นักศึกษา(กำลังจะ)จบใหม่ แต่ท้อแท้และหวาดกลัวที่จะหางาน ทำไงดี...

ผมเป็นนักศึกษาที่กำลังจะเรียนจบครับ แต่ยิ่งเรียนก็ยิ่งรู้ว่าไม่อยากทำงานสายที่เรียน มันเป็นแบบเราเรียนเพราะเราอยากรู้ แต่ยิ่งทำ ยิ่งรู้ว่า ไม่อยากให้มันเป็นงาน เพราะนิสัยเรามันไม่เหมาะกับงานสายนี้ เลยไม่อยากทำงานในตำแหน่งที่เรียนมาน่ะครับ

แต่ว่าพอจะหางานดู เรากลับไม่รู้ด้วยซ้ำว่า การหางานต้องทำอย่างไร? มีงานอะไรบ้างบนโลกนี้? 
แล้วผมกำลังจะเรียนจบ เลยเริ่มรู้สึกกดดันว่า "ต้องหางานด่วนๆ" แต่ผมกลับไม่รู้ด้วยซ้ำว่า "จะหางานอะไรดี" "หางานยังไงดี"

ผมลองไปฝึกงานตามสายที่เรียนมาแล้ว แต่มันจิตตกจนฝึกงานต่อไม่ไหว(ที่ฝึกงานไม่ผิดนะครับ แค่เหมือนจิตใจผมมันไม่ไหวมากกว่า) เลยไปปรึกษากับพี่นักจิตวิทยา เขาบอกว่าเป็นอาการที่ไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ๆ ได้ ทางแก้มีแต่ต้องลุยแล้วให้เวลามันแก้ไข จนกว่าเราจะชินน่ะครับ
แต่ผมกลัวการไปทำงานแล้วจิตตกเหมือนตอนไปฝึกงาน ตอนนี้ก็เลยเคว้งคว้าง ไม่กล้าทำงานตรงสาย แต่ก็ไม่รู้จะทำงานอะไรดี หางานอะไรดี
ยิ่งคิดยิ่งกังวลยิ่งท้อแท้ มันเป็นปัญหาที่ ถ้าใช้ความกล้า น่าจะผ่านไปได้ แต่พอผ่านมาได้ สภาพใจผมน่าจะเละแล้วไม่อยู่ในสภาพดี เลยไม่อยากใช้ทางนี้น่ะครับ

ตอนนี้แค่ได้ยินใครพูดถึงเรื่อง อาชีพในอนาคต การสมัครงาน การทำResume การสัมภาษณ์งาน การหางาน ผมก็อยากจะร้องไห้แล้วครับ มันรู้สึกเหมือนอนาคตมันมืดมนหาทางไม่เจอแต่เราต้องก้าวต่อไป ไม่รู้จะหาเงินยังไงดี

โดยสรุปๆ คือ
- ผมกลัวที่จะหางาน แล้วไม่รู้จะหางานยังไงครับ
-ปกติเขาหางานกันยังไงเหรอครับ
-พวก Part-time ตามร้านต่างๆ นี่ เขาทำกันยังไง+ สมัครยังไงเหรอครับ?
-เวลาจะทำงานที่ไม่ตรงสายนี่ เขาเริ่มกันยังไง?
-มีแนะนำพวกงานที่ทำที่บ้านได้บ้างไหมครับ ถ้าเป็นไปได้ อยากติดต่อกับผู้คนให้น้อยที่สุด

ปล. ลืมบอกว่า ผมเป็นนักศึกษาที่มีความถนัดแนววาดรูปสไตล์อนิเมะครับ แต่ฝีมือไม่ได้ดี แล้วก็ไม่กล้ารับคอมมิชชั่นด้วย เพราะหวาดกลัวการทำงานครับ

คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 4
ผมว่า จขกท. ไม่ได้หวากกลัวการทำงานหรอกครับ แต่คุณหวาดกลัว "ใจตัวเอง" มากกว่า ...

อาการที่คุณกำลังเป็นอยู่ ผมเรียกมันว่า คุณยัง "ไม่ทะลุตัวเอง" ครับ หมายถึง ถ้าคุณสังเกตดูดีๆ คุณจะพบว่าเรื่องงานที่คุณกลัวน่ะ มันล้วนเป็นการกลัวที่เกิดจากการตั้งข้อแม้และเงื่อนไขมาลิมิตตัวเองทั้งสิ้น ที่มันเกิดการลิมิตตัวเองขึ้นมา อาจเป็นเพราะคุณอาจเคยพยายามเดินในเส้นทางนั้นมาก่อน แล้วพบว่าได้รับประสบการณ์ที่ไม่ดีหรือไม่ชอบ หรือรู้สึกไม่มีความสุข หรือผิดคาดไม่เป็นไปอย่างที่หวังไว้ ใจคุณก็เลยตั้งกำแพงขึ้นมาชุดนึงเพื่อคอยลิมิตตัวเองว่า ต่อไปในเมื่อไหร่ก้ตามที่เดินไปเจอชุดคำที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านั้น สมองจะทำการตั้งกำแพงขึ้นมาลิมิตตัวเองไม่ให้คุณรู้สึกเจ็บเพราะไปโดนประสบการณ์แบบเดิมซ้ำอีก ซึ่งมันก็คือกลไกการปกป้องตนเองทางจิตตามธรรมชาติอย่างนึงครับ ซึ่งไม่ได้มีอะไรผิดนะ เพียงแต่ว่าถ้าคุณไม่สามารถควบคุมไม่ได้ว่าเมื่อไหร่ควรจะตั้งกำแพง และเมื่อไหร่ควรจะลดกำแพงลง ปล่อยให้จิตใต้สำนึกทำงานโดยอัตโนมัติไปเรื่อยๆ คุณก็จะยังติดกับปัญหาแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆครับ

ทางแก้ก็คือ คุณต้องฝึกที่จะควบคุมกลไกปกป้องทางจิตของตัวเองให้ได้ก่อนมันทำงานเองอัตโนมัติครับ หลายคนใช้วิธีทำสมาธิเข้าช่วย บางคนใช้วิธีเจริญสติเพื่อให้เราตื่นรู้อยู่ตลอดเวลา เพราะเมื่อมีสติแปลว่าเราเป็นคนควบคุมจิตตนเองแบบ 100% และอีกหลายๆคนก็อาจมีวิธีอื่นๆตามแต่ความถนัดของตนเองครับ เอาเป็นว่าถ้าคุณจับจุดตรงนี้และเอาชนะกลไกตรงนี้ได้เมื่อไหร่ และสามารถควบคุมจิตตัวเองได้เหมาะสมกับสถานการณ์และความต้องการของตัวเองดีพอ คุณก็จะไม่มีกำแพงในใจมาลิมิตตัวเองให้กลัวสิ่งต่างๆซึ่งจะกลายเป็นเครื่องกีดขวางระหว่างคุณกับโอกาสในการเรียนรู้และเติบโต (ผมไม่ได้หมายถึงแค่การเติบโตในทางประสบการณ์ทำงานนะ แต่หมายถึงการเติบโตในความเป็นมนุษย์ รวมไปถึงการเติบโตทางอื่นๆอีกด้วย)

ที่คุณควรคิดตอนนี้ไม่ใช่วิธีหรือรายละเอียดว่าจะหางานยังไง หรือ งาน Part-time ดีมั๊ย แต่คุณควรหันกลับมาคุยกับตัวเองให้ทะลุเสียก่อน เพราะถ้าคุณยังผ่านด่านสำคัญในการดำเนินชีวิตไม่ได้ (ซึ่งก็คือ "การเข้าใจตัวเองอย่างทะลุปรุโปร่ง") ต่อให้เรียนเก่งแค่ไหน ก็ถือว่าคุณยังไม่อยู่ในข่ายที่พร้อมจะก้าวสู่โลกของอาชีพการงาน เพราะคุณจะให้คนอื่นมาวางใจได้อย่างไรว่าถ้าเขาจ้างคุณทำงานแล้ว คุณจะโอเคและคุ้มค่าต่องานของเขา ถ้าแค่ขนาดตัวเองคุณยังเข้าใจไม่หมด แล้วการจะไปทำงาน ซึ่งคือการไปทำความเข้าใจคนอื่นเพื่อแก้ไขปัญหาให้คนอื่น คุณจะไปการันตีความสำเร็จให้เขาได้อย่างไร จริงมั๊ยครับ ? (นี่แหละคือเหตุผลอย่างนึงว่าทำไมเด็กฝรั่งพอจบ high school แล้วเขาถึงมี gap year ไม่เรียนต่อทันทีเหมือนคนไทย ก็เพราะว่าเขาจะใช้เวลาตรงนี้ออกไปค้นหาและทำความเข้าใจชีวิตตัวเอง ว่าเขาคือใครและต้องการให้ชีวิตเป็นอย่างไรต่อไปนับจากนี้)

และถ้าหากคุณรู้สึกว่าการพยายามทะลุตัวเองแบบรวดเดียวจบมันยากเกินไป ผมแนะนำว่าลองเริ่มจากอะไรเล็กๆน้อยๆที่คุณทำแล้วสบายใจก่อนก็ได้ เช่นการวาดภาพสไตล์อนิเมะก็ได้ครับ ถึงคุณจะบอกว่าฝีมือไม่ได้ดีอะไรนัก แต่ถ้าคุณทำแล้วมีความสุข งั้นคุณลองไปกับมันให้สุดไปให้ลึกกว่าเดิมดูสักหน่อยมั๊ย แล้วลองตั้งเป้าหมาย ตั้งเวลาสักระยะว่า ถ้าสมมติใช้เวลาสัก 1 เดือน หรือ 3 เดือน หรือเท่าไหร่ก็ตามแล้วแต่คุณจะกำหนด คุณอยากจะพัฒนาฝีมือการวาดภาพให้ไปถึงในระดับไหน อาจจะตั้งเป้าด้วยการส่งประกวด หรือ พยายามทำผลงานออกมาเป็นชิ้นงานให้สำเร็จ เป็นต้น โดยเป้าหมายหลักคือ เพื่อจะดูว่า 1.คุณ enjoy กับสิ่งนี้มากแค่ไหนระหว่างทางที่ทำ และ 2.เมื่อถึงปลายทางแล้วคุณอยากทำมันต่อมั๊ย ถ้าผลลัพธ์ออกมาในทางบวกทั้ง 2 คำถาม คุณอาจค้นพบสิ่งที่ใช่สำหรับตัวเอง และพบทางเดินที่ใช่ก็ได้ ดีกว่าไปนั่งคิดหาวิธีสมัครงานให้หัวแตก (เพราะผมเคยทำมาแล้ว ไอ้มัวแต่หาวิธีสมัครงานน่ะ หาเป็นปีก็ยังไม่ได้งานครับ) ซึ่งคุณจะใช้แนวทางนี้กับกิจกรรมอะไรก็ได้ครับ ขอแค่คุณรู้สึกอย่างลองกับมันสักตั้งก็พอ ทำไปเรื่อยๆ ลองไปเรื่อยๆ ใช่ก็ทำต่อ ไม่ใช่ก็แค่เลิก (และถ้าทำแล้วไม่ใช่ มันก็ไม่ได้แปลว่าเสียเวลา แต่แปลว่าเราค้นพบทางที่ไม่ใช่เพิ่มอีก 1 ทาง)

ไม่แน่นะ บางทีถ้าคุณเข้าใจที่ผมบอกทั้งหมด แล้วคุณกลับไปอ่านที่คุณเขียนใหม่ทั้งหมดอีกที คุณอาจพบว่าคุณมีมุมมองที่เปลี่ยนไปก็ได้ "ถ้าเดินตรงๆบนถนนไม่ได้ ก็ลองออกไปเดินข้างทางบ้างก็ได้ครับ เพราะสุดท้ายแล้วมันก็คือการเดินไปข้างหน้าเหมือนกันอยู่ดี" ...
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่