ในกระทู้นี้เราจะมาบอกเล่า การเห็นนิมิต เห็นอดีต เห็นอนาคต และเห็นกฎแห่งกรรม ของตัวเราเองให้คุณได้อ่านกัน แต่กระทู้ของเราจะไม่ใช่การบอกเล่าเรื่องราวเฉพาะแค่ว่า เราไปปฎิบัติธรรมทำกรรมฐานมา แล้วเราไปเห็นนั่น เห็นนี่ แล้วก็มาบอกเล่าสิ่งที่เราเห็น สิ่งที่เรารู้ มาให้คุณได้มาอ่านเท่านั้น
แต่เราจะบอกเล่าตั้งแต่ต้นตอและที่มาที่ไป ที่ทำให้เราได้รู้ ได้เห็นถึงสิ่งเหล่านั้น ตั้งแต่พื้นฐานกันเลยทีเดียว ซึ่งพื้นฐานที่ทำให้เราได้รู้เห็นสิ่งเหล่านั้น คือความคิด เพราะ การเห็นนิมิต เห็นอดีต เห็นอนาคต และเห็นกฎแห่งกรรมของเรา มาจากความคิด และจินตนาการของตัวเราเองทั้งนั้นแหละค่ะ
มันไม่ใช่การนั่งสมาธิหลับตา แล้วเห็นสิ่งต่างๆเหมือนกับภาพปกติที่ตาเนื้อของเราเห็น แต่มันคือความคิดที่จู่ๆมันก็ผุดขึ้นมาเอง โดยที่ตัวเราเองก็ไม่รู้ว่ามันมาได้ยังไง แล้วมันก็ทำให้เราคิดเอาเองเป็นเรื่องเป็นราว เป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ เหมือนกับภาพวาดเหมือนกับจินตนาการ โดยที่เราคิดว่ามันไร้เหตุผล
แต่การที่เราจะตัดสินความคิดเหล่านั้นว่ามันไร้เหตุผลนั้น เราก็ควรที่จะมาคิดดูให้ดีเสียก่อนว่า มันไร้ซึ่งเหตุผลจริงๆหรือไม่ หรือว่ามันก็มีเหตุมีผล และมันก็สมเหตุสมผลอยู่ ที่จะเป็นเช่นนั้น ที่จะเป็นไปตามนั้น
แต่การที่เราจะสามารถตัดสินได้ว่า ความคิดนั้นมันสมเหตุ สมผลหรือไม่ เราก็ควรมาย้อนดูตัวเองก่อน ว่าเราเป็นคนยอมรับความจริงได้มากน้อยแค่ไหน ที่จะสามารถทำสิ่งต่างๆ ตัดสินสิ่งต่างๆอย่างตรงไปตรงมา โดยไม่มีอคติ เข้าข้างตัวเอง
เพราะคนปกติทั่วไป ส่วนมากจะไม่ค่อยยอมรับความจริงกัน จะชอบคิดเข้าข้างตัวเอง พูดเข้าข้างตัวเอง และทำในสิ่งที่ตัวเองได้ประโยชน์ ซึ่งเราเองก็ไม่ได้ต่างจากคนปกติทั่วไปเลย เพราะเราเองก็ยอมรับว่า ตัวเองก็มีความเห็นแก่ตัวเป็นพื้นฐานมาตั้งแต่เด็กแล้ว และเราก็ไม่เคยปฏิเสธความจริงข้อนี้
ทำให้ตอนเป็นเด็กเราเริ่มมีกรอบความคิดที่เราจำได้เพียงอย่างเดียวแค่ว่า [ พูด+ทำในสิ่งที่ตัวเองได้ประโยชน์ ] ซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่ามันคือ ความเห็นแก่ตัว แต่ตอนนั้นเรายังไม่มีความรู้สึกผิดชอบ ชั่วดี
และเราก็ได้เจอกับเหตุการณ์ที่ทำให้เราต้องเพิ่มกรอบความคิดของตัวเอง จากการที่เราไปขโมยเงินพี่ชายเราตอนเป็นเด็กเพื่อไปซื้อขนม และโกหกคนอื่นๆว่าเราได้เงินมาจากทางอื่น และทำให้พี่ชายเราถูกย่าตี ไม่มีเงินไปโรงเรียน
มันทำให้เราเห็นความผิดชอบ ชั่วดี และเพิ่มกรอบความคิดของเราไปอีกว่า [ พูด+ทำในสิ่งตัวเองได้ประโยชน์และคนอื่นต้องไม่เดือดร้อน ] ซึ่งเรามีประสบการณ์จากการกระทำที่ไม่ดีของตัวเองที่ทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อนแล้ว เราก็มาย้อนตัวตัวเองว่าถ้าคนอื่นทำให้เราต้องเดือดร้อนเราก็ไม่ชอบเหมือนกัน
ดังนั้นจึงทำให้เราคิดได้ว่า [ อะไรที่ตัวเองไม่ชอบให้คนอื่นทำกับเรา เราก็จะไม่ทำเช่นนั้นกับคนอื่นเช่นกันไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือการกระทำ ] นั้นคือกรอบความคิดของเราตอนเป็นเด็ก
แต่พอโตขึ้นเราก็ต้องประสบพบเจอกับเรื่องราวเหตุการณ์ที่ซับซ้อนขึ้น ทำให้เราต้องเปลี่ยนกรอบความคิดของเราให้ซับซ้อนขึ้นเช่นเดียวกันกัน แต่กรอบความคิดของเราที่เปลี่ยนไปมันก็ยังอยู่บนพื้นฐานเดิม
เช่นมันจะมีบางเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องตัดสินใจเลือกระหว่าง[ ทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อนหรือเราจะยอมเดือดร้อนเอง ] ซึ่งเราก็จะพยายามหลีกเลี่ยงหรือป้องกันไม่ให้ต้องเผชิญกับเหตุการณ์เช่นนั้นก่อน
แต่ถ้าพยายามจนถึงที่สุดแล้วมันก็ยังมาถึงจุดให้เลือกอีก เราก็จะยอมเป็นฝ่ายยอมเดือดร้อนเองเสมอ เพราะเราไม่อยากเป็นฝ่ายทำร้ายเขา แต่ก็ใช่ว่าเราจะยอมเป็นฝ่ายเดือดร้อนเองเสมอไป เราก็ต้องดูสาเหตุ และความสมเหตุสมผลก่อนเสมอ โดยไม่คิดเข้าข้างตัวเองและไม่เข้าข้างคนอื่น
เพราะถ้าการที่เรายอมแล้วส่งผลให้บุคคลที่สามต้องเดือดร้อนจากการตัดสินใจของเราด้วย เราก็จะให้อีกฝ่ายรับความเดือดร้อนไปเต็มๆเช่นเดียวกัน เพราะเราถือว่า ที่เขาเดือดร้อนมาจากความเห็นแก่ตัวของตัวเอง
เห็นนิมิต เห็นอดีต เห็นอนาคต เห็นกฎแห่งกรรม ภาค 1
แต่เราจะบอกเล่าตั้งแต่ต้นตอและที่มาที่ไป ที่ทำให้เราได้รู้ ได้เห็นถึงสิ่งเหล่านั้น ตั้งแต่พื้นฐานกันเลยทีเดียว ซึ่งพื้นฐานที่ทำให้เราได้รู้เห็นสิ่งเหล่านั้น คือความคิด เพราะ การเห็นนิมิต เห็นอดีต เห็นอนาคต และเห็นกฎแห่งกรรมของเรา มาจากความคิด และจินตนาการของตัวเราเองทั้งนั้นแหละค่ะ
มันไม่ใช่การนั่งสมาธิหลับตา แล้วเห็นสิ่งต่างๆเหมือนกับภาพปกติที่ตาเนื้อของเราเห็น แต่มันคือความคิดที่จู่ๆมันก็ผุดขึ้นมาเอง โดยที่ตัวเราเองก็ไม่รู้ว่ามันมาได้ยังไง แล้วมันก็ทำให้เราคิดเอาเองเป็นเรื่องเป็นราว เป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ เหมือนกับภาพวาดเหมือนกับจินตนาการ โดยที่เราคิดว่ามันไร้เหตุผล
แต่การที่เราจะตัดสินความคิดเหล่านั้นว่ามันไร้เหตุผลนั้น เราก็ควรที่จะมาคิดดูให้ดีเสียก่อนว่า มันไร้ซึ่งเหตุผลจริงๆหรือไม่ หรือว่ามันก็มีเหตุมีผล และมันก็สมเหตุสมผลอยู่ ที่จะเป็นเช่นนั้น ที่จะเป็นไปตามนั้น
แต่การที่เราจะสามารถตัดสินได้ว่า ความคิดนั้นมันสมเหตุ สมผลหรือไม่ เราก็ควรมาย้อนดูตัวเองก่อน ว่าเราเป็นคนยอมรับความจริงได้มากน้อยแค่ไหน ที่จะสามารถทำสิ่งต่างๆ ตัดสินสิ่งต่างๆอย่างตรงไปตรงมา โดยไม่มีอคติ เข้าข้างตัวเอง
เพราะคนปกติทั่วไป ส่วนมากจะไม่ค่อยยอมรับความจริงกัน จะชอบคิดเข้าข้างตัวเอง พูดเข้าข้างตัวเอง และทำในสิ่งที่ตัวเองได้ประโยชน์ ซึ่งเราเองก็ไม่ได้ต่างจากคนปกติทั่วไปเลย เพราะเราเองก็ยอมรับว่า ตัวเองก็มีความเห็นแก่ตัวเป็นพื้นฐานมาตั้งแต่เด็กแล้ว และเราก็ไม่เคยปฏิเสธความจริงข้อนี้
ทำให้ตอนเป็นเด็กเราเริ่มมีกรอบความคิดที่เราจำได้เพียงอย่างเดียวแค่ว่า [ พูด+ทำในสิ่งที่ตัวเองได้ประโยชน์ ] ซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่ามันคือ ความเห็นแก่ตัว แต่ตอนนั้นเรายังไม่มีความรู้สึกผิดชอบ ชั่วดี
และเราก็ได้เจอกับเหตุการณ์ที่ทำให้เราต้องเพิ่มกรอบความคิดของตัวเอง จากการที่เราไปขโมยเงินพี่ชายเราตอนเป็นเด็กเพื่อไปซื้อขนม และโกหกคนอื่นๆว่าเราได้เงินมาจากทางอื่น และทำให้พี่ชายเราถูกย่าตี ไม่มีเงินไปโรงเรียน
มันทำให้เราเห็นความผิดชอบ ชั่วดี และเพิ่มกรอบความคิดของเราไปอีกว่า [ พูด+ทำในสิ่งตัวเองได้ประโยชน์และคนอื่นต้องไม่เดือดร้อน ] ซึ่งเรามีประสบการณ์จากการกระทำที่ไม่ดีของตัวเองที่ทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อนแล้ว เราก็มาย้อนตัวตัวเองว่าถ้าคนอื่นทำให้เราต้องเดือดร้อนเราก็ไม่ชอบเหมือนกัน
ดังนั้นจึงทำให้เราคิดได้ว่า [ อะไรที่ตัวเองไม่ชอบให้คนอื่นทำกับเรา เราก็จะไม่ทำเช่นนั้นกับคนอื่นเช่นกันไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือการกระทำ ] นั้นคือกรอบความคิดของเราตอนเป็นเด็ก
แต่พอโตขึ้นเราก็ต้องประสบพบเจอกับเรื่องราวเหตุการณ์ที่ซับซ้อนขึ้น ทำให้เราต้องเปลี่ยนกรอบความคิดของเราให้ซับซ้อนขึ้นเช่นเดียวกันกัน แต่กรอบความคิดของเราที่เปลี่ยนไปมันก็ยังอยู่บนพื้นฐานเดิม
เช่นมันจะมีบางเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องตัดสินใจเลือกระหว่าง[ ทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อนหรือเราจะยอมเดือดร้อนเอง ] ซึ่งเราก็จะพยายามหลีกเลี่ยงหรือป้องกันไม่ให้ต้องเผชิญกับเหตุการณ์เช่นนั้นก่อน
แต่ถ้าพยายามจนถึงที่สุดแล้วมันก็ยังมาถึงจุดให้เลือกอีก เราก็จะยอมเป็นฝ่ายยอมเดือดร้อนเองเสมอ เพราะเราไม่อยากเป็นฝ่ายทำร้ายเขา แต่ก็ใช่ว่าเราจะยอมเป็นฝ่ายเดือดร้อนเองเสมอไป เราก็ต้องดูสาเหตุ และความสมเหตุสมผลก่อนเสมอ โดยไม่คิดเข้าข้างตัวเองและไม่เข้าข้างคนอื่น
เพราะถ้าการที่เรายอมแล้วส่งผลให้บุคคลที่สามต้องเดือดร้อนจากการตัดสินใจของเราด้วย เราก็จะให้อีกฝ่ายรับความเดือดร้อนไปเต็มๆเช่นเดียวกัน เพราะเราถือว่า ที่เขาเดือดร้อนมาจากความเห็นแก่ตัวของตัวเอง