อำลาชั่วนิรันดร์ ปิดตำนาน ชายลี้ภัยอิหร่าน อยู่สนามบินปารีส 18 ปี

ชายลี้ภัยชาวอิหร่าน อยู่ที่สนามบินชาร์ล เดอ โกล ในปารีส 18 ปี จนกลายเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างภาพยนตร์ เรื่อง The Terminal เสียชีวิตแล้ว
'เมห์ราน นัสเซอรี' อาศัยอยู่ที่สนามบินชาร์ล เดอ โกล ในปารีส มาตั้งแต่ปี 1988-2006 จากในตอนแรก พยายามต่อสู้ทางกฎหมายเพื่อขอลี้ภัยทางการเมือง จนกลายมาเป็น 'เลือกที่จะอยู่' แม้ว่ามีสิทธิจะได้รับสถานะผู้ลี้ภัยก็ตาม
เจ้าหน้าที่สนามบินปารีสเปิดเผย นัสเซอรี เพิ่งกลับมาอยู่ที่สนามบินแห่งนี้อีกครั้งเมื่อเร็วๆ นี้ ก่อนจะเสียชีวิต ลาจากโลกนี้ไปด้วยวัย 76 ปี
และแล้ว ชายลี้ภัยชาวอิหร่าน นาม 'Mehran Karimi Nasseri' (เมห์ราน คาริมี นัสเซอรี) ได้ตกเป็นข่าวใหญ่อีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นข่าวเศร้า เมื่อเขาได้ลาจากโลกนี้ไปด้วยวัย 76 ปี ที่ท่าอากาศยานปารีส ชาร์ล เดอ โกล ที่กรุงปารีส เมื่อวันเสาร์ที่ 12 พ.ย. ที่ผ่านมา หลังจากได้สร้างตำนานให้โลกจำ ใช้ชีวิตอยู่ในอาคารผู้โดยสารของท่าอากาศยานแห่งนี้มายาวนานถึง 18 ปี
จนเรื่องราวของนัสเซอรี ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้สตีเวน สปิลเบิร์ก ผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดัง นำไปสร้างภาพยนตร์เรื่อง The Terminal ที่มีดาราฮอลลีวูดมากความสามารถอย่าง ทอม แฮงก์ รับบทเป็นนักแสดงนำ ในปี ค.ศ. 2004

ทำไมนัสเซอรี ชายลี้ภัยชาวอิหร่านจึงต้องมาติดอยู่ที่สนามบินชาร์ล เดอ โกล? ใช้ชีวิตอย่างเดียวดายท่ามกลางผู้คนมากมายที่สนามบินในกรุงปารีส เมืองหลวงฝรั่งเศส เรามาร่วมย้อนรำลึกเรื่องราวของเขาไปพร้อมกัน...

มีพ่อเป็นหมอ มีแม่เป็นพยาบาลมาจากอังกฤษ
นัสเซอรี เป็นชาวอิหร่าน เกิดที่เมืองมัสเจด โซเลย์มัน จังหวัดคูเซสถาน ประเทศอิหร่าน เมื่อปี 1945 มีพ่อเป็นนายแพทย์ ซึ่งทำงานอยู่ที่บริษัทน้ำมัน Anglo-Persian 0il Company ส่วนแม่เป็นนางพยาบาล มาจากอังกฤษ ซึ่งทำงานอยู่ที่เดียวกันกับพ่อ
นัสเซอรีเดินทางไปเรียนหนังสือในประเทศอังกฤษเมื่อปี 1974 เมื่อกลับมาอิหร่านอีกครั้ง นัสเซอรีอ้างว่าเขาถูกเจ้าหน้าที่ทางการควบคุมตัวจากการไปร่วมชุมนุมประท้วงขับไล่พระเจ้าชาห์ และได้ถูกขับไล่ออกจากอิหร่านโดยที่ไม่มีพาสปอร์ต หรือหนังสือเดินทางติดตัว แต่ต่อมา จากการสอบสวน พบว่า นัสเซอรีไม่เคยถูกขับไล่ออกจากอิหร่านแต่อย่างใด
นัสเซอรีบอกว่าเขาตัดสินใจลี้ภัยทางการเมือง นั่งเครื่องบินจากอิหร่านไปยุโรป เพื่อตามหาแม่ และคิดจะไปลงหลักปักฐานเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่อังกฤษในปี 1986 ทว่าในช่วง 2 ปีต่อจากนั้น นัสเซอรีต้องเดินทางเร่ร่อนไปหลายประเทศ รวมทั้งอังกฤษ เนเธอร์แลนด์ และเยอรมนี บางปีก็อยู่ในเบลเยียม เพราะไม่มีประเทศใดอนุญาตให้เขาเข้าประเทศ เนื่องจากไม่มีเอกสารหลักฐานจากทางการ

ขณะนั้น นัสเซอรี ได้ยื่นขอลี้ภัยการเมืองในหลายประเทศของยุโรป และทางสำนักข้าหลวงใหญ่เพื่อผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติประจำเบลเยียม ได้อนุมัติออกหนังสือรับรองสถานะเป็นผู้ลี้ภัยให้แก่นัสเซอรี แต่นัสเซอรีบอกว่าเอกสารสำคัญนี้ที่เก็บไว้ในกระเป๋าเดินทางได้ถูกขโมยไปที่สถานีรถไฟในปารีส
ต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจฝรั่งเศสได้จับกุมนัสเซอรี แต่ก็ไม่สามารถส่งตัวเขาไปประเทศใดๆ ได้เพราะเขาไม่มีเอกสารทางการของประเทศใดๆเลย จึงทำให้ต้องติดอยู่ที่สนามบินชาร์ล เดอ โกล ในปารีส นับตั้งแต่ปี 1988 เป็นต้นมา
ปักหลักอยู่ที่สนามบินปารีส 18 ปี : 1988-2006
นัสเซอรี ซึ่งเปลี่ยนชื่อเรียกตัวเองเป็น 'เซอร์ อัลเฟรด' ได้ปักหลักใช้อาคารผู้โดยสาร 2F ของสนามบินชาร์ล เดอ โกลในปารีส เป็น 'บ้าน' มาตั้งแต่ปี 1988 หลังจาก นัสเซอรี ประกาศตัวเองว่าเป็นคนไร้รัฐเป็นเวลาหลายปี การพำนักที่สนามบินชาร์ลส์ เดอ โกล จึงเป็นทางเลือกโดยเจตนา
นัสเซอรีนั่งนอนบนม้านั่งยาวเบาะพลาสติกสีแดง รายล้อมไปด้วยรถเข็นวางกระเป๋าเดินทางไว้ข้างตัว แปรงฟัน ล้างหน้า อาบน้ำที่ห้องน้ำของพนักงานในสนามบิน

เขามีเพื่อนๆ เป็นพนักงานสนามบินที่มาพูดคุยด้วย และมักใช้เวลาไปกับการอ่านหนังสือ เขียนไดอารีจดบันทึกเรื่องราวที่ตัวเองประสบพบเจอลงในสมุดบันทึก และศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์
พนักงานที่สนามบินชาร์ล เดอ โกล ตั้งชื่อเล่นให้เขาว่า 'ลอร์ด อัลเฟรด' และกลายเป็นคนดังเล็กๆ ท่ามกลางผู้โดยสารเดินทาง
ท่ามกลางการใช้ชีวิตที่สนามบินผ่านมาหลายปี ในที่สุด นัสเซอรีก็ได้รับเอกสารได้รับสถานะผู้ลี้ภัย เขาบอกถึงความประหลาดใจของตัวเอง แต่ก็รู้สึกไม่ปลอดภัยหากต้องออกไปจากสนามบิน
มีรายงานว่านัสเซอรี ปฏิเสธที่จะเซ็นเอกสารในการได้สถานะผู้ลี้ภัย และทำให้ต้องใช้ชีวิตอยู่ที่อาคารผู้โดยสารในสนามบินปารีสมาหลายปี จนถึงปี 2006
ล้มป่วยทำให้ออกจากสนามบินครั้งแรก
ในปี 2006 นัสเซอรีเกิดล้มป่วย จนต้องถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล ทำให้เขาได้ออกจากสนามบินชาร์ล เดอ โกล เป็นครั้งแรกในรอบ 18 ปี และต่อมา เขาได้พำนักอยู่ที่ศูนย์พักพิงผู้ลี้ภัยแห่งหนึ่งในกรุงปารีส
ช่วงนั้นทั้งฝรั่งเศสและเบลเยียมเสนอที่จะให้ที่พำนักแก่นัสเซอรี แต่มีข่าวว่าเขาไม่พอใจที่ทั้งฝรั่งเศสและเบลเยียมระบุสัญชาติของเขาว่าเป็นชาวอิหร่านแทนที่จะเป็นชาวอังกฤษ และยังต้องการให้ทางการทั้งสองชาติระบุชื่อของเขาว่า 'เซอร์ อัลเฟรด เมห์ราน' ด้วย จึงทำให้นัสเซอรีปฏิเสธที่จะเซ็นรับรองเอกสารสถานะผู้ลี้ภัย
คือตำนานของสนามบินชาร์ล เดอ โกล
คนที่เป็นเพื่อนกับนัสเซอรี เปิดเผยว่า จากการที่นัสเซอรีอาศัยอยู่ในอาคารผู้โดยสารของสนามบินที่ปิดทึบด้วยกระจกมาหลายปี ทำให้เขามีอาการป่วยทางจิต โดยเมื่อช่วงทศวรรษ 1990 แพทย์ประจำสนามบินแห่งนี้เคยเป็นห่วงเกี่ยวกับสุขภาพร่างกายและปัญหาสุขภาพจิตของนัสเซอรี และอธิบายให้เห็นว่านัสเซอรีตกอยู่ในสถานะ 'ถูกทำให้กลายเป็นฟอสซิลอยู่ที่นี่'
ขณะที่เรื่องราวตำนานของนัสเซอรี ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้สตีเวน สปิลเบิร์ก ผู้กำกับภาพยนตร์คนดัง นำไปสร้างภาพยนตร์ในชื่อเรื่อง The Terminal ในปี 2004 เช่นเดียวกับ บริษัทสร้างภาพยนตร์ในฝรั่งเศส ได้สร้างภาพยนตร์ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากนัสเซอรีและตั้งชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า 'Lost in Transit' นอกจากนั้น นัสเซอรียังเขียนหนังสือประวัติของตัวเอง ในชื่อ 'The Terminal Man' ตีพิมพ์ในปี 2004
แต่แล้วในที่สุด วันที่ 12 พ.ย. 2022 ตามเวลาท้องถิ่น แพทย์ในฝรั่งเศสได้ยืนยันว่า นัสเซอรี เสียชีวิตแล้ว ด้วยอาการหัวใจล้มเหลว ปิดฉากชีวิตด้วยวัย 76 ปี โดยเจ้าหน้าที่สนามบินชาร์ล เดอ โกล ยังเปิดเผยด้วยความเสียใจว่า นัสเซอรีได้กลับมาอยู่สนามบินแห่งนี้อีกครั้งเมื่อ 2-3 สัปดาห์ที่แล้ว และเขาได้อยู่ที่นี่จนกระทั่งเสียชีวิต 
ทิ้งไว้แต่เพียงตำนานที่เคยเกิดขึ้น ณ สนามบินแห่งนี้ให้ถูกเล่าขานและอยู่ในความทรงจำตลอดไป...
ผู้เขียน : อรัญญา ศรีจันทรนิตย์
ที่มา : BBC,Dailymail,voanews
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่