Im Westen nichts Neues: แนวรบด้านตะวันตก เหตุการณ์ไม่เปลี่ยนแปลง
" ใครจะไปรู้ว่า ความคึกคะนองอย่างการกระโจนเข้าสู่สงคราม จะทำให้บางสิ่งบางอย่างแตกสลายมากแค่ไหน ทั้งยังไม่สามารถย้อนคืนกลับมาได้อีกเลย... "
สวัสดีครับทุกท่าน ! หลังจากที่รอเรื่องนี้มานาน ล่าสุดภาพยนตร์เยอรมันเรื่อง
All Quiet on the Western Front (2022) ก็ได้เข้า Netflix เป็นที่เรียบร้อย ตัวผมเคยอ่านเวอร์ชั่นนิยายเมื่อนานมาแล้ว วันนี้ผมจึงอยากจะมาเล่าและรีวิวภาพยนตร์เรื่องนี้ พร้อมกับแนะนำนิยายไปในตัวด้วยนะครับ
เกริ่นนำ
All Quiet on the Western Front ในเวอร์ชั่นนิยายแปลไทย
All Quiet on the Western Front หรือในชื่อไทยว่า
"แนวรบด้านตะวันตก เหตุการณ์ไม่เปลี่ยนแปลง" เป็นวรรณกรรมต่อต้านสงครามชื่อดัง นิยายถูกเขียนโดย
เอริช มาเรีย เรอมาร์ก (Erich Maria Remarque) ซึ่งเป็นหนึ่งในทหารเยอรมันที่เข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่ 1 ครั้นเมื่อสิ้นสุดสงคราม เขาได้เขียนนิยายเรื่องนี้ เพื่อบรรยายถึงที่พูดถึงความเหี้ยมโหดของสมรภูมิในยุโรป ควบคู่ไปกับเรื่องราวมิตรภาพระหว่างกลุ่มเพื่อนที่ได้ใช้ชีวิตร่วมกันขณะร่วมรบ
บทความเกริ่นนำในนิยาย
หลังจากที่ปล่อยนิยายออกมาในปี 1928 ปรากฏว่า ประสบความสำเร็จอย่างมาก เพียงปีเดียวสามารถขายได้มากกว่า 1 ล้านเล่มในเยอรมัน มีผู้แปลมากกว่า 45 ภาษา ทว่าเมื่อเวลาดำเนินไปถึงปี 1933 หนังสือเล่มนี้ก็ถูกบรรจุอยู่ในรายชื่อหนังสือที่นาซีสั่งเผา เนื่องจากมีแนวคิดที่เป็นปฏิปักษ์กับสงคราม เรอมาร์ก (ผู้เขียน) เอง ยังถูกถอดสัญชาติเยอรมันออกด้วย เนื่องจากแนวคิดต่อต้านสงคราม
ความยอดเยี่ยมของ
All Quiet on the Western Front มิได้จำกัดอยู่แค่ในแง่วรรณกรรม ในปี 1930
Lewis Milestone จากฟากฮอลลีวูดได้นำนิยายเรื่องนี้มาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ (ภาษาอังกฤษ) และสามารถคว้าออสการ์ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและผู้กำกับยอดเยี่ยมมาได้
Poster ของ All Quiet on the Western Front เวอร์ชั่น 1930
ต่อมาในปี 1979 มีการสร้างเป็น TV Movie ตัวหนังได้รับรางวัลจากเวทีลูกโลกทองคำ และ Primetime Emmy Awards
Poster ของ All Quiet on the Western Front เวอร์ชั่น 1979
สำหรับปี 2022 นี้เอง ก็มีการสร้าง
All Quiet on the Western Front อีกครั้งในฐานะภาพยนตร์เยอรมันภายใต้การกำกับของ
Edward Berger และความดูแลของ Netflix หนังได้รับคำวิจารณ์ - กระแสที่ดีในเทศกาลภาพยนตร์ อีกทั้งหากไม่ผิดพลาดประการใด ก็มีแนวโน้มเข้าชิงออสการ์อีกด้วย !
เรื่องย่อ
All Quiet on the Western Front | Official Trailer
พอล (Felix Kammerer) หนุ่มคะนองวัย 17 เข้าร่วมแนวรบตะวันตกในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง แต่ไม่นานความตื่นเต้นก็มลายหาย เมื่อต้องเผชิญความจริงอันโหดร้ายในสนามเพลาะ
ความรู้สึกหลังชม
พอล รับบทโดย Felix Kammerer
- หลังจากที่ได้ชมหนัง ก็รู้สึกว่า หนังมีรายละเอียดที่ต่างจากนิยายประมาณหนึ่ง อย่างไรก็ตาม แก่นแท้ที่ทั้งหนังและนิยายโฟกัสเหมือนกัน คือ
"การบรรยายความโหดร้ายในสงครามโลกครั้งที่ 1" ไม่ว่าจะในแง่รูปแบบสงครามหรือในแง่สภาพจิตใจ
รูปแบบสงครามที่เกิดขึ้นในแนวรบฝั่งตะวันตก อยู่ในลักษณะ
สงครามสนามเพลาะ (Trench Warfare) แต่ละฝ่ายต่างทรมานแสนสาหัสจากการผลัดกันรุกและรับ ในช่วงท้ายสงคราม มีหลายครั้งที่แนวหน้ารุกคืบได้ไม่กี่ร้อยเมตร ขณะที่มีทหารมากกว่า 3 ล้านนาย เสียชีวิตที่แนวรบนี้ (การรุกคืบที่ชะงักงัน ก็คือ ที่มาของชื่อเรื่องที่ว่า
"All Quiet on the Western Front" หรือ
"แนวรบด้านตะวันตก เหตุการณ์ไม่เปลี่ยนแปลง")
แนวรบตะวันตกยังขึ้นชื่อในเรื่องความเหนอะหนะและความสกปรกของโคลนในสนามเพลาะ ทำให้สภาพการรบเต็มไปด้วยความย่ำแย่ สร้างความทุกข์แก่ทหารแนวหน้าเป็นอย่างยิ่ง
ในแง่สภาพจิตใจ สงครามครั้งนี้ พรากชีวิตผู้คนไปถึง 17 ล้านคน ทั้งยังเอาความเป็นมนุษย์ออกไปจิตใจของเหล่าผู้ร่วมสงคราม ทหารหลายคนเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่ควรจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้
หนังบรรยายความโหดเหี้ยมในการพรากจิตวิญญาณของเด็กหนุ่มได้อย่างลึกซึ้ง พร้อมกับพาเราย้อนกลับไปให้เห็นอีกครั้งถึงนรกบนดินที่ทุกฝ่ายต่างพบเจอ
การแก้ทางสนามเพลาะโดยใช้เพลิงและรถถัง
- อารมณ์หนังมาในโหมดหนังต่อต้านสงครามล้วน ๆ หนังไม่ได้แสดงความโรแมนติก ความรักชาติ ความเสียสละใด ๆ ทุกสิ่งอันล้วนพูดถึงความต้องการที่อยากจะให้สงครามยุติ หลังจากที่ทหารแต่ละฝ่ายกรำศึกมานาน พร้อมกับความหวังที่จะได้กลับบ้านไปเจอครอบครัวที่ตนรัก
หนังจึงไม่ได้มีความมันส์ระทึกใจ ตรงกันข้าม ยิ่งดูยิ่งดิ่ง มีแต่ความหดหู่และความเสียใจ ขณะที่สงครามใกล้จะจบลง
- ชอบที่หนังเติมพาร์ทเหตุการณ์เจรจายุติสงครามเข้ามา แม้ว่าในนิยายจะไม่ได้มีพาร์ทนี้ แต่พอหนังเติมมาแล้ว ก็เสริมมิติให้เห็นมุมมองภาพรวมสงคราม และมุมมองทางการเมืองของผู้มีอำนาจแต่ละฝ่ายว่า เขาคิดกันอย่างไร ตัดสลับกับเหล่าทหารในแนวหน้าที่เป็นเสมือนหมากเบี้ยเล็ก ๆ ในสงคราม ซึ่งไม่หวังสิ่งใด นอกจากความต้องการที่อยากให้สงครามปิดฉากไปเสียที
กว่าจะถึงเวลา 11 นาฬิกาของวันที่ 11 พฤศจิกายน 1918... ว่าแล้วก็รู้สึกเสียดายไปกับความสูญเสียที่เกิดขึ้น ที่น่าเศร้า คือ หลายคนไม่มีโอกาสอยู่เพื่อรอฟังเวลาที่นาฬิกาดัง เวลาประกาศหยุดยิง เวลาที่แนวรบตะวันตกยุติลง
ภาพเหล่าทหารดีใจหลังทราบข่าวว่า มีการเจรจายุติสงคราม
- พาร์ทมิตรภาพถูกลดลงไปพอสมควร เมื่อเทียบกับในนิยาย แต่ยังเป็นส่วนประกอบสำคัญในการดำเนินเรื่อง ที่รู้สึกเสียดาย คงเป็นบางส่วนที่ไม่ได้ถูกใส่ไว้ อย่างความสัมพันธ์ระหว่างพอลกับครอบครัว จำได้ว่าตอนอ่านนิยาย ฉากที่พอลกลับไปเยี่ยมแม่ที่บ้าน สะเทือนใจจนน้ำตาไหลออกมาเลย
- หนังถูกเล่าจากฝั่งเยอรมัน โดยใช้ภาษาเยอรมัน สิ่งนี้ช่วยให้หนังสมจริงขึ้น แถมเป็นมุมมองที่ต่างจากเรื่องอื่น ๆ ซึ่งมักมองจากมุมสัมพันธมิตร นอกจากนี้ เรื่องราวที่เกิดขึ้น ยังดูเป็นสงครามภาคพื้นทวีปยุโรปขนานแท้ที่การรบใหญ่เกิดขึ้นระหว่างเยอรมันกับฝรั่งเศส ซึ่งไม่ได้เห็นกันบ่อย ๆ ที่จะมีหนังสงครามโฟกัสถึงความเดือดในสมรภูมินี้อย่างจริงจัง
พอล (Felix Kammerer) และ แคทซินสกี้ (Albrecht Schuch) เพื่อนซี้ของพอล
มุมภาพยนตร์
- หนังถ่ายทอดองค์ประกอบศิลป์ได้น่าสนใจ ไม่ว่าจะมุมกล้อง หรือการให้แสง สี (เช่น แสงพลุแฟร์กลางความมืด) ขณะเดียวกัน ก็มีซีนโหด ๆ ที่ดูสมจริง ไม่ว่าจะศพแขนขาขาดกระเด็น หลายซีนพร้อมบดขยี้หัวใจคนดูให้แหลก
- สำหรับสไตล์ภาพยนตร์ รู้สึกว่า
"หนังมีความเป็นยุโรปดี" เช่น จังหวะดนตรีประกอบโทนแปลก ๆ ผสมกับดนตรีคลาสสิค การดำเนินเรื่องแบบหน่วง ๆ พร้อมฟุตเทจพรรณนาอารมณ์ แม้จะไม่ได้ดูง่าย แต่จังหวะการพรรณนาทุกสิ่งอย่างทำได้ประณีต และงดงาม
- ในมุมนักแสดง ทุกคนแสดงได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่มีสิ่งใดต้องติ
ฉากสนามเพลาะถูกเซ็ตติ้งอย่างสมจริง
เปรียบเทียบกับหนัง WW1 ที่ออกมาในเวลาใกล้เคียงกัน
จริง ๆ สงครามโลกครั้งที่ 1 ก็แอบเหมือนสงครามที่ถูกลืมอยู่เหมือนกัน เพราะ หนังสงครามชื่อดังส่วนใหญ่ มักเล่นกับสงครามโลกครั้งที่ 2 ดังนั้นก็ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีที่มีหนัง WW1 ให้ดูบ้างด้วยบรรยากาศเรียล ๆ หลังจากที่สงครามโลกครั้งที่ 2 ถูกบอกเล่าไปผ่านภาพยนตร์ไปเยอะแล้ว
They Shall Not Grow Old (2018)
- เรื่องแรกที่นึกถึง คือ
They Shall Not Grow Old (2018) ภาพยนตร์สารคดีของ
Peter Jackson (มีฉายบน Netflix) ที่พูดถึงประเด็นเดียวกันในสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยเฉพาะการกล่าวถึง
"ช่วงเวลาที่หายไปของเหล่าทหารวัยฉกรรจ์" ตัวหนังนำฟุตเทจเก่าขาวดำมาใส่สี (Colorization) พร้อมเล่าเรื่องราวอย่างสนุกน่าติดตาม ไม่แพ้ดูภาพยนตร์ปกติ
- ส่วนอีกเรื่องหนึ่งที่มาในเวลาใกล้เคียงก็
1917 (2019) ของ
Sam Mendes แม้จะพูดถึงสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่ 1917 เน้นไปที่การผจญภัยของตัวบุคคล รวมถึงบรรยายความอลังการของสงครามผ่านเทคนิคภาพยนตร์ มุมกล้อง แสง สี เสียง ซึ่งทำออกมาได้ประณีต สวยงาม
ซีนวิ่งฝ่าแนวรบอันอลังการใน 1917
สรุป
สภาพของพอลที่แทบไม่เหลือความรู้สึกใด ๆ อีกต่อไป
All Quiet on the Western Front (2022) อาจไม่ใช่หนังดูง่าย แต่เป็นหนังดีอย่างไม่ต้องสงสัย หนังพาเราจมดิ่งไปกับการสำรวจความเจ็บปวด ความสูญเสียเหล่าทหารหนุ่มในสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่ยากเกินเยียวยา ในแง่เทคนิคการถ่ายทำ หนังถ่ายทอดบรรยากาศออกมาได้อย่างสวยงาม สมจริง ทั้งใน Location และในด้านมุมกล้อง แสง สี
ดังนั้นก็แนะนำเลยครับ รับชมได้ทาง Netflix... ส่วนใครที่สนใจนิยาย ก็แนะนำเช่นกันครับ เป็นนิยายที่ดีมากเลยทีเดียว !
ถ้อยความสรุปอันลึกซึ้งบนปกหลังของนิยาย
_________________________________
ป.ล. สำหรับคนจิตใจอ่อนไหว ไม่พร้อมเผชิญเรื่องเครียด ไม่ควรรับชม ในเรื่องมีฉากสะเทือนใจ เช่น ฉากการฆ่ากัน ศพทหาร (หนังถูกจัดอยู่ใน
Rated: 16+)
ป.ล.2 อีกหนึ่งช่องทางการติดต่อทาง Facebook เผื่อสนใจอยากพุดคุยหรือติดต่อกับผม
All Quiet on the Western Front (2022) - แนวรบด้านตะวันตก เหตุการณ์ไม่เปลี่ยนแปลง
เกริ่นนำ
เรื่องย่อ
ความรู้สึกหลังชม
รูปแบบสงครามที่เกิดขึ้นในแนวรบฝั่งตะวันตก อยู่ในลักษณะ สงครามสนามเพลาะ (Trench Warfare) แต่ละฝ่ายต่างทรมานแสนสาหัสจากการผลัดกันรุกและรับ ในช่วงท้ายสงคราม มีหลายครั้งที่แนวหน้ารุกคืบได้ไม่กี่ร้อยเมตร ขณะที่มีทหารมากกว่า 3 ล้านนาย เสียชีวิตที่แนวรบนี้ (การรุกคืบที่ชะงักงัน ก็คือ ที่มาของชื่อเรื่องที่ว่า "All Quiet on the Western Front" หรือ "แนวรบด้านตะวันตก เหตุการณ์ไม่เปลี่ยนแปลง")
แนวรบตะวันตกยังขึ้นชื่อในเรื่องความเหนอะหนะและความสกปรกของโคลนในสนามเพลาะ ทำให้สภาพการรบเต็มไปด้วยความย่ำแย่ สร้างความทุกข์แก่ทหารแนวหน้าเป็นอย่างยิ่ง
ในแง่สภาพจิตใจ สงครามครั้งนี้ พรากชีวิตผู้คนไปถึง 17 ล้านคน ทั้งยังเอาความเป็นมนุษย์ออกไปจิตใจของเหล่าผู้ร่วมสงคราม ทหารหลายคนเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่ควรจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้
หนังบรรยายความโหดเหี้ยมในการพรากจิตวิญญาณของเด็กหนุ่มได้อย่างลึกซึ้ง พร้อมกับพาเราย้อนกลับไปให้เห็นอีกครั้งถึงนรกบนดินที่ทุกฝ่ายต่างพบเจอ
หนังจึงไม่ได้มีความมันส์ระทึกใจ ตรงกันข้าม ยิ่งดูยิ่งดิ่ง มีแต่ความหดหู่และความเสียใจ ขณะที่สงครามใกล้จะจบลง
- ชอบที่หนังเติมพาร์ทเหตุการณ์เจรจายุติสงครามเข้ามา แม้ว่าในนิยายจะไม่ได้มีพาร์ทนี้ แต่พอหนังเติมมาแล้ว ก็เสริมมิติให้เห็นมุมมองภาพรวมสงคราม และมุมมองทางการเมืองของผู้มีอำนาจแต่ละฝ่ายว่า เขาคิดกันอย่างไร ตัดสลับกับเหล่าทหารในแนวหน้าที่เป็นเสมือนหมากเบี้ยเล็ก ๆ ในสงคราม ซึ่งไม่หวังสิ่งใด นอกจากความต้องการที่อยากให้สงครามปิดฉากไปเสียที
กว่าจะถึงเวลา 11 นาฬิกาของวันที่ 11 พฤศจิกายน 1918... ว่าแล้วก็รู้สึกเสียดายไปกับความสูญเสียที่เกิดขึ้น ที่น่าเศร้า คือ หลายคนไม่มีโอกาสอยู่เพื่อรอฟังเวลาที่นาฬิกาดัง เวลาประกาศหยุดยิง เวลาที่แนวรบตะวันตกยุติลง
- หนังถูกเล่าจากฝั่งเยอรมัน โดยใช้ภาษาเยอรมัน สิ่งนี้ช่วยให้หนังสมจริงขึ้น แถมเป็นมุมมองที่ต่างจากเรื่องอื่น ๆ ซึ่งมักมองจากมุมสัมพันธมิตร นอกจากนี้ เรื่องราวที่เกิดขึ้น ยังดูเป็นสงครามภาคพื้นทวีปยุโรปขนานแท้ที่การรบใหญ่เกิดขึ้นระหว่างเยอรมันกับฝรั่งเศส ซึ่งไม่ได้เห็นกันบ่อย ๆ ที่จะมีหนังสงครามโฟกัสถึงความเดือดในสมรภูมินี้อย่างจริงจัง
- สำหรับสไตล์ภาพยนตร์ รู้สึกว่า "หนังมีความเป็นยุโรปดี" เช่น จังหวะดนตรีประกอบโทนแปลก ๆ ผสมกับดนตรีคลาสสิค การดำเนินเรื่องแบบหน่วง ๆ พร้อมฟุตเทจพรรณนาอารมณ์ แม้จะไม่ได้ดูง่าย แต่จังหวะการพรรณนาทุกสิ่งอย่างทำได้ประณีต และงดงาม
- ในมุมนักแสดง ทุกคนแสดงได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่มีสิ่งใดต้องติ
ดังนั้นก็แนะนำเลยครับ รับชมได้ทาง Netflix... ส่วนใครที่สนใจนิยาย ก็แนะนำเช่นกันครับ เป็นนิยายที่ดีมากเลยทีเดียว !
ป.ล.2 อีกหนึ่งช่องทางการติดต่อทาง Facebook เผื่อสนใจอยากพุดคุยหรือติดต่อกับผม