ทนายไพศาล บุกร้องกลาโหม ปมทุจริตสร้างบ้านพัก ทบ. แฉ 20 ทหารมีเอี่ยว
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7323202
ทนายไพศาล นำผู้ประกอบการ ร้องกลาโหม ชดเชยค่าเสียหายบ้านสวัสดิการ ทบ.- เงินหักหัวคิว 5% มูลค่า 40 ล้านบาท แฉ 20 ทหารเอี่ยว แต่ได้ดี ขยับเป็นนายพล
เมื่อวันที่ 19 ต.ค.2565 ที่กระทรวงกลาโหม นาย
ไพศาล เรืองฤทธิ์ ทนายความ นำผู้ประกอบการ ที่ได้รับความเสียหายจากโครงการกู้ซื้อบ้านสวัสดิการ กองทัพบก มายื่นหนังสือต่อกระทรวงกลาโหม ในฐานะหน่วยที่กำกับดูแลกองทัพบก
นาย
ไพศาล กล่าวว่า ตามที่กองทัพบก ชี้แจงว่าตั้งคณะกรรมการตรวจสอบเรื่องนี้ พร้อมทั้งลงโทษ งดบำเหน็จและปลดออกจากตำแหน่งไปแล้ว แต่ปรากฎว่า
ยังมีคนที่เกี่ยวข้องได้รับการเลื่อนยศและตำแหน่ง อีกทั้งกองทัพบก ยังระบุว่า โครงการกู้เงินอบท.การเคหะเพื่อการสงเคราะห์ ระงับไปแล้วตั้งแต่ปี 2564 แต่ในปี 2565 ยังมีการเรียกรับเงิน 5% เรื่องนี้ต้องตอบคำถามให้ได้
นาย
ไพศาล กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมา ตนไม่เคยพูดว่าเรื่องดังกล่าว เป็นเรื่องของผู้ประกอบการกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตที่เป็นระดับนายทหาร แต่กองทัพบกได้แถลงว่ามีความเกี่ยวข้องกัน ถือเป็นเรื่องดี ต้องถามกลับไปที่กองทัพบก แม้จะระบุว่าเป็นเรื่องส่วนบุคคลและอยู่ในขั้นตอนของศาล แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นคือ 5% กับจำนวนกำลังพลหลายร้อยนาย คิดเป็นมูลค่าความเสียหาย 30-40 ล้านบาท จะรับผิดชอบอย่างไร
“ผมอยากรู้ว่า เรื่องเหล่านี้ เมื่อเกิดขึ้น ใครจะเป็นผู้เยียวยาผู้ประกอบการและกำลังพลที่ได้รับผลกระทบ กองทัพบกให้ความชัดเจนไม่ได้ จึงต้องมาที่กระทรวงกลาโหม ซึ่งกำกับดูแลกองทัพบกโดยตรง หากยังติดใจสงสัย หรือ ยังไม่มีหลักฐาน ผมจะนำไปให้ ไม่ต้องส่งใครมาประกบซ้ายประกบขวา มีอะไรก็ให้ติดต่อมา” นาย
ไพศาล กล่าว
นาย
ไพศาล กล่าวอีกว่า ที่ออกมาพูดเพราะกลัวว่ามันจะเกิดเหตุแบบที่โคราชอีก เพราะมันมีจุดเชื่อมโยงที่เกี่ยวข้องกันโดยตรง และการลงโทษข้าราชการที่เกี่ยวข้องมีแค่การงดบำเหน็จ เอาออกจากตำแหน่งแค่นั้นเองใช่หรือไม่ ซึ่งกองทัพบกบอกว่าลงโทษตั้งแต่ปี 2563 แต่ปัจจุบัน แต่ละคนได้ยศ ได้ตำแหน่งที่สูงขึ้น บางคนได้ขยับเป็นนายพล และบางคนเกษียณไปแล้ว บางคนลาออก ตนมีรายชื่อทหารเกี่ยวข้องประมาณ 20 รายชื่อ ที่มีจุดเชื่อมโยงเส้นทางทางการเงินชัดเจน อยากถามเช่นกันว่าบุคคลเหล่านี้ ทำไมถึงยังได้เลื่อนยศและตำแหน่ง และจะติดตามเรื่องนี้ต่อไป
“ส่วนที่กองทัพบกยืนยันว่าไม่มีการหัก 5% ในการกู้ยืมเงินสวัสดิการกองทัพบกนั้น ทนายจะนำผู้เสียหายทั้งหมดไปแจ้งความ ถือเป็นการเรียกรับสินบนขณะดำรงตำแหน่งหน้าที่ราชการ ฉะนั้นหน่วยงานต้องรับผิดชอบ กองทัพบกต้องไปเยียวยาทางผู้ประกอบการและกำลังพลชั้นผู้น้อยประมาณ 100 กว่าราย” นาย
ไพศาล กล่าว
นาย
ไพศาล กล่าวอ้างว่า ได้รับการร้องเรียนจากบุคคลที่อ้างว่าเป็นทหารที่กู้ซื้อบ้านตามโครงการสวัสดิการของกองทัพบก โดยรายหนึ่งพบว่าซื้อบ้านที่โคราช ผ่อนมา 10 ปี แต่ปรากฏว่าเป็นที่ ส.ป.ก. ซึ่งกองทัพบกตั้งคณะกรรมการตรวจสอบตั้งแต่ต้นปีจนมาถึงขนาดนี้ยังไม่มีความคืบหน้า อีกกรณีหนึ่งที่ภาคใต้ ที่กล่าวอ้างว่า โดนโกง หัดค่าหัวคิวจำนวนมาก ตัวการใหญ่ลอยนวล
ศรีสะเกษอ่วม! สังเวยท่วม 11 ศพ จม 22 อำเภอ ชาวบ้านเดือดร้อน 1.7 แสนคน
https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_7323155
ศรีสะเกษ น้ำท่วมเสียชีวิตแล้ว 11 ราย จมบาดาล 22 อำเภอ ชาวบ้านเดือดร้อน 178,711คน ผอ.รพ.ศรีสะเกษ นำเครื่องอุปโภคบริโภคบริจาค ช่วยผู้ประสบภัย
เมื่อวันที่ 19 ต.ค.65 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ห้องประชุมศูนย์บริหารจัดการน้ำ จ.ศรีสะเกษ ชั้น 1 ศาลากลาง จ.ศรีสะเกษ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ นาย
สำรวย เกษกุล รองผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ รักษาราชการแทน ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ เปิดเผยว่า ตนเป็นประธานการประชุมศูนย์บัญชาการเหตุการณ์จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อติดตามสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ เป็นประจำทุกวัน
ซึ่ง นาย
พีระพงศ์ หมื่นผ่อง หน.สนง.ปภ.จว.ศรีสะเกษ รายงานสถานการณ์อุทกภัยสรุปล่าสุด ปรากฏว่าสถานการณ์อุทกภัยจังหวัดศรีสะเกษ มีพื้นที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยตั้งแต่วันที่ 12 ก.ค.2565 – ปัจจุบัน จำนวน 22 อำเภอ 1 เทศบาลเมือง 23 ชุมชน 168 ตำบล 1,319 หมู่บ้าน ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อน 53,545 ครัวเรือน 178,711คน เสียชีวิต และบาดเจ็บจากอุทกภัย และพายุ “โนรู” รวมเสียชีวิต 11 ราย
นายสำรวย เปิดเผยว่า เส้นทางคมนาคม ได้รับผลกระทบ รวม 19 สาย มอบถุงยังชีพแก่ผู้ประสบภัย จำนวน 35,568 ถุง การทำข้าวกล่องเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย ประกอบด้วย มูลนิธิเพชรเกษม รวม 19 วัน จำนวน 152,000 กล่อง จ.ศรีสะเกษ รวม 20 วันจำนวน 11,000 กล่อง
สิ่งของช่วยเหลือผู้ประสบภัยของอาเซียน (ชุดสุขอนามัยส่วนบุคคล) จำนวน 220 กล่อง ซึ่งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์จังหวัดประชุมเพื่อติดตามสถานการณ์อุทกภัยเป็นประจำทุกวัน และพิจารณาประเมินสถานการณ์ แก้ไขปัญหา รายงานติดตามและช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ อย่างเต็มที่ต่อไป
นาย
สำรวย กล่าวต่อว่า สถานการณ์น้ำท่วมครั้งนี้มีทุกภาคส่วนเข้ามาบริจาคสิ่งของเพื่อช่วยผู้ประสบภัยจำนวนมาก โดย นพ.
ชลวิทย์ หลาวทอง ผอ.รพ.ศรีสะเกษ และคณะ นำเอาสิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภคจำนวนมาก ประกอบด้วย น้ำดื่ม อาหารแห้ง ข้าวสาร ปลากระป๋อง สบู่ ยาสีฟัน บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป มาบริจาคให้กับศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ จ.ศรีสะเกษ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ
นอกจากนี้ สมาคมคนพิการ จ.ศรีสะเกษ (องค์กรสาธารณประโยชน์) นำเอาสิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภคมาบริจาคด้วยเช่นกัน ซึ่งตนต้องขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ได้นำเอาสิ่งของมาบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ ในครั้งนี้
แบงก์เล็ก ดอดขึ้นดอกเบี้ยฝาก-กู้ ลุ้นขยับอีกรอบหลังประชุม กนง.เดือนหน้า
https://www.prachachat.net/finance/news-1089674
ธนาคารขนาดกลางและเล็กตบเท้าปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินฝาก-เงินกู้ตามหลังธนาคารขนาดใหญ่ แจงปรับดอกเบี้ยขึ้นกับโครงสร้างต้นทุน-พอร์ตสินเชื่อ แบงก์ใหญ่เน้นขึ้น MOR-MLR เหตุมีฐานลูกค้ารายใหญ่เยอะ และที่ผ่านมาได้ดอกเบี้ยต่ำกว่าปกติ ส่วนแบงก์เล็กขยับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้รายย่อยยกแผง แบงก์ยูโอบี MRR แตะ 7.75% ต่อปี “ทิสโก้” จับตาประชุม กนง.รอบสุดท้ายเดือน พ.ย.นี้ ลุ้นดอกเบี้ยขยับอีกรอบ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเอกฉันท์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.25% ต่อปี จาก 0.75% ต่อปี เป็น 1.00% ต่อปี โดยเมื่อวันที่ 28 กันยายนที่ผ่านมา ส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ โดยส่วนใหญ่ปรับขึ้นเงินฝากประจำเฉลี่ย 0.10-0.50% ต่อปี และคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้รายย่อยชั้นดี (MRR) มีเพียงธนาคารกรุงเทพที่ปรับขึ้นเฉลี่ย 0.30% ต่อปี
ส่วนดอกเบี้ยเงินกู้รายใหญ่ชั้นดีแบบมีระยะเวลา (MLR) และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชี (MOR) ปรับขึ้นอัตราเฉลี่ยอยู่ที่ 0.25% ต่อปี
โดยปัจจุบันธนาคารกรุงเทพมีอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR อยู่ที่ 5.65%, MOR 6.25%, MRR 6.25% ส่วนธนาคารกสิกรไทย MLR 5.72%, MOR 6.09% และ MRR 5.97% เป็นต้น
แบงก์เล็กทยอยขึ้นดอกเบี้ย
และล่าสุด ธนาคารขนาดกลางและเล็กได้ทยอยปรับอัตราดอกเบี้ยตามธนาคารขนาดใหญ่ไปแล้วบางแห่ง เช่น ธนาคารยูโอบี ปรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากเฉลี่ยอยู่ที่ 0.15% และปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR จาก 6.60% เป็น 7.00% ต่อปี อัตราดอกเบี้ย MOR จาก 6.80% เป็น 7.20% ต่อปี และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้รายย่อย MRR จาก 7.35% เป็น 7.75% ต่อปี ขณะที่ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ปรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากเฉลี่ย 0.50% ต่อปี และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เฉลี่ย 0.40% ต่อปี
ด้านธนาคารทิสโก้ ปรับดอกเบี้ยเงินกู้เฉลี่ย 0.25% โดยดอกเบี้ย MLR จาก 6.45% เป็น 6.70% ต่อปี ดอกเบี้ย MOR จาก 6.45% เป็น 6.7% ต่อปี และดอกเบี้ย MRR จาก 6.725% เป็น 6.95% ต่อปี ขณะที่เงินฝากประจำปรับขึ้นเฉลี่ย 0.20-0.50% ต่อปี ฝากประจำธรรมดา 0.25-1.05% ปรับเป็น 0.25-1.25% ต่อปี และฝากประจำพิเศษ 1.30-1.40% ปรับเป็น 1.30-1.80% ต่อปี
ส่วนธนาคารเกียรตินาคินภัทร ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากเฉลี่ย 0.25% และดอกเบี้ยเงินกู้ MLR ปรับจาก 6.525% เป็น 6.775% ต่อปี ดอกเบี้ย MOR ปรับจาก 6.45% เป็น 6.70% ต่อปี และดอกเบี้ย MRR ปรับจาก 6.65% เป็น 6.85% ต่อปี
ทิสโก้ขึ้นดอกเงินฝาก 0.50%
นาย
ศักดิ์ชัย พีชะพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มทิสโก้ เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า หลังจาก กนง.ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปีครั้งล่าสุด และธนาคารใหญ่ทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ย ธนาคารทิสโก้ก็ได้ปรับอัตราดอกเบี้ยตามทั้งในฝั่งขาเงินฝากและเงินกู้ โดยปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เฉลี่ย 0.25% ต่อปี และเงินฝากประจำขึ้นเฉลี่ย 0.20-0.50% ต่อปี
สำหรับแนวโน้มดอกเบี้ยระยะข้างหน้าในการประชุมรอบสุดท้ายเดือนพฤศจิกายน ธนาคารทิสโก้ รวมถึงธนาคารขนาดกลางและเล็กก็ยังคงต้องรอดูสัญญาณ กนง.และธนาคารขนาดใหญ่ เพราะธนาคารขนาดใหญ่จะมีบทบาทดอกเบี้ยในตลาดค่อนข้างมาก หากมีธนาคารปรับขึ้น 2-3 แห่ง ธนาคารทิสโก้ก็คงต้องทบทวนดอกเบี้ย
อย่างไรก็ดี เชื่อว่าทุกธนาคารไม่อยากปรับขึ้นดอกเบี้ยในภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวเปราะบาง ซึ่งจะกระทบต่อต้นทุนของลูกค้าที่ยังไม่ฟื้นตัว ทำให้แต่ละธนาคารจะต้องมีการบริหารจัดการต้นทุนให้สมดุล และดูแลลูกค้าที่ยังเปราะบางไปพร้อม ๆ กัน
“เราได้ประกาศปรับขึ้นดอกเบี้ยผ่านเว็บไซต์ธนาคารเมื่อวันที่ 3 ต.ค.ที่ผ่านมา หลังจากแบงก์ใหญ่ทยอยขึ้น เพราะต้องยอมรับว่า กนง.ปรับขึ้นดอกเบี้ยแต่ละครั้งได้สะท้อนไปยังต้นทุนเงินฝากและเงินกู้ระยะสั้นไปแล้ว ซึ่งการพิจารณาในรอบถัดไปคงต้องดูแบงก์ใหญ่”
ลุ้นปลายปีปรับ ดอกเบี้ยอีกระลอก
แหล่งข่าวจากสถาบันการเงิน เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า แนวทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก-เงินกู้ของธนาคารพาณิชย์เล็ก น่าจะแตกต่างจากธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ เนื่องจากโครงสร้างต้นทุนและพอร์ตสินเชื่อมีความแตกต่างกัน ประกอบกับต้องรอดูทิศทางธนาคารพาณิชย์ใหญ่ปรับขึ้นดอกเบี้ยก่อนจึงจะทยอยปรับขึ้นตาม เพื่อรักษาฐานลูกค้าและเงินฝากรวมถึงบริหารต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไปก่อนหน้าให้สมดุล
โดยจะเห็นว่าธนาคารยูโอบีและธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย มีพอร์ตสินเชื่อที่อยู่อาศัยค่อนข้างเยอะ ซึ่งสินเชื่อบ้านเป็นสินเชื่อที่มีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (มาร์จิ้น) ค่อนข้างบาง ทำให้มีความจำเป็นต้องปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้รายย่อยสูงกว่า เนื่องจากต้นทุนไม่เหมือนกัน เมื่อเทียบกับธนาคารทิสโก้และเกียรตินาคินภัทรที่พอร์ตสินเชื่อส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อเช่าซื้อที่คิดอัตราดอกเบี้ยคงที่
ขณะที่ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ จะมีสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) และธุรกิจขนาดใหญ่ค่อนข้างมาก ซึ่งที่ผ่านมาดอกเบี้ยกลุ่มนี้จะต่ำกว่าเป็นจริงค่อนข้างมาก ส่งผลให้รอบนี้ธนาคารขนาดใหญ่ทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยกลุ่ม MOR และ MLR โดยที่คงอัตราดอกเบี้ยรายย่อย MRR ไว้ ส่วนเงินฝากจะขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากประจำเท่านั้น
“การปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้โดยปกติจะต้องขึ้นในสัดส่วนเท่า ๆ กัน แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับโครงสร้างธุรกิจและพอร์ตสินเชื่อของแต่ละธนาคาร และหากมองไปข้างหน้าการประชุมวันที่ 30 พ.ย.นี้ คณะกรรมการ กนง.ปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% ต่อปี คาดว่าแบงก์ก็คงต้องขยับดอกเบี้ยขึ้นอีกครั้ง เช่น LH BANK ที่ยังไม่ได้มีการปรับดอกเบี้ยครั้งหน้าก็คงน่าจะอั้นไม่ไหว”
JJNY : บุกร้องปมทุจริตสร้างบ้านพักทบ.│ศรีสะเกษสังเวยท่วม 11ศพ│แบงก์เล็กดอดขึ้นดอกเบี้ย│"ปลอดประสพ"แนะ 6 ทางออกแก้น้ำท่วม
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7323202
ทนายไพศาล นำผู้ประกอบการ ร้องกลาโหม ชดเชยค่าเสียหายบ้านสวัสดิการ ทบ.- เงินหักหัวคิว 5% มูลค่า 40 ล้านบาท แฉ 20 ทหารเอี่ยว แต่ได้ดี ขยับเป็นนายพล
เมื่อวันที่ 19 ต.ค.2565 ที่กระทรวงกลาโหม นายไพศาล เรืองฤทธิ์ ทนายความ นำผู้ประกอบการ ที่ได้รับความเสียหายจากโครงการกู้ซื้อบ้านสวัสดิการ กองทัพบก มายื่นหนังสือต่อกระทรวงกลาโหม ในฐานะหน่วยที่กำกับดูแลกองทัพบก
นายไพศาล กล่าวว่า ตามที่กองทัพบก ชี้แจงว่าตั้งคณะกรรมการตรวจสอบเรื่องนี้ พร้อมทั้งลงโทษ งดบำเหน็จและปลดออกจากตำแหน่งไปแล้ว แต่ปรากฎว่า ยังมีคนที่เกี่ยวข้องได้รับการเลื่อนยศและตำแหน่ง อีกทั้งกองทัพบก ยังระบุว่า โครงการกู้เงินอบท.การเคหะเพื่อการสงเคราะห์ ระงับไปแล้วตั้งแต่ปี 2564 แต่ในปี 2565 ยังมีการเรียกรับเงิน 5% เรื่องนี้ต้องตอบคำถามให้ได้
นายไพศาล กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมา ตนไม่เคยพูดว่าเรื่องดังกล่าว เป็นเรื่องของผู้ประกอบการกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตที่เป็นระดับนายทหาร แต่กองทัพบกได้แถลงว่ามีความเกี่ยวข้องกัน ถือเป็นเรื่องดี ต้องถามกลับไปที่กองทัพบก แม้จะระบุว่าเป็นเรื่องส่วนบุคคลและอยู่ในขั้นตอนของศาล แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นคือ 5% กับจำนวนกำลังพลหลายร้อยนาย คิดเป็นมูลค่าความเสียหาย 30-40 ล้านบาท จะรับผิดชอบอย่างไร
“ผมอยากรู้ว่า เรื่องเหล่านี้ เมื่อเกิดขึ้น ใครจะเป็นผู้เยียวยาผู้ประกอบการและกำลังพลที่ได้รับผลกระทบ กองทัพบกให้ความชัดเจนไม่ได้ จึงต้องมาที่กระทรวงกลาโหม ซึ่งกำกับดูแลกองทัพบกโดยตรง หากยังติดใจสงสัย หรือ ยังไม่มีหลักฐาน ผมจะนำไปให้ ไม่ต้องส่งใครมาประกบซ้ายประกบขวา มีอะไรก็ให้ติดต่อมา” นายไพศาล กล่าว
นายไพศาล กล่าวอีกว่า ที่ออกมาพูดเพราะกลัวว่ามันจะเกิดเหตุแบบที่โคราชอีก เพราะมันมีจุดเชื่อมโยงที่เกี่ยวข้องกันโดยตรง และการลงโทษข้าราชการที่เกี่ยวข้องมีแค่การงดบำเหน็จ เอาออกจากตำแหน่งแค่นั้นเองใช่หรือไม่ ซึ่งกองทัพบกบอกว่าลงโทษตั้งแต่ปี 2563 แต่ปัจจุบัน แต่ละคนได้ยศ ได้ตำแหน่งที่สูงขึ้น บางคนได้ขยับเป็นนายพล และบางคนเกษียณไปแล้ว บางคนลาออก ตนมีรายชื่อทหารเกี่ยวข้องประมาณ 20 รายชื่อ ที่มีจุดเชื่อมโยงเส้นทางทางการเงินชัดเจน อยากถามเช่นกันว่าบุคคลเหล่านี้ ทำไมถึงยังได้เลื่อนยศและตำแหน่ง และจะติดตามเรื่องนี้ต่อไป
“ส่วนที่กองทัพบกยืนยันว่าไม่มีการหัก 5% ในการกู้ยืมเงินสวัสดิการกองทัพบกนั้น ทนายจะนำผู้เสียหายทั้งหมดไปแจ้งความ ถือเป็นการเรียกรับสินบนขณะดำรงตำแหน่งหน้าที่ราชการ ฉะนั้นหน่วยงานต้องรับผิดชอบ กองทัพบกต้องไปเยียวยาทางผู้ประกอบการและกำลังพลชั้นผู้น้อยประมาณ 100 กว่าราย” นายไพศาล กล่าว
นายไพศาล กล่าวอ้างว่า ได้รับการร้องเรียนจากบุคคลที่อ้างว่าเป็นทหารที่กู้ซื้อบ้านตามโครงการสวัสดิการของกองทัพบก โดยรายหนึ่งพบว่าซื้อบ้านที่โคราช ผ่อนมา 10 ปี แต่ปรากฏว่าเป็นที่ ส.ป.ก. ซึ่งกองทัพบกตั้งคณะกรรมการตรวจสอบตั้งแต่ต้นปีจนมาถึงขนาดนี้ยังไม่มีความคืบหน้า อีกกรณีหนึ่งที่ภาคใต้ ที่กล่าวอ้างว่า โดนโกง หัดค่าหัวคิวจำนวนมาก ตัวการใหญ่ลอยนวล
ศรีสะเกษอ่วม! สังเวยท่วม 11 ศพ จม 22 อำเภอ ชาวบ้านเดือดร้อน 1.7 แสนคน
https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_7323155
ศรีสะเกษ น้ำท่วมเสียชีวิตแล้ว 11 ราย จมบาดาล 22 อำเภอ ชาวบ้านเดือดร้อน 178,711คน ผอ.รพ.ศรีสะเกษ นำเครื่องอุปโภคบริโภคบริจาค ช่วยผู้ประสบภัย
เมื่อวันที่ 19 ต.ค.65 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ห้องประชุมศูนย์บริหารจัดการน้ำ จ.ศรีสะเกษ ชั้น 1 ศาลากลาง จ.ศรีสะเกษ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ นายสำรวย เกษกุล รองผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ รักษาราชการแทน ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ เปิดเผยว่า ตนเป็นประธานการประชุมศูนย์บัญชาการเหตุการณ์จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อติดตามสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ เป็นประจำทุกวัน
ซึ่ง นายพีระพงศ์ หมื่นผ่อง หน.สนง.ปภ.จว.ศรีสะเกษ รายงานสถานการณ์อุทกภัยสรุปล่าสุด ปรากฏว่าสถานการณ์อุทกภัยจังหวัดศรีสะเกษ มีพื้นที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยตั้งแต่วันที่ 12 ก.ค.2565 – ปัจจุบัน จำนวน 22 อำเภอ 1 เทศบาลเมือง 23 ชุมชน 168 ตำบล 1,319 หมู่บ้าน ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อน 53,545 ครัวเรือน 178,711คน เสียชีวิต และบาดเจ็บจากอุทกภัย และพายุ “โนรู” รวมเสียชีวิต 11 ราย
นายสำรวย เปิดเผยว่า เส้นทางคมนาคม ได้รับผลกระทบ รวม 19 สาย มอบถุงยังชีพแก่ผู้ประสบภัย จำนวน 35,568 ถุง การทำข้าวกล่องเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย ประกอบด้วย มูลนิธิเพชรเกษม รวม 19 วัน จำนวน 152,000 กล่อง จ.ศรีสะเกษ รวม 20 วันจำนวน 11,000 กล่อง
สิ่งของช่วยเหลือผู้ประสบภัยของอาเซียน (ชุดสุขอนามัยส่วนบุคคล) จำนวน 220 กล่อง ซึ่งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์จังหวัดประชุมเพื่อติดตามสถานการณ์อุทกภัยเป็นประจำทุกวัน และพิจารณาประเมินสถานการณ์ แก้ไขปัญหา รายงานติดตามและช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ อย่างเต็มที่ต่อไป
นายสำรวย กล่าวต่อว่า สถานการณ์น้ำท่วมครั้งนี้มีทุกภาคส่วนเข้ามาบริจาคสิ่งของเพื่อช่วยผู้ประสบภัยจำนวนมาก โดย นพ.ชลวิทย์ หลาวทอง ผอ.รพ.ศรีสะเกษ และคณะ นำเอาสิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภคจำนวนมาก ประกอบด้วย น้ำดื่ม อาหารแห้ง ข้าวสาร ปลากระป๋อง สบู่ ยาสีฟัน บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป มาบริจาคให้กับศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ จ.ศรีสะเกษ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ
นอกจากนี้ สมาคมคนพิการ จ.ศรีสะเกษ (องค์กรสาธารณประโยชน์) นำเอาสิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภคมาบริจาคด้วยเช่นกัน ซึ่งตนต้องขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ได้นำเอาสิ่งของมาบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ ในครั้งนี้
แบงก์เล็ก ดอดขึ้นดอกเบี้ยฝาก-กู้ ลุ้นขยับอีกรอบหลังประชุม กนง.เดือนหน้า
https://www.prachachat.net/finance/news-1089674
ธนาคารขนาดกลางและเล็กตบเท้าปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินฝาก-เงินกู้ตามหลังธนาคารขนาดใหญ่ แจงปรับดอกเบี้ยขึ้นกับโครงสร้างต้นทุน-พอร์ตสินเชื่อ แบงก์ใหญ่เน้นขึ้น MOR-MLR เหตุมีฐานลูกค้ารายใหญ่เยอะ และที่ผ่านมาได้ดอกเบี้ยต่ำกว่าปกติ ส่วนแบงก์เล็กขยับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้รายย่อยยกแผง แบงก์ยูโอบี MRR แตะ 7.75% ต่อปี “ทิสโก้” จับตาประชุม กนง.รอบสุดท้ายเดือน พ.ย.นี้ ลุ้นดอกเบี้ยขยับอีกรอบ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเอกฉันท์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.25% ต่อปี จาก 0.75% ต่อปี เป็น 1.00% ต่อปี โดยเมื่อวันที่ 28 กันยายนที่ผ่านมา ส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ โดยส่วนใหญ่ปรับขึ้นเงินฝากประจำเฉลี่ย 0.10-0.50% ต่อปี และคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้รายย่อยชั้นดี (MRR) มีเพียงธนาคารกรุงเทพที่ปรับขึ้นเฉลี่ย 0.30% ต่อปี
ส่วนดอกเบี้ยเงินกู้รายใหญ่ชั้นดีแบบมีระยะเวลา (MLR) และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชี (MOR) ปรับขึ้นอัตราเฉลี่ยอยู่ที่ 0.25% ต่อปี
โดยปัจจุบันธนาคารกรุงเทพมีอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR อยู่ที่ 5.65%, MOR 6.25%, MRR 6.25% ส่วนธนาคารกสิกรไทย MLR 5.72%, MOR 6.09% และ MRR 5.97% เป็นต้น
แบงก์เล็กทยอยขึ้นดอกเบี้ย
และล่าสุด ธนาคารขนาดกลางและเล็กได้ทยอยปรับอัตราดอกเบี้ยตามธนาคารขนาดใหญ่ไปแล้วบางแห่ง เช่น ธนาคารยูโอบี ปรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากเฉลี่ยอยู่ที่ 0.15% และปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR จาก 6.60% เป็น 7.00% ต่อปี อัตราดอกเบี้ย MOR จาก 6.80% เป็น 7.20% ต่อปี และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้รายย่อย MRR จาก 7.35% เป็น 7.75% ต่อปี ขณะที่ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ปรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากเฉลี่ย 0.50% ต่อปี และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เฉลี่ย 0.40% ต่อปี
ด้านธนาคารทิสโก้ ปรับดอกเบี้ยเงินกู้เฉลี่ย 0.25% โดยดอกเบี้ย MLR จาก 6.45% เป็น 6.70% ต่อปี ดอกเบี้ย MOR จาก 6.45% เป็น 6.7% ต่อปี และดอกเบี้ย MRR จาก 6.725% เป็น 6.95% ต่อปี ขณะที่เงินฝากประจำปรับขึ้นเฉลี่ย 0.20-0.50% ต่อปี ฝากประจำธรรมดา 0.25-1.05% ปรับเป็น 0.25-1.25% ต่อปี และฝากประจำพิเศษ 1.30-1.40% ปรับเป็น 1.30-1.80% ต่อปี
ส่วนธนาคารเกียรตินาคินภัทร ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากเฉลี่ย 0.25% และดอกเบี้ยเงินกู้ MLR ปรับจาก 6.525% เป็น 6.775% ต่อปี ดอกเบี้ย MOR ปรับจาก 6.45% เป็น 6.70% ต่อปี และดอกเบี้ย MRR ปรับจาก 6.65% เป็น 6.85% ต่อปี
ทิสโก้ขึ้นดอกเงินฝาก 0.50%
นายศักดิ์ชัย พีชะพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มทิสโก้ เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า หลังจาก กนง.ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปีครั้งล่าสุด และธนาคารใหญ่ทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ย ธนาคารทิสโก้ก็ได้ปรับอัตราดอกเบี้ยตามทั้งในฝั่งขาเงินฝากและเงินกู้ โดยปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เฉลี่ย 0.25% ต่อปี และเงินฝากประจำขึ้นเฉลี่ย 0.20-0.50% ต่อปี
สำหรับแนวโน้มดอกเบี้ยระยะข้างหน้าในการประชุมรอบสุดท้ายเดือนพฤศจิกายน ธนาคารทิสโก้ รวมถึงธนาคารขนาดกลางและเล็กก็ยังคงต้องรอดูสัญญาณ กนง.และธนาคารขนาดใหญ่ เพราะธนาคารขนาดใหญ่จะมีบทบาทดอกเบี้ยในตลาดค่อนข้างมาก หากมีธนาคารปรับขึ้น 2-3 แห่ง ธนาคารทิสโก้ก็คงต้องทบทวนดอกเบี้ย
อย่างไรก็ดี เชื่อว่าทุกธนาคารไม่อยากปรับขึ้นดอกเบี้ยในภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวเปราะบาง ซึ่งจะกระทบต่อต้นทุนของลูกค้าที่ยังไม่ฟื้นตัว ทำให้แต่ละธนาคารจะต้องมีการบริหารจัดการต้นทุนให้สมดุล และดูแลลูกค้าที่ยังเปราะบางไปพร้อม ๆ กัน
“เราได้ประกาศปรับขึ้นดอกเบี้ยผ่านเว็บไซต์ธนาคารเมื่อวันที่ 3 ต.ค.ที่ผ่านมา หลังจากแบงก์ใหญ่ทยอยขึ้น เพราะต้องยอมรับว่า กนง.ปรับขึ้นดอกเบี้ยแต่ละครั้งได้สะท้อนไปยังต้นทุนเงินฝากและเงินกู้ระยะสั้นไปแล้ว ซึ่งการพิจารณาในรอบถัดไปคงต้องดูแบงก์ใหญ่”
ลุ้นปลายปีปรับ ดอกเบี้ยอีกระลอก
แหล่งข่าวจากสถาบันการเงิน เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า แนวทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก-เงินกู้ของธนาคารพาณิชย์เล็ก น่าจะแตกต่างจากธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ เนื่องจากโครงสร้างต้นทุนและพอร์ตสินเชื่อมีความแตกต่างกัน ประกอบกับต้องรอดูทิศทางธนาคารพาณิชย์ใหญ่ปรับขึ้นดอกเบี้ยก่อนจึงจะทยอยปรับขึ้นตาม เพื่อรักษาฐานลูกค้าและเงินฝากรวมถึงบริหารต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไปก่อนหน้าให้สมดุล
โดยจะเห็นว่าธนาคารยูโอบีและธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย มีพอร์ตสินเชื่อที่อยู่อาศัยค่อนข้างเยอะ ซึ่งสินเชื่อบ้านเป็นสินเชื่อที่มีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (มาร์จิ้น) ค่อนข้างบาง ทำให้มีความจำเป็นต้องปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้รายย่อยสูงกว่า เนื่องจากต้นทุนไม่เหมือนกัน เมื่อเทียบกับธนาคารทิสโก้และเกียรตินาคินภัทรที่พอร์ตสินเชื่อส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อเช่าซื้อที่คิดอัตราดอกเบี้ยคงที่
ขณะที่ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ จะมีสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) และธุรกิจขนาดใหญ่ค่อนข้างมาก ซึ่งที่ผ่านมาดอกเบี้ยกลุ่มนี้จะต่ำกว่าเป็นจริงค่อนข้างมาก ส่งผลให้รอบนี้ธนาคารขนาดใหญ่ทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยกลุ่ม MOR และ MLR โดยที่คงอัตราดอกเบี้ยรายย่อย MRR ไว้ ส่วนเงินฝากจะขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากประจำเท่านั้น
“การปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้โดยปกติจะต้องขึ้นในสัดส่วนเท่า ๆ กัน แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับโครงสร้างธุรกิจและพอร์ตสินเชื่อของแต่ละธนาคาร และหากมองไปข้างหน้าการประชุมวันที่ 30 พ.ย.นี้ คณะกรรมการ กนง.ปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% ต่อปี คาดว่าแบงก์ก็คงต้องขยับดอกเบี้ยขึ้นอีกครั้ง เช่น LH BANK ที่ยังไม่ได้มีการปรับดอกเบี้ยครั้งหน้าก็คงน่าจะอั้นไม่ไหว”