ยื้อกันมานานสำหรับการควบรวมธุรกิจ true-dtac มาวันนี้ก็สามารถทำได้สำเร็จ ได้ควบรวมดั่งใจหมาย มันก็สมควรจะควบรวมนั่นแหละ เพราะนโยบายจากภาครัฐในการลงทุนการสื่อสารที่ผ่านมาหลายปีไม่เอื้อต่อผู้ประกอบการเลย ประมูล 3G แป๊ปๆก็ต้องลงทุนประมูล 4G ลงทุนประมูล 4G ไปได้ไม่กี่ปี ก็ต้องมาลงทุนประมูล 5G อีกแล้ว น่าจะให้ผู้ประกอบการได้พักบ้าง นี่มีแต่นโยบายหาเงินเข้าคลังอย่างเดียว ทำให้ส่งผลเสียในระยะยาว ตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่ผู้ประกอบการต้องหาทางออกซักทางเพื่อให้ธุรกิจอยู่ต่อได้อย่างมั่นคง
ถ้าผู้ประกอบการยังฝืนเดินต่อในนโยบายของภาครัฐแบบนี้ ซักวันหนึ่งก็ต้องมีผู้ประกอบการที่หมดแรงและตายไปอยู่ดี พอเกิดเหตุการณ์ควบรวมขึ้นก็เป็นสิ่งที่บ่งบอกได้ว่า ภาครัฐควรจะปรับเปลี่ยนนโยบายใหม่เพื่อให้การสื่อสารลงทุนได้ดีกว่านี้ สิ่งที่ผ่านมาเป็นบทเรียนแล้วว่า มันไม่ดีจริง การที่คิดแต่จะเอาเงินจากผู้ประกอบการโดยไม่คำนึงถึงความเป็นไปได้ในทุกๆด้าน ย่อมส่งผลความเสียหายแก่ทุกฝ่ายทั้งภาครัฐ ผู้ประกอบการ และประชาชน
ตอนนี้ก็ให้เหลือ 2 เจ้าใหญ่ ให้ผู้ประกอบการได้พักเหนื่อย มีทุนในการประกอบการมากขึ้น มีรายได้มากขึ้น อยู่ได้อย่างมั่นคง พร้อมที่จะลงทุน 6G ในอนาคต
บ้านเรานี้ก็มีประมูลคลื่นอยู่เรื่อยๆแหละ ปีหน้า ปี 66 ดูแล้วได้ประมูลคลื่น 3500 พอปี 68 ก็ประมูล 850,2100 และ 2300tot ปี 70 คลื่น 2100 หมดอายุก็ประมูลอีก ปี 73/74 คลื่น 1800/900 ที่ประมูลเมื่อปี 58/59 หมดอายุก็ประมูลอีก และในปี 73 หรือ 2030 ก็เป็นปีที่ 6G จะมา จริงๆก็เริ่มมาตั้งแต่ปี 71 หรือ 2028 นั่นแหละ แต่โดยส่วนมากหลายประเทศทั่วโลกจะให้เป็นปี 2030 ประเทศเราไม่เกินปี 73 ก็คงได้ประมูล 6G อีก พอถึงปี 78 คลื่น 700/2600 mhz และ 26 Ghz ก็หมดอายุ ต้องมาประมูลคลื่นกันใหม่อีก หลัวจากปี 78 ซัก 3 ปี ก็ต้องมาประมูล 3500 ที่หมดอายุอีก ประมูลกันไม่มีที่สิ้นสุด ประมูลวนไปเรื่อย
การลงทุนในการสื่อสารจึงเป็นการลงทุนที่ต้องเตรียมตัววางแผนไว้ให้ดี ต้องมองระยะยาวว่า จะต้องลงทุนมากน้อยขนาดไหนถึงเกิดความคุ้มค่าคุ้มทุน เพราะการลงทุนแต่ละครั้งต้องใช้เม็ดเงินจำนวนมหาศาล แต่ผลตอบแทนที่กลับมาอาจไม่ได้รวดเร็วอย่างที่หวังไว้
ดูตัวอย่างการประมูล 5G อย่างที่ผ่านมา ค่ายที่ได้คลื่น 5G mid band ไปบางค่ายก็ยังทำกำไรสู้ค่ายที่ยังไม่มี 5G mid band ไม่ได้ ทั้งที่ 5G mid band อย่างคลื่น 2600 หรือ 3500 mhz เป็น 5G ที่ได้ความเร็วของ 5G จริงๆ
ในช่วงเวลาที่ผ่านมา พอจะเห็นได้ว่า มีคนจำนวนมากที่ไม่ได้สนใจว่า จะใช้ 5G หรือ 4G ขอแค่เน็ตที่เล่นไม่สะดุดก็พอใจแล้ว
บางค่ายขอแค่ทำ 4G ให้ดี 200 บาท/เดือนได้ซัก 20 mbps แบบเสถียรๆ ก็ดึงลูกค้าได้มากมายแล้ว คนส่วนมากสนใจว่าจะได้ใช้เน็ตถูกมากกว่าจะใช้ 5G
จะบอกว่า dtac ไม่ประมูลคลื่น 2600 mhz แล้วคิดผิดก็คงไม่ใช่ ถ้าวันนั้น dtac ประมูล 2600 mhz มาซัก 60 mhz ก็ต้องลงทุน 5G 2600 แล้วต้องมาประมูลคลื่น 3500 mhz และลงทุนคลื่น 3500 อีก ลงทุน 2 ต่อ ทั้งที่ถึงตอนนี้คนจำนวนมากก็ยังไม่ได้ใส่ใจ 5G มากนัก 5G ยังไม่สามารถสร้างกำไรได้อย่างชัดเจน การเอา 5G มาหลายคลื่น ยิ่งต้องมีต้นทุนเพิ่ม
ที่เจอมา ลูกค้า dtac แค่เห็นหน้าจอขึ้น 5G เขาก็รับรู้แล้วว่า dtac มี 5G เหมือนทุกค่าย ก็ใช้ๆไป ไม่ได้ใส่ใจหรอกว่า ความเร็ว 5G dtac ต้องได้เท่าโน้นเท่านี้
คลื่น 2300 นี่ ได้เปรียบคลื่น 2600 ในเรื่องระยะทางครอบคลุมนะ 2600 5G ได้เปรียบเรื่องความเร็วขาอัพอยู่อย่างชัดเจน แต่ถ้าตั้งใจขยายโครงข่าย 2300 แบบ massive mimo ตั้งแต่จบประมูล 5G 2600 จริงๆ ยังไงก็มีส่วนสู้กับ 2600 ได้อยู่ เพราะความครอบคลุมได้เปรียบกว่า คนก็ไม่ได้ใส่ใจ 5G มากนัก เพราะช่วงปี 63 เครื่อง 5G ก็ยังแพงมาก คนชอบโปรราคาถูกมากกว่า แต่ดูแล้วที่ผ่านมาโฆษณาซะเยอะกว่าทำจริง ไม่ได้ตั้งใจจะสู้จริง มันก็ทำให้ขาดความน่าเชื่อถือที่จะใช้บริการไปด้วย
ก็ดูเอาว่า รวมกันแล้ว จะดีขึ้นกว่าเดิมขนาดไหน
จริงๆเงื่อนไขการควบรวมบางข้อก็น่าจะปรับเปลี่ยน ห้ามรวมคลื่นรวมแบรนด์นี่ ไม่ได้เกิดประโยชน์ต่อลูกค้าเท่าไรหรอก รวมคลื่นรวมแบรนด์เลยก็ได้ แต่ขอให้เน็ตมีความครอบคลุมในทุกพื้นที่ ภายใน 1 ปีหลังรวมแบรนด์ 5G 700 ครอบคลุมซัก 98% ของประชากร ใน 3 ปี คลื่น 2600 ครอบคลุมซัก 80% ของประชากร อย่างนี้จะดีกว่า
เรื่องกฎเกณฑ์ถือครองคลื่นไม่เกินเท่าไร มันปรับเปลี่ยนได้อยู่แล้ว ที่ผ่านมาก็ปรับเปลี่ยนมาเรื่อย 4G ก็ปรับทีนึง 5G ก็ปรับทีนึงตามสภาวะการแข่งขัน ไม่มีอะไรตายตัว และเดี๋ยว 6G ก็ต้องปรับอีกทีนึงอย่างแน่นอน
ซึ่งถ้ากสทช.อนุมัติร่วมคลื่นร่วมแบรนด์ซึ่งมีผลต่อการลดต้นทุน ก็ให้ไปปรับค่าบริการให้ถูกลงอีกก็ได้ จะได้เกิดประโยชน์แก่ผู้บริโภค
ส่วน nt ก็ควรจะสนับสนุนให้ขึ้นมาเป็นเจ้าที่ 3 ที่สามารถแข่งขันกับเจ้าใหญ่ได้ในอนาคต มันอาจต้องใช้เวลาในการปรับตัว เพราะ tot-cat อยู่ในธรรมชาติของเสือนอนกินมานาน มีลักษณะอ้วนอุ้ยอ้าย หากินเองไม่เป็น แต่จะให้หากินเองไม่เป็นไปตลอดกาลหรือ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ยุบไปเลยดีกว่า ไม่ต้องมีบริษัทนี้ก็ได้
ลองให้เวลาซัก 4-5 ปีในการปรับตัวเป็นเสือที่ออกหากินเองเป็น ถึงเวลานั้น true-dtac ก็จะเป็นบริษัทที่ฟื้นตัวทางการเงินแล้ว แข็งแกร่งมั่นคงกว่านี้มาก สถานการณ์เพียงพอที่จะให้มีการแข่งขัน 3 เจ้าได้เหมือนเดิม
ส่วนเงื่อนไขต่างๆในการควบรวมตอนนี้ก็ค่อยพิจารณาไป มีอะไรปรับเปลี่ยนให้เกิดประโยชน์ต่อผู้บริโภคได้ ก็ปรับเปลี่ยน
True-dtac ควบรวมสำเร็จก็ดีแล้ว อนาคตค่อยๆดัน nt มาเป็นเจ้าที่ 3 ก็ได้
ถ้าผู้ประกอบการยังฝืนเดินต่อในนโยบายของภาครัฐแบบนี้ ซักวันหนึ่งก็ต้องมีผู้ประกอบการที่หมดแรงและตายไปอยู่ดี พอเกิดเหตุการณ์ควบรวมขึ้นก็เป็นสิ่งที่บ่งบอกได้ว่า ภาครัฐควรจะปรับเปลี่ยนนโยบายใหม่เพื่อให้การสื่อสารลงทุนได้ดีกว่านี้ สิ่งที่ผ่านมาเป็นบทเรียนแล้วว่า มันไม่ดีจริง การที่คิดแต่จะเอาเงินจากผู้ประกอบการโดยไม่คำนึงถึงความเป็นไปได้ในทุกๆด้าน ย่อมส่งผลความเสียหายแก่ทุกฝ่ายทั้งภาครัฐ ผู้ประกอบการ และประชาชน
ตอนนี้ก็ให้เหลือ 2 เจ้าใหญ่ ให้ผู้ประกอบการได้พักเหนื่อย มีทุนในการประกอบการมากขึ้น มีรายได้มากขึ้น อยู่ได้อย่างมั่นคง พร้อมที่จะลงทุน 6G ในอนาคต
บ้านเรานี้ก็มีประมูลคลื่นอยู่เรื่อยๆแหละ ปีหน้า ปี 66 ดูแล้วได้ประมูลคลื่น 3500 พอปี 68 ก็ประมูล 850,2100 และ 2300tot ปี 70 คลื่น 2100 หมดอายุก็ประมูลอีก ปี 73/74 คลื่น 1800/900 ที่ประมูลเมื่อปี 58/59 หมดอายุก็ประมูลอีก และในปี 73 หรือ 2030 ก็เป็นปีที่ 6G จะมา จริงๆก็เริ่มมาตั้งแต่ปี 71 หรือ 2028 นั่นแหละ แต่โดยส่วนมากหลายประเทศทั่วโลกจะให้เป็นปี 2030 ประเทศเราไม่เกินปี 73 ก็คงได้ประมูล 6G อีก พอถึงปี 78 คลื่น 700/2600 mhz และ 26 Ghz ก็หมดอายุ ต้องมาประมูลคลื่นกันใหม่อีก หลัวจากปี 78 ซัก 3 ปี ก็ต้องมาประมูล 3500 ที่หมดอายุอีก ประมูลกันไม่มีที่สิ้นสุด ประมูลวนไปเรื่อย
การลงทุนในการสื่อสารจึงเป็นการลงทุนที่ต้องเตรียมตัววางแผนไว้ให้ดี ต้องมองระยะยาวว่า จะต้องลงทุนมากน้อยขนาดไหนถึงเกิดความคุ้มค่าคุ้มทุน เพราะการลงทุนแต่ละครั้งต้องใช้เม็ดเงินจำนวนมหาศาล แต่ผลตอบแทนที่กลับมาอาจไม่ได้รวดเร็วอย่างที่หวังไว้
ดูตัวอย่างการประมูล 5G อย่างที่ผ่านมา ค่ายที่ได้คลื่น 5G mid band ไปบางค่ายก็ยังทำกำไรสู้ค่ายที่ยังไม่มี 5G mid band ไม่ได้ ทั้งที่ 5G mid band อย่างคลื่น 2600 หรือ 3500 mhz เป็น 5G ที่ได้ความเร็วของ 5G จริงๆ
ในช่วงเวลาที่ผ่านมา พอจะเห็นได้ว่า มีคนจำนวนมากที่ไม่ได้สนใจว่า จะใช้ 5G หรือ 4G ขอแค่เน็ตที่เล่นไม่สะดุดก็พอใจแล้ว
บางค่ายขอแค่ทำ 4G ให้ดี 200 บาท/เดือนได้ซัก 20 mbps แบบเสถียรๆ ก็ดึงลูกค้าได้มากมายแล้ว คนส่วนมากสนใจว่าจะได้ใช้เน็ตถูกมากกว่าจะใช้ 5G
จะบอกว่า dtac ไม่ประมูลคลื่น 2600 mhz แล้วคิดผิดก็คงไม่ใช่ ถ้าวันนั้น dtac ประมูล 2600 mhz มาซัก 60 mhz ก็ต้องลงทุน 5G 2600 แล้วต้องมาประมูลคลื่น 3500 mhz และลงทุนคลื่น 3500 อีก ลงทุน 2 ต่อ ทั้งที่ถึงตอนนี้คนจำนวนมากก็ยังไม่ได้ใส่ใจ 5G มากนัก 5G ยังไม่สามารถสร้างกำไรได้อย่างชัดเจน การเอา 5G มาหลายคลื่น ยิ่งต้องมีต้นทุนเพิ่ม
ที่เจอมา ลูกค้า dtac แค่เห็นหน้าจอขึ้น 5G เขาก็รับรู้แล้วว่า dtac มี 5G เหมือนทุกค่าย ก็ใช้ๆไป ไม่ได้ใส่ใจหรอกว่า ความเร็ว 5G dtac ต้องได้เท่าโน้นเท่านี้
คลื่น 2300 นี่ ได้เปรียบคลื่น 2600 ในเรื่องระยะทางครอบคลุมนะ 2600 5G ได้เปรียบเรื่องความเร็วขาอัพอยู่อย่างชัดเจน แต่ถ้าตั้งใจขยายโครงข่าย 2300 แบบ massive mimo ตั้งแต่จบประมูล 5G 2600 จริงๆ ยังไงก็มีส่วนสู้กับ 2600 ได้อยู่ เพราะความครอบคลุมได้เปรียบกว่า คนก็ไม่ได้ใส่ใจ 5G มากนัก เพราะช่วงปี 63 เครื่อง 5G ก็ยังแพงมาก คนชอบโปรราคาถูกมากกว่า แต่ดูแล้วที่ผ่านมาโฆษณาซะเยอะกว่าทำจริง ไม่ได้ตั้งใจจะสู้จริง มันก็ทำให้ขาดความน่าเชื่อถือที่จะใช้บริการไปด้วย
ก็ดูเอาว่า รวมกันแล้ว จะดีขึ้นกว่าเดิมขนาดไหน
จริงๆเงื่อนไขการควบรวมบางข้อก็น่าจะปรับเปลี่ยน ห้ามรวมคลื่นรวมแบรนด์นี่ ไม่ได้เกิดประโยชน์ต่อลูกค้าเท่าไรหรอก รวมคลื่นรวมแบรนด์เลยก็ได้ แต่ขอให้เน็ตมีความครอบคลุมในทุกพื้นที่ ภายใน 1 ปีหลังรวมแบรนด์ 5G 700 ครอบคลุมซัก 98% ของประชากร ใน 3 ปี คลื่น 2600 ครอบคลุมซัก 80% ของประชากร อย่างนี้จะดีกว่า
เรื่องกฎเกณฑ์ถือครองคลื่นไม่เกินเท่าไร มันปรับเปลี่ยนได้อยู่แล้ว ที่ผ่านมาก็ปรับเปลี่ยนมาเรื่อย 4G ก็ปรับทีนึง 5G ก็ปรับทีนึงตามสภาวะการแข่งขัน ไม่มีอะไรตายตัว และเดี๋ยว 6G ก็ต้องปรับอีกทีนึงอย่างแน่นอน
ซึ่งถ้ากสทช.อนุมัติร่วมคลื่นร่วมแบรนด์ซึ่งมีผลต่อการลดต้นทุน ก็ให้ไปปรับค่าบริการให้ถูกลงอีกก็ได้ จะได้เกิดประโยชน์แก่ผู้บริโภค
ส่วน nt ก็ควรจะสนับสนุนให้ขึ้นมาเป็นเจ้าที่ 3 ที่สามารถแข่งขันกับเจ้าใหญ่ได้ในอนาคต มันอาจต้องใช้เวลาในการปรับตัว เพราะ tot-cat อยู่ในธรรมชาติของเสือนอนกินมานาน มีลักษณะอ้วนอุ้ยอ้าย หากินเองไม่เป็น แต่จะให้หากินเองไม่เป็นไปตลอดกาลหรือ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ยุบไปเลยดีกว่า ไม่ต้องมีบริษัทนี้ก็ได้
ลองให้เวลาซัก 4-5 ปีในการปรับตัวเป็นเสือที่ออกหากินเองเป็น ถึงเวลานั้น true-dtac ก็จะเป็นบริษัทที่ฟื้นตัวทางการเงินแล้ว แข็งแกร่งมั่นคงกว่านี้มาก สถานการณ์เพียงพอที่จะให้มีการแข่งขัน 3 เจ้าได้เหมือนเดิม
ส่วนเงื่อนไขต่างๆในการควบรวมตอนนี้ก็ค่อยพิจารณาไป มีอะไรปรับเปลี่ยนให้เกิดประโยชน์ต่อผู้บริโภคได้ ก็ปรับเปลี่ยน