JJNY : 5in1 ทักษิณเผยได้กลับไทย│ชูวิทย์ยกกรณี“แอ๊ด-โน้ส”│เตือนพายุลูกใหม่│ผวาบราซิลทวงคำตอบ│เกาหลีใต้จับ 4 คนไทยนำเข้ายา

“ทักษิณ” เผย วินาทีแรกได้กลับไทยขออยู่กับหลาน หลังจากบ้านเกิด 16 ปี (ชมคลิป)
https://www.nationtv.tv/news/politics/378889664
 
 
“ทักษิณ” เผย วินาทีแรกได้กลับไทยขออยู่กับหลาน หลังจากบ้านเกิด 16 ปี แจง ความหมายนรก-สวรรค์ในชาติเดียว เคยผ่านความล้มเหลวจนประสบความสำเร็จ แนะ สูตรดับเครียด ต้องอดทน ทุกปัญหาคือความท้าทาย

16 ตุลาคม 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ในงานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 27 ที่บูธ i39 วานนี้( 15 ต.ค.) หลังเกิดเหตุการณ์บูธแตก เมื่ออดีตนายกรัฐมนตรี นายทักษิณ ชินวัตร ได้พบปะทักทายผู้ที่ซื้อหนังสือ Thaksin Shinnawatra Theory and Thought โดย ช่วงท้ายของการพบปะ พูดคุยแล้วพร้อมแจกลายเซ็นต์ให้กับผู้ที่ซื้อหนังสือ 
 
นายทักษิณ ได้ตอบคำถามถึงข้อความที่ได้ทวีตผ่าน @ThaksinLive ถึงการได้เห็นนรกและสวรรค์ในชาติเดียวกันว่า
  
“นรกคือความลำบาก ความล้มเหลว ความที่มันสิ้นหวังบางครั้ง แต่ก็ผ่านมาได้ พอผ่านมาแล้วพอสำเร็จก็เหมือนขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ให้ได้ในชาติเดียวกัน จากคนที่ไม่น่าจะรอดแต่กลายเป็นเศรษฐีได้ ตอนผมทำธุรกิจจะลำบากต้องแลกเช็ค ต้องจำนำโน่นจำนำนี่ ต้องโดนหมายจับต้องขึ้นไปศาลช่วงนั้นเหมือนอยู่ในนรก”
   
เมื่อถามถึงวิธีที่ทำให้หายเครียดในช่วงที่เจอกับนรก นายทักษิณ กล่าวว่า 
  
“อดทนและใช้สติปัญญาอย่าไปเศร้าสร้อย เราต้องถือปัญหาที่เราเผชิญคือความท้าทาย ถ้าเรามองปัญหาเป็นปัญหาเราจะเครียดกับมัน ถ้าเรามองปัญหาเป็นความท้าทายเราจะมียุทธศาสตร์ที่จะสู้ ถ้าเราไม่มียุทธศาสตร์ก็จะชนะยาก”
  
ถามย้ำว่า ถ้ามีโอกาสได้กลับมาประเทศไทยวินาทีแรกที่ท่านอยากจะทำคืออะไร นายทักษิณ กล่าวว่า
  
“ของผมตั้งใจจะไปเลี้ยงหลาน คงอยู่กับหลาน ที่เหลือก็ให้คำปรึกษา ใครอยากให้เป็นอาจารย์ก็ได้หมด แต่ส่วนใหญ่จะใช้เวลาอยู่กับหลาน เพราะ 16 ปีแล้วอยู่เมืองนอก”
  
https://www.dailymotion.com/video/x8ekij8
 


ชูวิทย์ ยกกรณี “แอ๊ด คาราบาว-โน้ส อุดม” สะท้อนสังคมไทยราชการเป็นใหญ่
https://www.matichon.co.th/politics/news_3621391
  
ชูวิทย์ ยกกรณี “แอ๊ด คาราบาว-โน้ส อุดม” สะท้อนสังคมไทยราชการเป็นใหญ่
 
จากกรณี เกิดประเด็นดรามาของศิลปินรุ่นใหญ่อย่าง “แอ๊ด คาราบาว” ด่ากราด ท้าผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี มาเคลียร์บนเวที เพราะเข้าใจผิดว่าอีกฝ่ายสั่งห้ามเล่นคอนเสิร์ตในงานอนุสรณ์ดอนเจดีย์ จ.สุพรรณบุรี ก่อนจะออกมาโพสต์ขอโทษ หลังทางผู้ว่าฯ ชี้แจงว่านักร้องดังมีการเข้าใจผิด ยอมรับว่าเป็นอารมณ์ชั่ววูบ ขาดสติไป และพร้อมอ้าแขนรับความผิดด้านคดีความ
 
ทั้งนี้ล่าสุด เมื่อวันที่ 15 ต.ค. นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวว่า 
 
พี่แอ๊ดน่าจะทราบ ประเทศไทยเป็นระบบ “ราชการเป็นใหญ่” ศิลปินอย่างพี่แอ๊ดหากวิพากษ์วิจารณ์บนพื้นฐานข้อเท็จจริง ก็ไม่ต้องมานั่งขอโทษขอโพยสำนึกผิด
 
ดูอย่าง โน๊ส อุดม หากไปอยู่เมืองนอกเมืองนา เขายกย่อง เพราะกล้าพูดอย่างตรงไปตรงมา แต่พออยู่เมืองไทย ทั้งรัฐบาล ทั้งกองเชียร์ ออกมาดิ้นพล่านปกป้อง
 
ไม่ได้ชื่นชมว่าเมืองนอกดีกว่าเรา เพียงแต่อยู่เมืองไทยพูดความจริงแล้วมันอึดอัด ต้องเกรงใจเจ้าที่เจ้าทาง
 
อิสรภาพของการพูดด้วยความจริง ควรน่าได้รับความนับถือ ยิ่งพูดออกมาจากปากของศิลปินที่คนติดตามจำนวนมาก
 
มันเป็นการสะท้อนถึงสังคมที่บิดเบี้ยว ดีกว่าไปดูจำอวดลิ่วล้อการเมือง มันน่าเบื่อจะตายไป อย่างน้อยยังให้ชาวบ้านได้หัวเราะออกมาบ้างในภาวะน้ำท่วมบ้านนอกอย่างนี้ 
 
https://www.facebook.com/ChuvitKamolvisit/posts/667157054775778
  


กรมอุตุฯ ออกประกาศฉบับที่ 1 เตือนพายุลูกใหม่ 'เนสาท' มีแนวโน้มทวีกำลังแรงขึ้น
https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_7318770
 
กรมอุตุฯ ออกประกาศฉบับที่ 1 เตือนพายุลูกใหม่ ‘เนสาท’ ศูนย์กลางอยู่บริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน มีแนวโน้มทวีกำลังแรงขึ้น เป็นพายุไต้ฝุ่นในระยะต่อไป
  
เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 16 ต.ค.65 ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา “พายุ เนสาท” ฉบับที่ 1 ลงวันที่ 16 ตุลาคม 2565 พายุโซนร้อนกำลังแรง “เนสาท” มีศูนย์กลางอยู่บริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน หรือที่ละติจูด 19.7 องศาเหนือ ลองจิจูด 119.9 องศาตะวันออก ความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง กำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกด้วยความเร็วประมาณ 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
 
พายุนี้มีแนวโน้มจะทวีกำลังขึ้นเป็นพายุไต้ฝุ่นในระยะต่อไป โดยเคลื่อนผ่านตอนใต้ของเกาะไหหลำ ประเทศจีน และเคลื่อนเข้าใกล้ชายฝั่งประเทศเวียดนามตอนบนในช่วงวันที่ 19-20 ต.ค. 65 นี้ ในขณะที่บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังค่อนข้างแรงจากประเทศจีนยังคงปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้ ลักษณะเช่นนี้จะทำให้พายุอ่อนกำลังลงตามลำดับอย่างรวดเร็ว
 
อนึ่งในช่วงวันที่ 17-21 ตุลาคม 2565 ลมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามันและภาคใต้จะมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้มีฝนตกหนักถึงหนักมาก สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น โดยทะเลอันดามันมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ส่วนอ่าวไทยตอนล่าง ห่างฝั่งมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร
 
ขอให้ประชาชนบริเวณภาคใต้ระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากไว้ด้วย สำหรับชายฝั่งภาคใต้ฝั่งตะวันตกให้ระวังอันตรายจากคลื่นลมแรงที่ซัดเข้าหาฝั่ง ชาวเรือระมัดระวังอันตรายในการเดินเรือและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณฝนฟ้าคะนอง เรือเล็กบริเวณทะเลอันดามันควรงดออกจากฝั่งในช่วงวันที่ 17-21 ตุลาคม 2565 จึงขอให้ประชาชนติดตามประกาศจากกรมอุตุนิยมวิทยา และสามารถติดตามข้อมูลที่เว็บไซต์กรมอุตุนิยมวิทยา http://www.tmd.go.th หรือสายด่วนพยากรณ์อากาศ 1182 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง


 
ผวาบราซิลทวงคำตอบ ไทยแก้อุดหนุนน้ำตาล เอกชนทำการบ้าน ยกทัพพร้อมแจง พ.ย.นี้
https://www.thansettakij.com/business/trade-agriculture/543983

เอกชนทำการบ้านหนัก ผวาบราซิลทวงคำตอบ ไทยแก้อุดหนุนน้ำตาล พร้อมแจงในเวทีประชุมกลุ่มพันธมิตรน้ำตาลโลกที่ลอนดอน พ.ย.นี้ ยกไฮไลท์ไทยแก้ไข พ.ร.บ.อ้อยฯ แล้ว รัฐเลิกแทรกแซงกองทุนน้ำตาลฯ โรงงานยอมรับ กังวลกฎหมายใหม่ยังซ่อนการอุดหนุนอื้อ หวั่นบราซิลไปต่อ ฟ้องตอบโต้การค้า
 
ปกติในทุกปีจะมีการประชุมกลุ่มพันธมิตรน้ำตาลโลกเพื่อการปฏิรูปและการเปิดเสรีการค้าน้ำตาล หรือ GSA ที่มีสมาชิก 13 ประเทศ แต่จะมีผู้เข้าร่วมจริง 7-8 ประเทศ ที่เป็นผู้ผลิตและส่งออกน้ำตาลรายใหญ่ของโลก อาทิ บราซิล อินเดีย ไทย ออสเตรเลีย กัวเตมาลา โคลัมเบีย แคนาดา ฮอนดูรัส แต่การประชุมกลุ่มนี้ได้ว่างเว้นมา 2 ปี จากสถานการณ์โควิดแพร่ระบาด
 
นายรังสิต เฮียงราช ผู้อำนวยการ บริษัท ไทยชูการ์ มิลเลอร์ จำกัด (TSMC) ในนามผู้อำนวยการ 3 สมาคมโรงงานน้ำตาลทราย เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า การประชุมกลุ่มพันธมิตรน้ำตาลโลกฯในปีนี้จะกลับมาอีกครั้งหลังโควิดคลี่คลาย โดยปีนี้มีออสเตรเลีย เป็นประธาน ซึ่งจะจัดขึ้น ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษในวันที่ 23-24 พฤศจิกายน
 
ทั้งนี้การประชุมดังกล่าว เป็นเวทีการประชุมของภาคเอกชน โดยในส่วนของไทยจะมีผู้บริหาร และกรรมการของบริษัท อ้อยและน้ำตาลไทย จำกัด (อนท.) รวมถึงประธาน และผู้อำนวยการ 3 สมาคมโรงงานน้ำตาลทรายเข้าร่วม
 
โดยในวันที่ 23 พฤศจิกายนนี้ กลุ่มพันธมิตรน้ำตาลโลกจะมีการหารือวาระการประชุม โดยหนึ่งในประเด็นสำคัญที่คาดจะมีการประชุมกันในครั้งนี้ (24 พ.ย.) คือ ความคืบหน้ากรณีที่บราซิล ออสเตรเลีย และกัวเตมาลาได้ยื่นฟ้องอินเดียต่อองค์การการค้าโลก (WTO) เรื่องการอุดหนุนผู้ผลิตอ้อยภายใน และอุดหนุนการส่งออกน้ำตาล (ในเบื้องต้นคณะผู้พิจารณาคดี (Panel) ของ WTO แจ้งผลตัดสินว่าขัดกับความตกลง WTO แต่อินเดียได้ยื่นอุทธรณ์ )
 
ส่วนในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับไทย คาดในที่ประชุมบราซิลจะมีการสอบถามถึงความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาของไทยหลังบราซิลฟ้องต่อ WTO ว่ารัฐบาลไทยให้การอุดหนุนภายในและอุดหนุนการส่งออกน้ำตาลมาตั้งแต่ปี 2559 ซึ่งไทยได้รับปากจะแก้ไขตามข้อเรียกร้องของบราซิลให้สอดคล้องกับกติกาและข้อผูกพันที่ให้ไว้ใน WTO ซึ่งที่ผ่านมาภาครัฐของไทยได้เจรจาและรายงานความคืบหน้าแก่บราซิลเป็นระยะ
  
 “หากทางบราซิลสอบถามเราในการประชุมครั้งนี้ ประเด็นไฮไลท์ที่ผู้แทนเอกชนฝ่ายไทยจะช่วยกันชี้แจงเพื่อแก้ต่าง อาทิ เวลานี้ร่าง พ.ร.บ.อ้อยและน้ำตาลทรายฉบับใหม่ของไทยมีความคืบหน้าโดยได้ผ่านความเห็นชอบจากทั้ง 2 สภา คือ สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภาแล้ว รอเพียงขั้นตอนของการประกาศใช้เท่านั้น นอกจากนี้ยังมีการยกเลิกโควตาน้ำตาลที่แบ่งเป็นโควตา ก. ข. และ ค. แล้ว ราคาน้ำตาลทรายในประเทศก็ปล่อยลอยตัวแล้ว ขณะที่ราคาส่งออกน้ำตาลก็ปล่อยตามราคาตลาดแล้ว”
 
ขณะเดียวกันในเรื่องกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายใน พ.ร.บ.อ้อยฯฉบับเดิม (ปี 2527) ที่กำหนดให้การกู้เงินของกองทุนฯเพื่อมาชดเชยส่วนต่างระหว่างราคาอ้อยขั้นสุดท้ายกับราคาอ้อยขั้นต้นให้กับโรงงาน กรณีโรงงานจ่ายราคาอ้อยขั้นต้นไปแล้ว แต่ราคาขั้นสุดท้ายต่ำกว่าราคาขั้นต้น กองทุนฯ ต้องชดเชยส่วนต่างให้กับโรงงาน โดยหากกองทุนฯไม่มีเงินอาจต้องกู้ยืมจากสถาบันการเงินมาจ่าย แต่ภายใต้ พ.ร.บ.อ้อยฯเดิมกำหนดให้ต้องได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) แต่ในพ.ร.บ. อ้อยฯ ฉบับใหม่ได้ตัดคำว่า “โดยการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี” ที่ถูกมองว่ารัฐเข้ามาแทรกแซง หรือค้ำประกันโดยรัฐออกไปแล้ว
  
ทั้งนี้แนวทางคำตอบของฝ่ายไทยจะเป็นพอใจทางบราซิลหรือไม่ ยังไม่สามารถคาเดาได้ คงต้องติดตามต่อไป หากพอใจอาจนำไปสู่การเจรจาเพื่อยุติการฟ้องร้องไทย แต่หากยังไม่เป็นที่พอใจก็อาจนำไปสู่การร้องให้ WTO ตั้งคณะกรรมการวินิจฉัยข้อพิพาทมาตัดสินคดีกับไทยได้เช่นกัน
 
ด้าน นายนพพร ว่องวัฒนะสิน ประธานกรรมการฝ่ายปฏิบัติการ กลุ่มน้ำตาลไทย กล่าวว่า จาก พ.ร.บ.อ้อยและน้ำตาลทรายฉบับใหม่แก้ไขเพิ่มเติม ที่เตรียมประกาศใช้ แม้ภายนอกจะดูสอดคล้องกับข้อเสนอของบราซิลในการยกเลิกการอุดหนุน แต่ที่ห่วงคือระเบียบกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ภายใต้ พ.ร.บ.ระบุที่ให้ปฏิบัติตามยังเข้าข่ายเป็นการอุดหนุนโดยรัฐบาลซ่อนอยู่เป็นจำนวนมาก
 
โดยจากที่คณะวิจัยจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(ทีดีอาร์ไอ) ได้เปิดเผยในรายละเอียดของผลศึกษาในแต่มาตราของ พ.ร.บ.ออกมาแล้ว โดยได้แสดงความกังวลว่า ยังมีการอุดหนุนไม่แตกต่างจากเดิมมากนัก และความเห็นต่าง ๆ ของคณะผู้วิจัย ก็ได้นำเผยแพร่ต่อสาธารณะทางเว็บไซต์แล้ว หากบราซิลใช้ข้อมูลนี้ฟ้องไทย เพื่อให้ WTO ตั้งกรรมการขึ้นมาตัดสินคดี เรื่องจะยืดเยื้อ และอาจนำไปสู่การตอบโต้ทางการค้าจากบราซิลในที่สุดได้ ดังนั้นทางผู้ผลิตและส่งออกน้ำตาลทรายขอให้มีการแก้ไขกฎหมายให้สอดคล้องกับข้อตกลงการค้าภายใต้กรอบกติกาของ WTO เพื่อนำสู่ระบบเสรีจะปลอดภัยที่สุด
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่