สภา จ่อโหวตทำประชามติแก้ไข รธน.ทั้งฉบับ พร้อมเลือกตั้ง 3 พ.ย.
https://www.matichon.co.th/politics/news_3635506
สภา จ่อโหวตทำประชามติแก้ไข รธน.ทั้งฉบับ พร้อมเลือกตั้ง 3 พ.ย. พรุ่งนี้ ‘ฝ่ายค้าน’ นัดถกเสนอญัตติด่วนด้วยวาจา ถก รบ.แก้ปัญหายาเสพติด-น้ำท่วม
เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม นาย
ณัฐวุฒิ บัวประทุม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ให้สัมภาษณ์ถึงความพร้อมในการเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ว่า สิ่งที่พรรคฝ่ายค้านจะเดินหน้าต่อมีประเด็นสำคัญคือ ในวันที่ 2 พฤศจิกายน จะเป็นการพิจารณาเรื่องกฎหมายซึ่งรวมไปถึงกฎหมายที่พรรคร่วมฝ่ายค้านร่วมกันผลักดันได้แก่ การแก้ไขพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สรรพสามิต หรือ พ.ร.บ.สุราก้าวหน้า โดยทางพรรคฝ่ายค้านมีความเห็นเป็นเอกภาพว่าจะเห็นชอบในวาระที่ 2 และ 3
นาย
ณัฐวุฒิกล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นกฎหมายที่เสนอโดย ส.ส. โดยเฉพาะอย่างยิ่งในนามของพรรค ก.ก. เรายังประเมินเสียงอยู่ว่าจะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลหรือไม่ ซึ่งเราคิดว่ามีความเป็นไปได้ที่พรรครัฐบาลจะเสียงแตกแล้วหันมาสนับสนุนร่างกฎหมายฉบับดังกล่าว เนื่องจากเป็นกฎหมายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน
นาย
ณัฐวุฒิกล่าวด้วยว่า ส่วนในวันที่ 3 พฤศจิกายน จะมีประเด็นที่สำคัญคือ การลงมติญัตติที่พรรคร่วมฝ่ายค้านในนามของพรรค ก.ก. และพรรคเพื่อไทย (พท.) ได้เสนอด่วนด้วยวาจาขอให้รัฐบาลทำประชามติ เพื่อถามประชาชนในการเลือกตั้งครั้งหน้า ว่าเห็นด้วยหรือไม่ที่จะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ หลังจากการอภิปรายเสร็จสิ้น ซึ่งหากที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเห็นด้วยก็จะส่งญัตินี้ไปที่ ส.ว. หาก ส.ว.เห็นด้วยก็จะมีการเสนอไปที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งเราเชื่อมั่นว่าเมื่อถึงวันนั้น ครม.ก็น่าจะเห็นชอบในการทำประชามติไปพร้อมกับการเลือกตั้งในครั้งหน้า
“โดยในวันพรุ่งนี้ (25 ตุลาคม) ทางพรรคร่วมฝ่ายค้านก็จะมีการประชุม ว่าจะมีการเสนอญัตติด่วนด้วยวาจาในประเด็นเรื่องยาเสพติด ที่เกี่ยวเนื่องมาจากโศกนาฏกรรม จ.หนองบัวลำภู และประเด็นเรื่องอุทกภัย ที่ประสบปัญหาในหลายพื้นที่เช่น ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมไปถึงภาคกลาง ว่ารัฐบาลได้ดำเนินการผิดพลาดอย่างไร ถึงเกิดปัญหาได้ขนาดนี้ และจะมีแนวทางการแก้ไขอย่างไร โดยเฉพาะฝนที่จะเริ่มตกมากขึ้นในภาคใต้” นาย
ณัฐวุฒิกล่าว
เมื่อถามว่า สถานการณ์ในการเปิดสมัยประชุมเป็นอย่างไร นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ทางพรรคร่วมฝ่ายค้านก็จะเปิดเกมรุกในเรื่องที่สำคัญ และเมื่อถึงจังหวะที่เหมาะสมเราก็จะมีการเสนอเพื่อขอเปิดอภิปรายทั่วไปแบบไม่ไว้วางใจตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 อีกครั้ง แต่ขณะนี้ยังอยู่ในช่วงการพูดคุยกันเชิงรายละเอียดว่าจะครอบคลุมประเด็นไหนบ้าง
‘วิสุทธิ์’ เย้ย พปชร.เป็นได้แค่พรรคเฉพาะกิจ เชื่อมวลชนไม่อยากให้ พท.จับมือพรรคทหาร
https://www.matichon.co.th/politics/news_3635803
‘วิสุทธิ์’ เย้ย พปชร.เป็นได้แค่พรรคเฉพาะกิจ เชื่อมวลชนไม่อยากให้ พท.จับมือพรรคทหาร
เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม นาย
วิสุทธิ์ ไชยณรุณ ส.ส.พะเยา พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณี นพ.
ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน หัวหน้าพรรค พท. แสดงท่าทีไม่ปิดกั้นการจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) หากมีจุดยืนไม่สนับสนุน พล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมว่า
ขอให้ดูผลการเลือกตั้งสมัยหน้าก่อนว่าเป็นอย่างไร ถ้าจำเป็นจริงๆ ค่อยมาว่ากันอีกครั้ง แต่เชื่อมั่นว่าเสียงจากฝ่ายประชาธิปไตยยังเพียงพอ สามารถรวมกันจัดตั้งรัฐบาลได้ และไม่รู้ว่าการเลือกตั้งสมัยหน้าพรรค พปชร.จะยังอยู่หรือไม่ เพราะธรรมชาติของพรรคที่มีที่มาจากทหาร รวบรวมเอา ส.ส.จากกลุ่มต่างๆ มาไว้ที่เดียวกัน มักเป็นได้แค่พรรคเฉพาะกิจ สมัยเดียว ต้องดูประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยหรือไม่ หรืออาจกลายเป็นพรรคขนาดเล็ก จะมี ส.ส.มากพอมารวมกับพรรค พท.ได้หรือไม่ เพราะดูแล้วชื่อ พล.อ.
ประยุทธ์ ขายไม่ได้ กลับมายากแล้ว
“อยู่มา 8 ปี มีคนมาลงทะเบียนบัตรคนจน 20 ล้านคน ถ้ายังอยู่คงมีคนจนเพิ่มขึ้นอีกมากมาย หากพรรคพลังประชารัฐจะใช้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ มารับช่วงต่อจาก พล.อ.ประยุทธ์นั้น ก็คงได้รับการยอมรับยาก เพราะทั้งคู่มาด้วยกัน แต่เชื่อว่าฟังเสียงประชาชนคงไม่อยากให้พรรคเพื่อไทยไปรวมกับพรรคทหาร แต่ถ้าจำเป็นจริงๆ ถึงเวลาค่อยมาว่ากัน” นาย
วิสุทธิ์กล่าว
พิษศก.โลกถดถอยสะเทือนไทย ส่งออกกลุ่มยานยนต์-ชิ้นส่วนโดนก่อน
https://www.dailynews.co.th/news/1611045/
พิษเศรษฐกิจโลกถดถอย สะเทือนไทย ส่งออกกลุ่มยานยนต์-ชิ้นส่วนคอมพ์ โดนก่อน พร้อมเปิด 6 ด้านรับความท้าทายปี 66
นาย
อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย และที่ปรึกษาการลงทุน ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า เศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอยในปี 2566 โดยเฉพาะสหรัฐและยุโรป หลังธนาคารกลางเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยแรงต่อเนื่องเพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อพุ่งสูง แต่อัตราเงินเฟ้อยังไม่มีท่าทีชะลอลง แม้เงินเฟ้อใกล้จุดสูงสุดหรือได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว แต่หากเงินเฟ้อยังสูงเทียบเดือนต่อเดือนต่อเนื่อง ราคาสินค้าและบริการมีแนวโน้มขยับต่อ
ทั้งนี้การขึ้นอัตราดอกเบี้ยแรงปีนี้ยังไม่มีท่าทีคุมเงินเฟ้อได้ ราคาน้ำมันมีโอกาสปรับขึ้นอีกรอบหลังโอเปกพลัสลดกำลังการผลิตน้ำมันลง 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน จนมีนักเศรษฐศาสตร์มองว่า จำเป็นต้องลดอุปสงค์ในประเทศ หรือขึ้นอัตราดอกเบี้ยแรงต่อเนื่องเพื่อลดการบริโภคและการลงทุน แม้เศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะถดถอย หรือใช้ recession แก้ปัญหา inflation เพราะเมื่อเศรษฐกิจถดถอย คนว่างงานเพิ่มขึ้น การใช้จ่ายและการลงทุนจะชะลอ ราคาสินค้าก็ชะลอตามหรือปรับลดลงได้
“ส่วนตัวผมไม่แน่ใจ ว่าต่อให้เศรษฐกิจประเทศสำคัญถดถอย จากการเร่งขึ้นดอกเบี้ย คนใช้จ่ายและลงทุนลดลง คนอเมริกันว่างงานเพิ่มขึ้นอีกหลายล้านคน ราคาสินค้าและบริการจะลดลงได้จริงหรือ ในทางตรงข้าม เงินเฟ้ออาจจะยังเกินกรอบเป้าหมาย 2% ไปอีกนานเป็น new normal ต้องกลับมาแก้ปัญหาเงินเฟ้อปีหน้าด้วยการปล่อยให้เงินเฟ้อสูงปีนี้ เพื่อหวังให้ฐานที่สูงปีนี้ดึงให้เงินเฟ้อเทียบปีต่อปีลดลง เรียกว่าใช้ inflation แก้ปัญหา inflation ซึ่งไม่ได้แก้ปัญหาอะไรได้นอกจากแก้ทางเทคนิคเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ ผมมองว่าธนาคารกลางจะยังคงขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องในปีหน้า ไม่น่าเห็นการปรับมุมมองมาลดดอกเบี้ย หรือ policy pivot อย่างที่นักลงทุนหวังกัน เพราะเงินเฟ้อปีหน้ายังสูงกว่ากรอบนโยบายการเงินที่ 2% แม้จะต้องโดนวิจารณ์จากฝั่งการเมืองที่ได้แรงกดดันจากคนที่ว่างงานและการบริโภคและการลงทุนที่หดตัวก็ตาม แต่ธนาคารกลางทั้งหลายยังไม่น่ายอมถอยจากการขึ้นดอกเบี้ย หรือคงดอกเบี้ยในระดับสูงลากยาว จนกว่าเงินเฟ้อจะยอมลดลงจริงๆ เสียที ซึ่งน่าจะเห็นได้ในปี 2567 หลังฐานที่ยังสูงในปี 2566 ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อกลับเข้ากรอบได้ในปีถัดไป”
สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบีไทย คาดว่า เศรษฐกิจไทยจะขยายตัว 3.2% ปีนี้ และ 3.4% ปีหน้า โดยปรับจากแบบจำลองของ Oxford Economics เดือนตุลาคมที่คาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 1.7% ปีนี้ และ -0.5% ในปีหน้า และเศรษฐกิจสหภาพยุโรป หรือ EU ขยายตัว 3.1% ปีนี้ และ -0.04% ในปีหน้า แม้สหรัฐและ EU เสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอยปีหน้า แต่ไม่ได้รุนแรงจนนำไปสู่การถดถอยของเศรษฐกิจโลก เพียงแต่โตช้าลง โดยคาดว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวได้ 2.9% ปีนี้และ 1.5% ปีหน้า โดยปีหน้า เศรษฐกิจจีนและญี่ปุ่นยังขยายตัวได้ และน่าประคองเศรษฐกิจประเทศอื่นๆ ไม่ให้ชะลอลงแรงได้บ้าง
อย่างไรก็ดี การที่เศรษฐกิจสหรัฐและยุโรปเข้าสู่ภาวะถดถอยเล็กน้อย ก็มีผลให้เศรษฐกิจไทยเผชิญความท้าทายในปีหน้าในด้านต่างๆ ดังนี้
1.
การส่งออกติดลบ – กำลังซื้อสินค้าอุตสาหกรรมไทยจากสหรัฐและยุโรปมีแนวโน้มชะลอลง โดยเฉพาะกลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วนและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ นอกจากอุปสงค์ชะลอ ยังได้รับผลกระทบจากปัญหาขาดแคลนชิ้นส่วนต่อเนื่องจากปีนี้ ส่วนการส่งออกไปจีนและอาเซียนยังไม่ค่อยดี เพราะการส่งออกของจีนหดตัวตามการถดถอยของเศรษฐกิจประเทศสำคัญ การนำเข้าสินค้าจากไทยและอาเซียนจะลดลงเช่นกัน อย่างไรก็ดี การส่งออกสินค้ากลุ่มอาหารแปรรูป สินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรน่าจะขยายตัวได้ต่อเนื่องจากปีนี้
2.
กำลังซื้อระดับล่าง SMEs ต่างจังหวัด ภาคเกษตรอ่อนแอ – ไทยยังเผชิญปัญหาเงินเฟ้อที่ฉุดกำลังซื้อของครัวเรือนรายได้น้อยลากยาวถึงปีหน้า กลุ่มธุรกิจขนาดเล็กในต่างจังหวัดที่ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวและพึ่งพิงภาคเกษตรยังอ่อนแอ แม้การส่งออกสินค้าเกษตรจะเติบโตได้ดี แต่เกษตรกรมีรายได้หักค่าใช้จ่ายลดลง เพราะต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็วและโตเร็วกว่าราคาสินค้าเกษตร ประกอบกับปัญหาน้ำท่วมในหลายพื้นที่ ยังกดดันกำลังซื้อต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีหนี้สูง
3.
ดอกเบี้ยขึ้นต่อเนื่อง – ปัญหาเงินเฟ้อสูงมีแนวโน้มลากยาวไปปีหน้า แม้เงินเฟ้อไทยเดือนกันยายนอยู่ที่ 6.41%yoy (+0.22%mom) ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ 7.86%yoy (+0.05%mom) แต่จะเริ่มเห็นการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าแบบเดือนต่อเดือนต่อเนื่อง หลังมีหลากหลายสินค้าทยอยปรับราคาขึ้นหลังเปิดเมือง แม้ราคาน้ำมันจะปรับลดลง แต่ค่าไฟฟ้า ค่าเช่าบ้าน และราคาอาหารสดปรับสูงขึ้น มองต่อไป เมื่อเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวในช่วงที่เงินเฟ้อเกินกรอบเป้าหมายของธปท. ที่ระดับ 1-3% ทางธปท. น่าจะทยอยปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นไปจนถึงระดับ 2.00% เป็นอย่างน้อยภายในช่วงกลางปีหน้า ขณะที่สหรัฐน่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปแตะระดับ 5.00% เป็นอย่างน้อยช่วงกลางปีหน้าเช่นกัน
4.
บาทอ่อนค่าถึงกลางปี ลุ้นพลิกมาแข็งค่าครึ่งปีหลัง – ส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยสหรัฐที่สูงกว่าไทยมาก น่าจะส่งผลให้เงินทุนเคลื่อนย้ายกลับไปถือสินทรัพย์รูปดอลลาร์สหรัฐ สนับสนุนให้บาทอ่อนค่าต่อเนื่องไปถึงกลางปีหน้า ไทยแม้จะมีรายได้จากการท่องเที่ยว แต่ไม่น่าเพียงพอให้เกินดุลบัญชีเดินสะพัดช่วงครึ่งปีแรกจากการส่งออกที่หดตัวต่างจากการนำเข้าที่มีมาก ทำให้ดุลการค้าขาดดุลสูง
ช่วงครึ่งปีหลัง จะเห็นดุลบัญชีเดินสะพัดพลิกกลับมาเกินดุลจากรายได้การท่องเที่ยว และจากการคาดหวังว่าเฟดจะเริ่มส่งสัญญาณลดอัตราดอกเบี้ยในปี 2567 สนับสนุนให้นักลงทุนกลับเข้ามาลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงได้อีกครั้งและมีโอกาสให้บาทพลิกกลับมาแข็งค่าเทียบดอลลาร์สหรัฐ
5.
ท่องเที่ยวระดับบนฟื้นต่อเนื่อง – แม้เศรษฐกิจโลกจะชะลอ โดยเฉพาะสหรัฐและยุโรป อีกทั้งจีนยังไม่น่ารีบเปิดเมืองหลังตอกย้ำมาตรการโควิดเป็นศูนย์ แต่จากการที่คนทั่วไปเว้นว่างจากการท่องเที่ยวเป็นเวลานาน เมื่อเปิดให้มีการเดินทางได้เสรีมากขึ้น โดยเฉพาะในฝั่งเอเชีย อาจเห็นการเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวต่อเนื่อง คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะมากถึง 20 ล้านคนในปีหน้า เพิ่มขึ้นเท่าตัวจากที่คาดไว้ที่ 10 ล้านคนปีนี้
อย่างไรก็ดี การใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่อคนอาจไม่มากเท่าช่วงก่อนโควิด และกระจุกตัวในกลุ่มโรงแรมระดับ 4 ดาวขึ้นไป ในเมืองท่องเที่ยวสำคัญ โดยกลุ่มที่ได้ประโยชน์อื่น เช่น ร้านอาหาร ขนส่ง ธุรกิจเช่ารถยนต์ ธุรกิจนำเที่ยว และร้านค้าปลีกทั่วไป แต่เมื่อยังขาดกลุ่มทัวร์ โดยเฉพาะจากจีน จะยังไม่เห็นการกระจายตัวของการใช้จ่ายมายังโรงแรมระดับต่ำลงมาและกลุ่มค้าขายทั่วไปมากนักในปีหน้า
JJNY : 5in1 จ่อโหวตทำประชามติพร้อมเลือกตั้ง│วิสุทธิ์เย้ยพปชร.│พิษศก.โลกสะเทือนไทย│เตรียมถกกม.กัญชา│สองเกาหลียิงเตือนแลก
https://www.matichon.co.th/politics/news_3635506
สภา จ่อโหวตทำประชามติแก้ไข รธน.ทั้งฉบับ พร้อมเลือกตั้ง 3 พ.ย. พรุ่งนี้ ‘ฝ่ายค้าน’ นัดถกเสนอญัตติด่วนด้วยวาจา ถก รบ.แก้ปัญหายาเสพติด-น้ำท่วม
เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม นายณัฐวุฒิ บัวประทุม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ให้สัมภาษณ์ถึงความพร้อมในการเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ว่า สิ่งที่พรรคฝ่ายค้านจะเดินหน้าต่อมีประเด็นสำคัญคือ ในวันที่ 2 พฤศจิกายน จะเป็นการพิจารณาเรื่องกฎหมายซึ่งรวมไปถึงกฎหมายที่พรรคร่วมฝ่ายค้านร่วมกันผลักดันได้แก่ การแก้ไขพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สรรพสามิต หรือ พ.ร.บ.สุราก้าวหน้า โดยทางพรรคฝ่ายค้านมีความเห็นเป็นเอกภาพว่าจะเห็นชอบในวาระที่ 2 และ 3
นายณัฐวุฒิกล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นกฎหมายที่เสนอโดย ส.ส. โดยเฉพาะอย่างยิ่งในนามของพรรค ก.ก. เรายังประเมินเสียงอยู่ว่าจะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลหรือไม่ ซึ่งเราคิดว่ามีความเป็นไปได้ที่พรรครัฐบาลจะเสียงแตกแล้วหันมาสนับสนุนร่างกฎหมายฉบับดังกล่าว เนื่องจากเป็นกฎหมายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน
นายณัฐวุฒิกล่าวด้วยว่า ส่วนในวันที่ 3 พฤศจิกายน จะมีประเด็นที่สำคัญคือ การลงมติญัตติที่พรรคร่วมฝ่ายค้านในนามของพรรค ก.ก. และพรรคเพื่อไทย (พท.) ได้เสนอด่วนด้วยวาจาขอให้รัฐบาลทำประชามติ เพื่อถามประชาชนในการเลือกตั้งครั้งหน้า ว่าเห็นด้วยหรือไม่ที่จะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ หลังจากการอภิปรายเสร็จสิ้น ซึ่งหากที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเห็นด้วยก็จะส่งญัตินี้ไปที่ ส.ว. หาก ส.ว.เห็นด้วยก็จะมีการเสนอไปที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งเราเชื่อมั่นว่าเมื่อถึงวันนั้น ครม.ก็น่าจะเห็นชอบในการทำประชามติไปพร้อมกับการเลือกตั้งในครั้งหน้า
“โดยในวันพรุ่งนี้ (25 ตุลาคม) ทางพรรคร่วมฝ่ายค้านก็จะมีการประชุม ว่าจะมีการเสนอญัตติด่วนด้วยวาจาในประเด็นเรื่องยาเสพติด ที่เกี่ยวเนื่องมาจากโศกนาฏกรรม จ.หนองบัวลำภู และประเด็นเรื่องอุทกภัย ที่ประสบปัญหาในหลายพื้นที่เช่น ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมไปถึงภาคกลาง ว่ารัฐบาลได้ดำเนินการผิดพลาดอย่างไร ถึงเกิดปัญหาได้ขนาดนี้ และจะมีแนวทางการแก้ไขอย่างไร โดยเฉพาะฝนที่จะเริ่มตกมากขึ้นในภาคใต้” นายณัฐวุฒิกล่าว
เมื่อถามว่า สถานการณ์ในการเปิดสมัยประชุมเป็นอย่างไร นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ทางพรรคร่วมฝ่ายค้านก็จะเปิดเกมรุกในเรื่องที่สำคัญ และเมื่อถึงจังหวะที่เหมาะสมเราก็จะมีการเสนอเพื่อขอเปิดอภิปรายทั่วไปแบบไม่ไว้วางใจตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 อีกครั้ง แต่ขณะนี้ยังอยู่ในช่วงการพูดคุยกันเชิงรายละเอียดว่าจะครอบคลุมประเด็นไหนบ้าง
‘วิสุทธิ์’ เย้ย พปชร.เป็นได้แค่พรรคเฉพาะกิจ เชื่อมวลชนไม่อยากให้ พท.จับมือพรรคทหาร
https://www.matichon.co.th/politics/news_3635803
‘วิสุทธิ์’ เย้ย พปชร.เป็นได้แค่พรรคเฉพาะกิจ เชื่อมวลชนไม่อยากให้ พท.จับมือพรรคทหาร
เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ส.ส.พะเยา พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณี นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน หัวหน้าพรรค พท. แสดงท่าทีไม่ปิดกั้นการจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) หากมีจุดยืนไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมว่า
ขอให้ดูผลการเลือกตั้งสมัยหน้าก่อนว่าเป็นอย่างไร ถ้าจำเป็นจริงๆ ค่อยมาว่ากันอีกครั้ง แต่เชื่อมั่นว่าเสียงจากฝ่ายประชาธิปไตยยังเพียงพอ สามารถรวมกันจัดตั้งรัฐบาลได้ และไม่รู้ว่าการเลือกตั้งสมัยหน้าพรรค พปชร.จะยังอยู่หรือไม่ เพราะธรรมชาติของพรรคที่มีที่มาจากทหาร รวบรวมเอา ส.ส.จากกลุ่มต่างๆ มาไว้ที่เดียวกัน มักเป็นได้แค่พรรคเฉพาะกิจ สมัยเดียว ต้องดูประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยหรือไม่ หรืออาจกลายเป็นพรรคขนาดเล็ก จะมี ส.ส.มากพอมารวมกับพรรค พท.ได้หรือไม่ เพราะดูแล้วชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ขายไม่ได้ กลับมายากแล้ว
“อยู่มา 8 ปี มีคนมาลงทะเบียนบัตรคนจน 20 ล้านคน ถ้ายังอยู่คงมีคนจนเพิ่มขึ้นอีกมากมาย หากพรรคพลังประชารัฐจะใช้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ มารับช่วงต่อจาก พล.อ.ประยุทธ์นั้น ก็คงได้รับการยอมรับยาก เพราะทั้งคู่มาด้วยกัน แต่เชื่อว่าฟังเสียงประชาชนคงไม่อยากให้พรรคเพื่อไทยไปรวมกับพรรคทหาร แต่ถ้าจำเป็นจริงๆ ถึงเวลาค่อยมาว่ากัน” นายวิสุทธิ์กล่าว
พิษศก.โลกถดถอยสะเทือนไทย ส่งออกกลุ่มยานยนต์-ชิ้นส่วนโดนก่อน
https://www.dailynews.co.th/news/1611045/
พิษเศรษฐกิจโลกถดถอย สะเทือนไทย ส่งออกกลุ่มยานยนต์-ชิ้นส่วนคอมพ์ โดนก่อน พร้อมเปิด 6 ด้านรับความท้าทายปี 66
นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย และที่ปรึกษาการลงทุน ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า เศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอยในปี 2566 โดยเฉพาะสหรัฐและยุโรป หลังธนาคารกลางเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยแรงต่อเนื่องเพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อพุ่งสูง แต่อัตราเงินเฟ้อยังไม่มีท่าทีชะลอลง แม้เงินเฟ้อใกล้จุดสูงสุดหรือได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว แต่หากเงินเฟ้อยังสูงเทียบเดือนต่อเดือนต่อเนื่อง ราคาสินค้าและบริการมีแนวโน้มขยับต่อ
ทั้งนี้การขึ้นอัตราดอกเบี้ยแรงปีนี้ยังไม่มีท่าทีคุมเงินเฟ้อได้ ราคาน้ำมันมีโอกาสปรับขึ้นอีกรอบหลังโอเปกพลัสลดกำลังการผลิตน้ำมันลง 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน จนมีนักเศรษฐศาสตร์มองว่า จำเป็นต้องลดอุปสงค์ในประเทศ หรือขึ้นอัตราดอกเบี้ยแรงต่อเนื่องเพื่อลดการบริโภคและการลงทุน แม้เศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะถดถอย หรือใช้ recession แก้ปัญหา inflation เพราะเมื่อเศรษฐกิจถดถอย คนว่างงานเพิ่มขึ้น การใช้จ่ายและการลงทุนจะชะลอ ราคาสินค้าก็ชะลอตามหรือปรับลดลงได้
“ส่วนตัวผมไม่แน่ใจ ว่าต่อให้เศรษฐกิจประเทศสำคัญถดถอย จากการเร่งขึ้นดอกเบี้ย คนใช้จ่ายและลงทุนลดลง คนอเมริกันว่างงานเพิ่มขึ้นอีกหลายล้านคน ราคาสินค้าและบริการจะลดลงได้จริงหรือ ในทางตรงข้าม เงินเฟ้ออาจจะยังเกินกรอบเป้าหมาย 2% ไปอีกนานเป็น new normal ต้องกลับมาแก้ปัญหาเงินเฟ้อปีหน้าด้วยการปล่อยให้เงินเฟ้อสูงปีนี้ เพื่อหวังให้ฐานที่สูงปีนี้ดึงให้เงินเฟ้อเทียบปีต่อปีลดลง เรียกว่าใช้ inflation แก้ปัญหา inflation ซึ่งไม่ได้แก้ปัญหาอะไรได้นอกจากแก้ทางเทคนิคเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ ผมมองว่าธนาคารกลางจะยังคงขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องในปีหน้า ไม่น่าเห็นการปรับมุมมองมาลดดอกเบี้ย หรือ policy pivot อย่างที่นักลงทุนหวังกัน เพราะเงินเฟ้อปีหน้ายังสูงกว่ากรอบนโยบายการเงินที่ 2% แม้จะต้องโดนวิจารณ์จากฝั่งการเมืองที่ได้แรงกดดันจากคนที่ว่างงานและการบริโภคและการลงทุนที่หดตัวก็ตาม แต่ธนาคารกลางทั้งหลายยังไม่น่ายอมถอยจากการขึ้นดอกเบี้ย หรือคงดอกเบี้ยในระดับสูงลากยาว จนกว่าเงินเฟ้อจะยอมลดลงจริงๆ เสียที ซึ่งน่าจะเห็นได้ในปี 2567 หลังฐานที่ยังสูงในปี 2566 ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อกลับเข้ากรอบได้ในปีถัดไป”
สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบีไทย คาดว่า เศรษฐกิจไทยจะขยายตัว 3.2% ปีนี้ และ 3.4% ปีหน้า โดยปรับจากแบบจำลองของ Oxford Economics เดือนตุลาคมที่คาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 1.7% ปีนี้ และ -0.5% ในปีหน้า และเศรษฐกิจสหภาพยุโรป หรือ EU ขยายตัว 3.1% ปีนี้ และ -0.04% ในปีหน้า แม้สหรัฐและ EU เสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอยปีหน้า แต่ไม่ได้รุนแรงจนนำไปสู่การถดถอยของเศรษฐกิจโลก เพียงแต่โตช้าลง โดยคาดว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวได้ 2.9% ปีนี้และ 1.5% ปีหน้า โดยปีหน้า เศรษฐกิจจีนและญี่ปุ่นยังขยายตัวได้ และน่าประคองเศรษฐกิจประเทศอื่นๆ ไม่ให้ชะลอลงแรงได้บ้าง
อย่างไรก็ดี การที่เศรษฐกิจสหรัฐและยุโรปเข้าสู่ภาวะถดถอยเล็กน้อย ก็มีผลให้เศรษฐกิจไทยเผชิญความท้าทายในปีหน้าในด้านต่างๆ ดังนี้
1. การส่งออกติดลบ – กำลังซื้อสินค้าอุตสาหกรรมไทยจากสหรัฐและยุโรปมีแนวโน้มชะลอลง โดยเฉพาะกลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วนและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ นอกจากอุปสงค์ชะลอ ยังได้รับผลกระทบจากปัญหาขาดแคลนชิ้นส่วนต่อเนื่องจากปีนี้ ส่วนการส่งออกไปจีนและอาเซียนยังไม่ค่อยดี เพราะการส่งออกของจีนหดตัวตามการถดถอยของเศรษฐกิจประเทศสำคัญ การนำเข้าสินค้าจากไทยและอาเซียนจะลดลงเช่นกัน อย่างไรก็ดี การส่งออกสินค้ากลุ่มอาหารแปรรูป สินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรน่าจะขยายตัวได้ต่อเนื่องจากปีนี้
2. กำลังซื้อระดับล่าง SMEs ต่างจังหวัด ภาคเกษตรอ่อนแอ – ไทยยังเผชิญปัญหาเงินเฟ้อที่ฉุดกำลังซื้อของครัวเรือนรายได้น้อยลากยาวถึงปีหน้า กลุ่มธุรกิจขนาดเล็กในต่างจังหวัดที่ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวและพึ่งพิงภาคเกษตรยังอ่อนแอ แม้การส่งออกสินค้าเกษตรจะเติบโตได้ดี แต่เกษตรกรมีรายได้หักค่าใช้จ่ายลดลง เพราะต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็วและโตเร็วกว่าราคาสินค้าเกษตร ประกอบกับปัญหาน้ำท่วมในหลายพื้นที่ ยังกดดันกำลังซื้อต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีหนี้สูง
3. ดอกเบี้ยขึ้นต่อเนื่อง – ปัญหาเงินเฟ้อสูงมีแนวโน้มลากยาวไปปีหน้า แม้เงินเฟ้อไทยเดือนกันยายนอยู่ที่ 6.41%yoy (+0.22%mom) ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ 7.86%yoy (+0.05%mom) แต่จะเริ่มเห็นการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าแบบเดือนต่อเดือนต่อเนื่อง หลังมีหลากหลายสินค้าทยอยปรับราคาขึ้นหลังเปิดเมือง แม้ราคาน้ำมันจะปรับลดลง แต่ค่าไฟฟ้า ค่าเช่าบ้าน และราคาอาหารสดปรับสูงขึ้น มองต่อไป เมื่อเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวในช่วงที่เงินเฟ้อเกินกรอบเป้าหมายของธปท. ที่ระดับ 1-3% ทางธปท. น่าจะทยอยปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นไปจนถึงระดับ 2.00% เป็นอย่างน้อยภายในช่วงกลางปีหน้า ขณะที่สหรัฐน่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปแตะระดับ 5.00% เป็นอย่างน้อยช่วงกลางปีหน้าเช่นกัน
4. บาทอ่อนค่าถึงกลางปี ลุ้นพลิกมาแข็งค่าครึ่งปีหลัง – ส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยสหรัฐที่สูงกว่าไทยมาก น่าจะส่งผลให้เงินทุนเคลื่อนย้ายกลับไปถือสินทรัพย์รูปดอลลาร์สหรัฐ สนับสนุนให้บาทอ่อนค่าต่อเนื่องไปถึงกลางปีหน้า ไทยแม้จะมีรายได้จากการท่องเที่ยว แต่ไม่น่าเพียงพอให้เกินดุลบัญชีเดินสะพัดช่วงครึ่งปีแรกจากการส่งออกที่หดตัวต่างจากการนำเข้าที่มีมาก ทำให้ดุลการค้าขาดดุลสูง
ช่วงครึ่งปีหลัง จะเห็นดุลบัญชีเดินสะพัดพลิกกลับมาเกินดุลจากรายได้การท่องเที่ยว และจากการคาดหวังว่าเฟดจะเริ่มส่งสัญญาณลดอัตราดอกเบี้ยในปี 2567 สนับสนุนให้นักลงทุนกลับเข้ามาลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงได้อีกครั้งและมีโอกาสให้บาทพลิกกลับมาแข็งค่าเทียบดอลลาร์สหรัฐ
5. ท่องเที่ยวระดับบนฟื้นต่อเนื่อง – แม้เศรษฐกิจโลกจะชะลอ โดยเฉพาะสหรัฐและยุโรป อีกทั้งจีนยังไม่น่ารีบเปิดเมืองหลังตอกย้ำมาตรการโควิดเป็นศูนย์ แต่จากการที่คนทั่วไปเว้นว่างจากการท่องเที่ยวเป็นเวลานาน เมื่อเปิดให้มีการเดินทางได้เสรีมากขึ้น โดยเฉพาะในฝั่งเอเชีย อาจเห็นการเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวต่อเนื่อง คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะมากถึง 20 ล้านคนในปีหน้า เพิ่มขึ้นเท่าตัวจากที่คาดไว้ที่ 10 ล้านคนปีนี้
อย่างไรก็ดี การใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่อคนอาจไม่มากเท่าช่วงก่อนโควิด และกระจุกตัวในกลุ่มโรงแรมระดับ 4 ดาวขึ้นไป ในเมืองท่องเที่ยวสำคัญ โดยกลุ่มที่ได้ประโยชน์อื่น เช่น ร้านอาหาร ขนส่ง ธุรกิจเช่ารถยนต์ ธุรกิจนำเที่ยว และร้านค้าปลีกทั่วไป แต่เมื่อยังขาดกลุ่มทัวร์ โดยเฉพาะจากจีน จะยังไม่เห็นการกระจายตัวของการใช้จ่ายมายังโรงแรมระดับต่ำลงมาและกลุ่มค้าขายทั่วไปมากนักในปีหน้า