หลายคนคงเคยได้ยินเราพูดถึงแบรนด์
IPSA พอสมควรแต่ถ้าติดตามเรารู้ว่าไอเทมที่สร้างความประทับใจให้เราตั้งแต่ครั้งแรก คือ ผลิตภัณฑ์ในไลน์
Me ULTIMATE ซึ่งย้อนไปราวๆ 2 ปีที่แล้วทำให้ผิวเราไม่แห้งลอกในช่วงที่อากาศเย็นและค่อนข้างแห้ง แต่แล้วล่สุดทางแบรนด์ได้ปรับสูตรใหม่เปลี่ยนชื่อเป็น
IPSA Me Ultimate e เราเลยขอหยิบน้องคนนี้มาเล่าให้ฟังสั้นๆ แล้วกันฮะ
IPSA Me Ultimate E 3 (50ml./3,700.-)
IPSA Me Ultimate e ใน Generation ที่ 9 นี้จะมีด้วยกันทั้งหมด 4 สูตรซึ่งตัวเลขที่เพิ่มขึ้นนั้นจะเหมาะกับผิวที่มีระดับของน้ำมันที่น้อยลง สภาพผิวของเราในช่วงนี้ match กับสูตร 3 มากที่สุดเพราะผิวเริ่มขาดน้ำมันบนผิวจากอายุที่เพิ่มขึ้น
Packaging (บรรจุภัณฑ์) ที่ทางแบรนด์เลือกใช้จะเป็นรูปแบบขวดปั๊มพลาสติกที่ค่อนข้างแข็งแรงและยังคงยึดดีไซน์เดิมที่ดูเรียบหรู ดูมินิมอลแต่เลอค่าสุดๆ
Texture (เนื้อสัมผัส) ถูกดีไซน์ออกมาในรูปแบบเจลที่ส่วนตัวเรามองว่าค่อนข้างบางเบา-ซึมไว แต่ที่ผิดคาดคือการมอบความชุ่มชื้นที่ทำได้ค่อนข้างดีเลยหละ
เราลองวัด
Moisture Level (ระดับความชุ่มชื้นบนผิว) ก่อนและหลังทาพบว่าหลังทา IPSA Me Ultimate e 3 ความชุ่มชื้นบนผิวเพิ่มขึ้นถึง 27% นับว่าทำได้ดีเลยทีเดียว
Active Ingredients
ด้าน
Active Ingredients ยังคงองค์ประกอบหลักทั้ง 3 กลไกได้แก่ :
- การเพิ่มออกซิเจนในผิวด้วย
Belamcanda Chinensis Root Extract เพื่อนำไปใช้ในการซ่อมแซมเซลล์ผิว
-
GN3 ที่ได้จากสารประกอบเชิงซ้อน 3 ตัวได้แก่ Retinol Acetate, Bupleurum Root Extract และ Pyrola Incarnata Extract ช่วยให้ผิวแน่นกระชับ ดูอ่อนเยาว์
- ปิดท้ายด้วย
AMINO5 GL ที่ยังคงไว้จากสูตรเดิมด้วยการผสมผสานกันของกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อผิวถึง 5 ถึงได้แก่ Glycine, Glutamic acid, Serine, Oxyproline, Arginine เพื่อเสริมในเรื่องความชุ่มชื้น กระตุ้นการสร้างเซราไมด์ และช่วยเยียวยาบาดแผล
Before / Applied
จากส่วนผสมมีความเป็นไปได้สูงที่จำให้ผิวแข็งแรงขึ้นในระยะยาว แต่ถ้าใครคาดหวังแบบทาแล้วเห็นผลเลยคงไม่พ้นเรื่องความชุ่มชื้นที่เห็นได้ชัดว่าหลังทา
IPSA Me Ultimate e และรอให้เซทตัว 2-3 นาทีผิวโดยรวมมีความชุ่มชื้นที่เพิ่มจนสังเกตุได้ด้วยตาเปล่า อีกทั้งยังไม่ทำให้ผิวมันเพิ่มขึ้นและจากที่ทดลองใช้มาจนเกือบหมดขวด็ไม่พบอาการอุดตันบนผิวฮะ
โดยรวม
IPSA Me Ultimate e ใน
generation ที่ 9 นี้เป็นมากกว่ามอยซ์เจอร์ไรเซอร์ด้วยวัตกรรมต่างๆ ทั้งในแง่ของการกระตุ้นการสร้างเซราไมด์และเป็นองค์ประกอบในการสร้างคอลลาเจน ซ่อมแซมเซลล์ผิว การเพิ่มออกซิเจนในผิวและแน่นอนว่าสามารถมอบความชุ่มชื้นได้ดีแบบไม่มีข้อกังขา ทั้งนี้เราก็แนะนำว่าใครที่สนใจอยากลองใช้
IPSA Me Ultimate e ควรไปทดสอบสภาพผิวที่เคาน์เตอร์
IPSA เพื่อเลือกสูตรที่เหมาะกับสภาพผิวมากที่สุดขอรับ
[CR] [mini Review] - IPSA Me Ultimate e สูตร 3 (9th Generation)
Packaging (บรรจุภัณฑ์) ที่ทางแบรนด์เลือกใช้จะเป็นรูปแบบขวดปั๊มพลาสติกที่ค่อนข้างแข็งแรงและยังคงยึดดีไซน์เดิมที่ดูเรียบหรู ดูมินิมอลแต่เลอค่าสุดๆ
Texture (เนื้อสัมผัส) ถูกดีไซน์ออกมาในรูปแบบเจลที่ส่วนตัวเรามองว่าค่อนข้างบางเบา-ซึมไว แต่ที่ผิดคาดคือการมอบความชุ่มชื้นที่ทำได้ค่อนข้างดีเลยหละ
เราลองวัด Moisture Level (ระดับความชุ่มชื้นบนผิว) ก่อนและหลังทาพบว่าหลังทา IPSA Me Ultimate e 3 ความชุ่มชื้นบนผิวเพิ่มขึ้นถึง 27% นับว่าทำได้ดีเลยทีเดียว
- การเพิ่มออกซิเจนในผิวด้วย Belamcanda Chinensis Root Extract เพื่อนำไปใช้ในการซ่อมแซมเซลล์ผิว
- GN3 ที่ได้จากสารประกอบเชิงซ้อน 3 ตัวได้แก่ Retinol Acetate, Bupleurum Root Extract และ Pyrola Incarnata Extract ช่วยให้ผิวแน่นกระชับ ดูอ่อนเยาว์
- ปิดท้ายด้วย AMINO5 GL ที่ยังคงไว้จากสูตรเดิมด้วยการผสมผสานกันของกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อผิวถึง 5 ถึงได้แก่ Glycine, Glutamic acid, Serine, Oxyproline, Arginine เพื่อเสริมในเรื่องความชุ่มชื้น กระตุ้นการสร้างเซราไมด์ และช่วยเยียวยาบาดแผล
โดยรวม IPSA Me Ultimate e ใน generation ที่ 9 นี้เป็นมากกว่ามอยซ์เจอร์ไรเซอร์ด้วยวัตกรรมต่างๆ ทั้งในแง่ของการกระตุ้นการสร้างเซราไมด์และเป็นองค์ประกอบในการสร้างคอลลาเจน ซ่อมแซมเซลล์ผิว การเพิ่มออกซิเจนในผิวและแน่นอนว่าสามารถมอบความชุ่มชื้นได้ดีแบบไม่มีข้อกังขา ทั้งนี้เราก็แนะนำว่าใครที่สนใจอยากลองใช้ IPSA Me Ultimate e ควรไปทดสอบสภาพผิวที่เคาน์เตอร์ IPSA เพื่อเลือกสูตรที่เหมาะกับสภาพผิวมากที่สุดขอรับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้