ผมเป็นคนที่เชื่อในการเป็นคนดีที่ตำราสอนมาตลอดตั้งแต่เด็ก
เพิ่งค้นพบหลังอายุ 30 ว่า ที่คนเราพยายามสอนให้มนุษย์เป็นคนดีกัน
เพราะพื้นฐานความดีของส่วนใหญ่ มันเริ่มต้นจากจุดต่ำ ที่เรียกว่า "เห็นแก่ตัว"
เลยต้องทำการสอนย้ำ ๆ ให้ความดีมันพอซึมซับเข้าไปในความคิดบ้าง
แต่คนที่รับเข้าไปเยอะแล้วเชื่อ หรือเกิดมามีความเห็นแก่ตัวน้อยก็เป็นได้
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด คนที่เลือกที่จะทำตามอย่างจริงจังแบบผม
เพิ่งรู้ตัวว่า ตัวเองเป็นคนแปลกในสังคมนี้
ไม่เคยแม้แต่คิดว่าตัวเองดีกว่าใคร
คิดแค่ว่าตัวเราคือ "พื้นฐาน" ธรรมดาที่โลกควรจะเป็น
กลับกลายเป็นว่า เราหงุดหงิดง่าย เวลาเจอความเห็นแก่ตัวของคนอื่น
ใช่ ผมก็เห็นแก่ตัว แต่ความเห็นแก่ตัวผม มันต้องไม่เดือดร้อนใครเด็ดขาด
ไม่มีคือไม่มี ต้องยอมรับความไม่มีได้ แต่เราจะไม่เอาเปรียบใครเพื่อจะได้มันมา
ทว่า เท่าที่เห็นในสังคมที่ต้องแข่งขันกันที่ผมต้องอยู่กับมันทุกวันนี้
มนุษย์ส่วนใหญ่แทบไม่ได้คิดไปไกลกว่าตัวเอง
เพื่อตัวเองแล้ว คนอื่นจะได้รับผลกระทบบ้างก็เป็นเรื่องยอมรับได้
รู้สึกรอบตัวไม่มีคนแบบเราเลย
มองดูคนที่พบเจอมา
ทำไมต้องตรรกะบิดเบี้ยวในเรื่องง่าย ๆ เพื่อให้ตอบสนองความต้องการตัวเอง ?
ทำไมโลกถึงต้องมีคนพูดจาทำร้ายจิตใจคนอื่นโดยไม่คิดถึงใจคนฟัง ?
ทำไมต้องแสดงละครที่ไม่เนียนตาเพื่อโกหกกันอยู่ตลอด ?
ทำไมไม่จริงใจ ? ทำไมคิดเรื่องดีไม่ได้ ? ทำไมต้องเอาเปรียบกัน ?
ส่วนตัวเรา ถึงจะตั้งคำถามเหล่านี้ จนอารมณ์เสียบ่อย ๆ
แต่ก็ยังเลือกพยายามทำตัวดีตามตำรา ผลลัพธ์ก็คือ มีคนเข้าหาเรามากมาย
หลงคิดไปเองว่าเขาจะเป็นคนดีเหมือนกัน ดึงดูดกัน นี่แหละคือความสุขของชีวิต
เปล่าเลย จริง ๆ แล้วก็แค่ความดีของเราเป็นประโยชน์ต่อเขา แค่นั้น
แม้แต่คนที่เราเชื่อว่าเป็นคนดี
จากประสบการณ์ เพื่อนฝูงที่มีฐานะดี พื้นฐานดี มีพร้อมจากครอบครัว
หลายปีที่รู้จักกัน ผมเชื่อมั่นว่า คนพวกนี้เขาเป็นคนดีนะ
แต่แล้ว ก็ถึงเวลาที่พวกเขาต้องเลือกระหว่างความถูกต้องกับผลประโยชน์
และแล้วผมก็ต้องผิดหวัง ที่เพื่อนของผมเลือกผลประโยชน์
ดังนั้น ผมจึงมีคำนิยามคนประเภทนึงขึ้นมาใหม่ "คนนิสัยดีเพราะรวย"
ใช่ พวกเขาเป็นคนดี เพราะรวย เพราะมีความสุขกับชีวิตดีแล้ว
แต่ถ้าเปลี่ยนสถานะเขา ไปอยู่ในจุดอื่น เขาอาจจะใช่หรือไม่ใช่คนดีก็ได้
โลกที่เคยเชื่อมั่น พังทลาย
จากจุดที่เคยเครียดกับความคิด ตั้งคำถามต่อโลกจนแทบจะเป็นบ้า
สุดท้าย ผมเข้าใจโลกแล้ว ว่าตำราที่สอนให้เป็นคนดี
มันมีไว้แบบกลวง ๆ มันคือตำราที่ให้เราเล่นรู้ทักษะการแสดงที่จะเป็นคนดี
เล่นละคร ใส่หัวโขนคนดี เฉพาะหน้าตามสถานการณ์ต่าง ๆ
ทำมันออกไป สร้างความชอบธรรม เพื่อผลประโยชน์ตัวเอง
พยายามเป็นคนดีที่จะอยู่ตรงกลาง เพื่อไม่ให้มีปัญหากับใคร
แล้วไหลไปในฝั่งที่ตัวเองได้ประโยชน์ จากการแสดงเป็นคนดี
คนชั่วอาจจะเหยียบย่ำคนอื่น
แต่คนดีปลอม ๆ จะทำเป็นไม่ใส่ใจผู้ถูกเหยียบย่ำ
คนส่วนใหญ่ที่ผมพบเจอเป็นกันแบบนี้
เพราะคนดีจอมปลอมจะไม่ยอมรับความถูกต้องที่ขัดผลประโยชน์
ผมเคยชื่นชมคนที่ยึดมั่นในความถูกต้องจนตัวตาย
อย่างในหลายข่าวที่เราเห็น ตั้งแต่อดีตยังปัจจุบัน
แต่พอเจอเรื่องราวทำนองนี้กับตัวเอง จึงเกิดมุมมองใหม่
ผมคิดว่าพวกเขา "ตายฟรีอย่างน่าสงสาร"
เหมือนหินโยนลงไปในน้ำ เกิดแรงกระเพื่อมขึ้นมาชั่วคราว
คลื่นเล็กบ้าง ใหญ่บ้าง มีบางสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปบ้าง
แต่ผิวน้ำที่เรียกว่าความเห็นแก่ตัวก็กลับมาแน่นอน
แง่ดี เป็นความเห็นแก่ตัวแบบใหม่ แง่ร้าย เป็นความเห็นแก่ตัวแบบเดิม
ปลายทางจุดจบเป็นคำตอบเดิมที่ไม่มี Good ending มีแค่เราจะรับได้สักแค่ไหน
ผมอยากมีโอกาสบอกพวกเขาว่า "เรามาเห็นแก่ตัวกัน แล้วใช้ชีวิตเพื่อตัวเองนะ"
เพราะคนเราจะเสียทุกอย่างไปเพราะไม่เห็นแก่ตัว
สังคมที่ผมเคยคิดว่ามันควรเป็นตามหนังสือที่ได้เรียนรู้
สุดท้ายมันคือยูโทเปียที่ไม่มีจริง และไม่มีวันจะเป็นจริงได้
เพราะมนุษย์นั้น เนื้อแท้คือเผ่าพันธุ์ที่เห็นแก่ตัว ไม่ต่างจากสัตว์ชนิดอื่น
ถ้าเรายังจำเป็นต้องอยู่ มีหน้าที่ และยังต้องดิ้นรนเพื่ออะไรบ้างอย่างอยู่
ก็ควรเห็นแก่ตัว ให้ยินดีเวลาตัวเองชนะ อย่าไปสงสารคนที่แพ้
เหยียบย่ำคนอื่นเพื่อไปข้างหน้าเรื่อย ๆ
ไหลไปตามกระแสสังคมที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเอง
มันคือ สัญชาตญาณเอาตัวรอดของสัตว์
ดังนั้น คำตอบของผม
คือ ควรเลือกที่จะแสดงละครเป็นคนดีจอมปลอม
เพราะสังคมส่วนใหญ่ ยอมรับกับวิธีนี้
อย่าไปคิดมากเรื่องความถูกต้อง
พยายามหาคำตอบของความถูกต้องในหัวไปก็เหนื่อยเปล่า ๆ
แค่แสร้งทำตามกระแสที่บอกว่าดี สังคมก็ยอมรับแล้ว
เพราะความถูกต้องที่เราคิดว่ามันมี มันไม่มีอยู่จริงตั้งแต่แรก
เปลี่ยนมุมมอง มองตัวเองเป็นนักแสดงเจ้าบทบาท
ทำในสิ่งที่คนอื่นอยากเห็น เราก็จะได้ผลประโยชน์กลับคืนมาแล้ว
ใช้ชีวิตแบบนักการเมืองที่เราเห็นกัน ปลอมยังไงก็มีคนเชื่อถือ
ยิ่งเลือกบทถูกฝั่ง ยิ่งดี ใช้ประโยชน์จากความโง่ของมนุษย์
พอคิดงี้ ทุกอย่างก็ลงตัว และดูใช้ชีวิตง่ายขึ้น
พอวันนึงที่ไม่ต้องดิ้นรนแล้ว ถึงเวลาลงจากเวที
จะกลับมาเป็นตัวเองจริง ๆ
สุดท้าย คนแบบผมที่เคยเชื่อในความดีในโลกยูโทเปียแบบตำรา ถ้าคุณขึ้นไปเหนือผิวน้ำแห่งความเห็นแก่ตัวแล้ว ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนกับชีวิตแล้ว ก็ขอให้เป็นคนดีที่ไม่หวังสิ่งตอบแทนจริง ๆ ฝากให้โลกนี้มันยังเหลือความหวังปลายอุโมงค์ของสังคมมนุษย์ที่ผมตอนเด็กเคยฝันถึงเอาไว้สักหน่อย
สุดท้ายแล้ว ได้บทเรียนชีวิตว่า ความเห็นแก่ตัวจะทำให้อยู่รอดในสังคมที่ต้องดิ้นรน
เพิ่งค้นพบหลังอายุ 30 ว่า ที่คนเราพยายามสอนให้มนุษย์เป็นคนดีกัน
เพราะพื้นฐานความดีของส่วนใหญ่ มันเริ่มต้นจากจุดต่ำ ที่เรียกว่า "เห็นแก่ตัว"
เลยต้องทำการสอนย้ำ ๆ ให้ความดีมันพอซึมซับเข้าไปในความคิดบ้าง
แต่คนที่รับเข้าไปเยอะแล้วเชื่อ หรือเกิดมามีความเห็นแก่ตัวน้อยก็เป็นได้
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด คนที่เลือกที่จะทำตามอย่างจริงจังแบบผม
เพิ่งรู้ตัวว่า ตัวเองเป็นคนแปลกในสังคมนี้
กลับกลายเป็นว่า เราหงุดหงิดง่าย เวลาเจอความเห็นแก่ตัวของคนอื่น
ใช่ ผมก็เห็นแก่ตัว แต่ความเห็นแก่ตัวผม มันต้องไม่เดือดร้อนใครเด็ดขาด
ไม่มีคือไม่มี ต้องยอมรับความไม่มีได้ แต่เราจะไม่เอาเปรียบใครเพื่อจะได้มันมา
ทว่า เท่าที่เห็นในสังคมที่ต้องแข่งขันกันที่ผมต้องอยู่กับมันทุกวันนี้
มนุษย์ส่วนใหญ่แทบไม่ได้คิดไปไกลกว่าตัวเอง
เพื่อตัวเองแล้ว คนอื่นจะได้รับผลกระทบบ้างก็เป็นเรื่องยอมรับได้
ทำไมต้องตรรกะบิดเบี้ยวในเรื่องง่าย ๆ เพื่อให้ตอบสนองความต้องการตัวเอง ?
ทำไมโลกถึงต้องมีคนพูดจาทำร้ายจิตใจคนอื่นโดยไม่คิดถึงใจคนฟัง ?
ทำไมต้องแสดงละครที่ไม่เนียนตาเพื่อโกหกกันอยู่ตลอด ?
ทำไมไม่จริงใจ ? ทำไมคิดเรื่องดีไม่ได้ ? ทำไมต้องเอาเปรียบกัน ?
ส่วนตัวเรา ถึงจะตั้งคำถามเหล่านี้ จนอารมณ์เสียบ่อย ๆ
แต่ก็ยังเลือกพยายามทำตัวดีตามตำรา ผลลัพธ์ก็คือ มีคนเข้าหาเรามากมาย
หลงคิดไปเองว่าเขาจะเป็นคนดีเหมือนกัน ดึงดูดกัน นี่แหละคือความสุขของชีวิต
เปล่าเลย จริง ๆ แล้วก็แค่ความดีของเราเป็นประโยชน์ต่อเขา แค่นั้น
หลายปีที่รู้จักกัน ผมเชื่อมั่นว่า คนพวกนี้เขาเป็นคนดีนะ
แต่แล้ว ก็ถึงเวลาที่พวกเขาต้องเลือกระหว่างความถูกต้องกับผลประโยชน์
และแล้วผมก็ต้องผิดหวัง ที่เพื่อนของผมเลือกผลประโยชน์
ดังนั้น ผมจึงมีคำนิยามคนประเภทนึงขึ้นมาใหม่ "คนนิสัยดีเพราะรวย"
ใช่ พวกเขาเป็นคนดี เพราะรวย เพราะมีความสุขกับชีวิตดีแล้ว
แต่ถ้าเปลี่ยนสถานะเขา ไปอยู่ในจุดอื่น เขาอาจจะใช่หรือไม่ใช่คนดีก็ได้
สุดท้าย ผมเข้าใจโลกแล้ว ว่าตำราที่สอนให้เป็นคนดี
มันมีไว้แบบกลวง ๆ มันคือตำราที่ให้เราเล่นรู้ทักษะการแสดงที่จะเป็นคนดี
เล่นละคร ใส่หัวโขนคนดี เฉพาะหน้าตามสถานการณ์ต่าง ๆ
ทำมันออกไป สร้างความชอบธรรม เพื่อผลประโยชน์ตัวเอง
พยายามเป็นคนดีที่จะอยู่ตรงกลาง เพื่อไม่ให้มีปัญหากับใคร
แล้วไหลไปในฝั่งที่ตัวเองได้ประโยชน์ จากการแสดงเป็นคนดี
คนชั่วอาจจะเหยียบย่ำคนอื่น
แต่คนดีปลอม ๆ จะทำเป็นไม่ใส่ใจผู้ถูกเหยียบย่ำ
คนส่วนใหญ่ที่ผมพบเจอเป็นกันแบบนี้
คลื่นเล็กบ้าง ใหญ่บ้าง มีบางสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปบ้าง
แง่ดี เป็นความเห็นแก่ตัวแบบใหม่ แง่ร้าย เป็นความเห็นแก่ตัวแบบเดิม
คือ ควรเลือกที่จะแสดงละครเป็นคนดีจอมปลอม
อย่าไปคิดมากเรื่องความถูกต้อง
พยายามหาคำตอบของความถูกต้องในหัวไปก็เหนื่อยเปล่า ๆ