล้วก็ได้ดูแลเธอใกล้ๆ ถึงตอนนี้จะยังไม่พร้อมเท่าไหร่แต่ก็ไม่ได้อยากห่างไกลกัน ผมเลยคิดว่าจะปลดออกไปแล้วเรียนปวส.สายอาชีพแทนแล้วทำงานไปด้วย จะได้ตั้งตัวได้ แต่ตอนนี้ในใจผมมันก็ตีกัน เวลาว่างๆ ที่ยังไม่มีงาน ในใจผมว้าวุ่นไม่รู้จะไปทางไหนดี ระหว่างสอบให้ได้เอาความมั่นคงไปฝากที่บ้าน แสดงให้พวกเขาเห็นถึงความสามารถของผม เติมเต็มความคาดหวังของเขา กับเตรียมตัวปลด หาหนังสืออ่านเตรียมความรู้ไว้ใช้เรียนต่อหลังปลด เตรียมสอบพวก TOEIC เรียนรู้เรื่องภาษี หาซื้อคอร์สเรียนการลงทุนและพัฒนาตัวเอง แล้วคอยหางานทำรอเธอเรียนจบ เก็บเนื้อสร้างตัวไปเรื่อยๆ ผมไม่รู้จะเลือกอะไรดี ใครมีคำแนะนำดีๆ สำหรับคนที่ต้องเริ่มต้นจากติดลบแบบผมบ้าง ผมคิดไม่ออกว่าจะอย่างไหนดี ช่วยให้คำแนะนำผมทีครับ ขอบคุณครับ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 5
อ่านจนจบ ผมก็เคยสอบเอนทรานซ์ได้ ใน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยปิดแห่งหนึ่ง ในกทม.ระดับชั้นนำ แต่ด้วยความทะนงตัว กับชอบทำกิจกรรมเลยทำเกรดไม่ค่อยจะดี เรียกว่า มีโอกาสรีไทร์เกือบ 90% เพราะปีแรกได้เกรดเฉลี่ย แค่ 1 กว่าๆ  ปีที่2 ก็ 1 กว่า ความจริงวิชาหลัก คือวิชากฏหมาย ผมทำคะแนนใช้ได้ แต่มาเสียในวิชาพื้นฐาน เกรด D เท่านั้น มีติด F ด้วย พอขึ้นปีที่ 3 ก็สับสนว่าจะเรียนต่อ หรือขอไป รีเกรดที่ ม.เอกชน เพราะถ้าอยู่ที่เดิม อาจจะไม่จบ แถม ถ้ารีไทร์ ก็เป็นว่า ที่เรียนไป โอกาสเป็นศูนย์อีก พอดีมีญาติลงมาสมัครสอบ นักเรียนนายสิบ  เลยตามเขาไปสมัครได้ แล้วก็สอบติด เลยตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัยเดิม แต่ขอหลักฐานการเรียนเก็บเอาไว้ พอเรียนนายสิบ หลักสูตร 1 ปี จบ ก็ขอลง กทม. เพราะหวังจะมาเรียนนิติฯ ต่อ ปีแรกที่จบนายสิบ ยังไม่มีโอกาสได้เรียนต่อ ในขณะที่เพื่อนๆที่เรียนในมหาวิทยาลัยเดิม ขึ้นปี 4 ใกล้จะจบแล้ว งานในปีแรกรัดตัวมากเพราะต้องฝึกทหารใหม่ แถม พอถึงเดือนตุลาคม มีชื่อขึ้นชายแดนอีก ต้องขึ้นชายเเดน รวม 6 เดือน พอถึงเดือน เม.ย. ของอีกปี ก็ขอลงมาทำงานที่ตั้งปกติ เปลี่ยนมาทำงานบน บก.พัน เพื่อหวังจะได้พอมีเวลาเรียนต่อ จากนั้นก็มาสมัครเรียน นิติฯ ใหม่ ที่ ม.เอกชน โดยขอโอนหน่วยกิต ที่เคยเรียนจากมหาวิทยาลัยเดิม ก็สามารถโอนได้เฉพาะวิชาที่ได้เกรด C  ซึ่งก็ไม่มากเท่าไหร่ ทำงานไปด้วย เรียนไปด้วย ก็ใช้เวลา 4 ปี จบ ในขณะที่เพื่อนๆ ที่เรียนในมหาวิทยาลัยเดิม จบไปก่อนหลายปี หลายคนก็สอบ เนติบัณฑิต ได้อีก แม้จะจบช้าเพราะกลับมาเรียนใหม่ แต่ก็เรียนสบายๆ เพราะเทียบโอนไว้ได้หลายตัว จบก็มีโอกาสสอบ นายทหารสัญญาบัตร สายปริญญา หรือที่เขาเรียกว่า สาย ยศ.  ในรุ่นแรกๆ  ก็สอบได้ ได้เป็นนายทหารสัญญาบัตร มาจนถึงตอนนี้เหลือไม่กี่ปีก็จะเกษียณ อายุราชการแล้ว มาจนถึงวันนี้ ก็ถือว่า ก้าวหน้าในสายราชการพอสมควร แม้ว่า เพื่อนๆ ที่เรียนจบ มหาวิทยาลัยปิด จะเป็นใหญ่เป็นโต เป็นผู้พิพากษาหรืออัยการหลายคน แต่ก็ถือว่า ตัวเองไม่ขี้เหร่อะไร ไปได้ดี พอสมควร ถ้านับจากเพื่อนร่วมรุ่นนักเรียนนายสิบ ถ้าไม่นับพวกที่ไปเรียน จปร.  ผมก็ถือว่าเป็นแถวหน้าของรุ่น  ที่กล่าวมา ก็ขอเล่าประสบการณ์ตนเอง ขอเป็นกำลังใจให้ ครับ สู้ๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่