iPhone 14 Pro Max และ iPhone 14 Pro ได้เปิดตัวด้วยหน้าตาที่เหมือนเดิมปรับเล็กน้อย แต่ส่วนที่เปลี่ยนมากที่สุดคือ ด้านหน้าจอที่เปลี่ยนจากติ่ง เป็น แบบหน้าจอเจาะรู หรือ Apple เรียกให้แตกต่างว่า Dynamic Island นั้นเอง ซึ่งเป็นการเอา จุดด้อยของมือถือ มาทำให้มันมีอะไรมากกว่านั้น แม้ทางฝั่ง Android หลายๆค่ายจะทำหน้าจอเจาะรูมานานแล้ว จนไปกล้องใต้หน้าจอกันแล้วก็ตาม และมีขนาดเจาะรูเล็กกว่าก็ตาม แต่ทาง Apple เองก็พยายามทำให้หน้าจอเจาะรูของตัวเอง มีฟีเจอร์การใช้งาน สามารถสัมผัส แตะ สั่งงาน แจ้งเตือนได้ให้มันดูไม่เกะกะ แต่สุดท้ายมันจะเกะกะไหม หรือ ใช้งานเป็นยังไง และ ในเรื่องกล้องที่ปรับเปลี่ยนมาแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน รวมถึงภาพรวมมันควรเปลี่ยนจริงๆไหมถ้ามาจาก iPhone 13 Pro Max ที่แตกต่างน้อยมากๆ และ สเปกไม่ได้หนีกัน
iPhone 14 Pro Max มาพร้อมกับ หน้าจอ OLED Super Retina XDR ขนาด 6.7 นิ้ว ความสว่างสูงสุด 1200 nits, HDR, True Tone, เคลือบ Ceramic Shield สว่างขึ้นกว่าเดิม และใช้งาน ชิปประมวลผล A16 Bionic RAM 6GB ใช้งาน iOS 16 และ ใช้งานกล้องที่ดีขึ้น ทั้งเลนส์หลัก และ มุมกว้าง ส่วนเทเลตัวเดิม มาพร้อมกับ กล้องหลัง เลนส์กว้าง 48MP (f/1.78 ), เลนส์ 7P lens, OIS, Telephoto 2x, ถ่ายวิดีโอรองรับ HDR และ Dolby Vision สูงสุด 4K 60 fps, กล้อง Ultra Wide 120 องศา 12MP (f/2.2), เลนส์ 6P กล้อง Telephoto 3x 12MP (ƒ/2.8 ), OIS, และ พัฒนากล้องหน้า มี Autofocus แล้ว TrueDepth 12MP (ƒ/1.9), Autofocus พร้อม Focus Pixels และยังคงรองรับ FaceID, ลำโพง Stereo คู่เช่นเดิม ส่วนการชาร์จยังคงเท่าเดิมในตัวไร้สายรองรับ 15W MagSafe,แต่แบบสายจะได้ไวขึ้นเป็น Fast Charging 30W ครับในรุ่นนี้
สำหรับราคาในไทยก็มาพร้อมกับราคาเริ่ม 44,900 บาท และ ในรุ่นรีวิว 256GB ราคา 48,900 บาท ในสี Space Black นั้นเอง ซึ่งมันจะดำเข้ม และ ดุดันขึ้นกว่าสีดำก่อนหน้าครับ
UNBOX
ตัวกล่องยังคงมีความบางเบา เพราะว่าทาง Apple อยากจะรักษ์โลก รักษ์สิ่งแวดล้อมจึงไม่แถมอะไรมาให้เช่นเดิม ทั้งหูฟังที่หายไปหลายปีแล้ว และ Adaptor ชาร์จไฟก็หายไปแล้ว เนื่องจากต้องการลดทรัพยากรเหลือๆที่คนซื้อไปอาจจะไม่ได้ใช้งาน แต่สุดท้ายคนที่ไม่มีก็ต้องไปหาซื้อแยกที่จะมีทั้งกล่องแยกเพิ่มเติม ถุงแยกเพิ่มเติมเวลาไปซื้อก็ตามครับซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าจะต้องการรักษ์โลกอะไรยังไงนะ สุดท้ายหลายๆคนก็ต้องซื้อใหม่ เพราะหัว USB-C และ ชาร์จไวที่มันก็ปรับไปหลายๆรอบในแต่ละ 2-3 ปีก็ตามครับ แต่อย่างน้อยสายชาร์จก็ยังคงให้มาแม้จะเป็น Lighting ที่ความเร็วช้ามากๆ และพอร์ตแบบนี้ทำให้คนที่มีสาย iPad ก็ไม่สามารถใช้สายร่วมกันได้ หรือ แม้แต่บรรดา Android ก็ตาม ซึ่งส่วนตัวมองว่าถ้าอยากจะรักษ์โลกจริงๆ เปลี่ยนเป็น USB-C ซะที น่าจะช่วยจำนวนสายชาร์จได้เยอะมากกว่านะ
DESIGN
แน่นอนว่างานออกแบบ จ่ายเองเจ็บเองพูดกันตรงๆว่า ทีมออกแบบขี้เกียจทำงานใช่ไหม เพราะว่าเราจะเห็นการวาง Position กล้องแบบนี้ หน้าตาแบบนี้มา 4 ปีแล้ว ตั้งแต่ iPhone 11 ครับ ทำให้มันไม่มีความน่าตื่นเต้นในเรื่องงานออกแบบเลยในส่วนฝาหลัง รวมถึงการวางกล้อง จะมีแตกต่างกันแค่ ขอบเหลี่ยมบ้างจากรุ่นแรกๆ และ ขยายเลนส์กล้องใหญ่ขึ้นครับ แต่ภาพรวมเมื่อเทียบกับ 13 แทบไม่มีความต่างเลย ถ้าเป็นค่าย Android ออกแบบซ้ำกันแบบนี้ผมบอกเลยว่าโดนแซวเละ ส่วนวัสดุงานประกอบ ความเนียนของชิ้นงานผมว่า ค่าย Apple ทำได้สมราคามาเสมอ ไม่มี สีลอกแบบบางค่าย การทำสีบอดี้ของตัวเครื่องงานดี เงาสวยและแข็งแรงจุดนี้ขอชื่นชมค่ายนี้ทำมาได้ดีมาก
ทางด้านหน้าจอนั้นขนาด 6.7 นิ้วเหมือนเดิม แต่มีการเปลี่ยนงานออกแบบ สัดส่วนนิดๆทำให้เรื่องของฟิล์มอาจจะเปลี่ยนแปลงไป ทำให้ใช้กับรุ่นก่อนหน้าไม่ได้ครับ ส่วนขอบหน้าจอยังคงมีความบางพอๆกัน ไม่ได้บางขึ้นเท่าไรนะครับซึ่งตอนนี้ Android หลายๆค่ายทำได้บางกว่าไปบ้างแล้วเช่นกัน แต่ที่ชอบคือหน้าจอค่ายนี้ยังคงเป็นหน้าจอเรียบแบนไม่โค้งเลยแม้แต่น้อยทำให้การใช้งานจริง กันแตกได้ดี จับถือได้ง่าย และ ติดฟิล์มง่ายมากเช่นกันครับจุดนี้ถือว่าดีมาก
ด้านบนหน้าจอ DYNAMIC ISLAND ที่เป็นฟีเจอร์ชูโรงขนาดใหญ่ เกาะกลางหน้าจอที่มาพร้อมกับ เซนเซอร์สแกนใบหน้าแบบ 3 มิติ และ กล้องหน้าที่พัฒนาขึ้น ซึ่งจริงๆตัวหน้าจอเจาะรูแบ่งเป็น กล้อง และ เซนเซอร์แยกกันครับ คล้ายๆตัว i แต่ทาง Apple ถมดำทำให้มันเป็นเม็ดยาชิ้นเดียวกันนั้นเอง ซึ่งหลายๆคนก็ชอบ หรือ ไม่ชอบแล้วแต่ ส่วนที่รู้สึกได้ชัดเจนเลยว่ามันจะแอบใหญ่กว่ารุ่นก่อนหน้าเพราะกินพื้นที่ลงมาต่ำมากกว่าเดิมที่เป็นแบบติ่งหน้าจอนั้นแหละ
ส่วนขอบหน้าจอล่างเองนั้นชอบที่เค้าทำได้หนาเท่ากันทั้งหมด มันดูสมมาตรกันทั้งซ้าย ขวา บน แต่ถ้าสามารถพัฒนาได้บางมากกว่านี้ก็น่าจะยิ่งสวยขึ้น ส่วนการควบคุมแน่นอนว่าใช้งานแบบเดิมครับไม่มีอะไรเปลี่ยนไปในตัว iOS16
ขอบเครื่องวัสดุเงาสวยงามเช่นเดิมครับในรุ่นนี้ยังคงมีการออกแบบสมมาตร เหลี่ยมหน้าหลังแบนเหมือนเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลง ทั้งตำแหน่ง ไมค์ ลำโพง และ รู LIGHTING ที่ไม่ยอมเปลี่ยนเป็น USB-C ยังคงอยู่ตรงกลางแบบเดิม
ในด้านข้างเราจะมีปุ่ม ปรับโหมดเงียบเอกลักษณ์ของค่าย และ เพิ่ม ลด เสียง รวมถึงถาดซิม ซึ่งงานออกแบบเหมือนเดิมทั้งหมด แต่เปลี่ยนแค่สี ดำสนิทมากกว่าเดิม เข้มมากกว่าสีดำเดิมที่จะออกเงินๆเงาๆครับ แต่รุ่นนี้ดำเท่ขึ้นมาก
ในขอบเครื่องด้านบนเองนั้นเรียบๆเหมือนกันสะท้อนแสงสวยเงาวัสดุดี ใช้สีสวยขึ้น และ งานประกอบแน่นมากๆเช่นเดิมครับ ซึ่งส่วนตัวชอบงานออกแบบขอบเหลี่ยมๆแบบนี้ให้อารมณ์แบบ iPhone 4 รุ่นในตำนานถือว่าลงตัวมากๆ
และในด้านขวาเราจะเป็นปุ่มเปิด ปิด เครื่องที่มีตำแหน่งสูงพอกับการใช้งาน และมีขนาดใหญ่ใช้งานได้ง่าย ซึ่งจริงๆงานออกแบบแทบจะไม่มีจุดไหนพัฒนาหรือเปลี่ยนเลยแม้แต่น้อย ใครที่คาดหวังการเปลี่ยนแปลงรุ่นนี้ไม่ได้เยอะมาก
ด้านหลังรูปนี้ไม่ใช่ iPhone 13 Pro Max แต่อย่างใด แม้การออกแบบ สัดส่วน กล้องทุกอย่างจะเหมือนกันก็ตาม แต่ที่จะเห็นชัดเจนคือ กล้องใหญ่ขึ้น และ สีดำเข้มขึ้นเท่านั้นเป็นดีไซน์ที่ไม่เปลี่ยนมา 4 ปี ซึ่งคาดว่ารุ่นหน้าก็ไม่น่าเปลี่ยนแปลงไปเท่าไร แต่ถ้าถามถึงความสวยมันก็ยังคงสวยอยู่นะ มองแล้วรู้ว่าเป็นค่ายไหน แต่ที่ชอบคือสีดำด้านที่เข้มขึ้น ไม่ใช่เทาแบบรุ่นก่อนทำให้มันดุดันและเท่ขึ้นเยอะมากๆ เป็นดำที่สนิทมากเมื่อไม่เจอแสงสะท้อนจะดำเข้ม
และทางด้านกล้องหลังกระจกเงาดำขึ้นเยอะมากเช่นกัน และ ขยาายใหญ่ขึ้นกว่ารุ่นก่อน เราจะเห็นว่าเลนส์นูนขึ้นกว่าเดิมและยังคงใส่เซนเซอร์อะไรมาให้ครบรวมถึง มีการเปลี่ยนแปลงงานออกแบบไฟแฟลชใหม่เป็นแบบวงกลมล้อมวงเล็กนั้นเองเป็นจุดที่มองแตกต่างที่สุด มาพร้อมกับสเปกกล้อง Ultra Wide 120 องศา 12MP (f/2.2), เลนส์ 6P กล้อง Telephoto 3x 12MP (ƒ/2.8 ), OIS, เลนส์ 6P lens, ระยะซูม optical สูงสุด 6x, ซูมแบบ digital สูงสุด 15x แฟลช True Tone และ การเปลี่ยนแปลงชัดเจนคือ กล้องหลัง เลนส์กว้าง 48MP (f/1.78 ), เลนส์ 7P lens, OIS, Telephoto 2x, ที่เปลี่ยนเป็น 48MP แต่รูรับแสงแคบขึ้น ทั้งเลนส์หลัก และ มุมกว้างนั้นเองครับ แต่คุณภาพ การปรับเปลี่ยนทำได้ดีกว่าเดิมในเรื่องของความคมของภาพ และ ความสวยงามเก็บแสงได้ดีขึ้นด้วยเช่นกัน
14 ProMax VS 13 ProMax
และแน่นอนว่าในครั้งนี้เป็นการที่ตัวผมเองเปลี่ยนจาก 13-14 ทำให้ขอลองเอามาเทียบกันนิดหน่อยว่ามันมีจุดไหนที่แตกต่างกันบ้าง ในโทนสีดำเหมือนกันซึ่งในรุ่น 13 Pro Max จะใช้ชื่อ Graphite ส่วน 14 Pro Max จะใช้ชื่อ Space Black นั้นเองครับ ทำให้เมื่อวางเทียบกันก็ตามชื่อเลย 14 จะเน้นเข้มมากกว่าทั้งเลนส์ ฝาหลัง และขอบเครื่อง ส่วนงานออกแบบเหมือนกันทั้งหมดไม่มีจุดไหนที่แตกต่างกันรวมถึงขอบเครื่องและน้ำหนัก ภาพรวมใกล้กันมาก
เมื่อมีใครถามว่าใช้ iPhone รุ่นไหนก็แค่หันหน้าจอไปเท่านั้น เพราะว่ามันเป็นจุดที่แตกต่างกันมากที่สุดของ iPhone ระหว่าง 12-13 และ มาเทียบกับ 14 เพราะว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดของหน้าจอ ไม่มีติ่งหน้าจอแล้ว แต่จะเป็นหน้าจอ แบบเจาะรู หรือ เกาะกลางจอ Dynamic Island ชื่อเรียกของทางค่ายซึ่งทำให้มันเป็นจุดขายจนหลายๆคนอยากจะเปลี่ยน แม้ว่าตำแหน่งจะเกะกะหน้าจอมากกว่าเดิมเพราะต่ำกว่าเดิมก็ตาม ส่วนขอบเครื่องนั้นไม่ต่างกัน ความบางของขอบหน้าจอรอบๆยังคงเท่ากัน ไม่ได้บางลงมากกว่าเดิม และ ขนาด 6.7 นิ้วเหมือนเดิมครับ
และเมื่อเทียบขอบข้างเราจะเห็นว่างานออกแบบคงเดิม แต่สีดำเข้มขึ้น กลายเป็นว่ารุ่นก่อนหน้าคล้ายกับเป็นสีเงินๆโครเมียมรมดำมากกว่า แต่รุ่นใหม่กลายเป็นดำเข้มทันทีสวยงามพอสมควรครับ และเลนส์กล้องนูนขึ้นเยอะกว่าเดิมนะ
และถ้าเรามองดีๆขนาดตัวสี่เหลี่ยมรอบๆเลนส์ใหญ่ขึ้นเล็กน้อย และ ไฟแฟลชแตกต่างกันรวมถึงความนูนหนาของตัวเลนส์ครอบเลนส์นั้นเมื่อมาเทียบมองด้านข้างคือ แตกต่างกันเลยทีเดียวครับ ทำให้เรื่องการถ่ายภาพก็ดีขึ้นไปด้วย
[CR] รีวิว iPhone 14 Pro Max เพิ่ม Dynamic Island อัปกล้องหน้า , หลัง 48MP ควรเปลี่ยนไหม ?
iPhone 14 Pro Max และ iPhone 14 Pro ได้เปิดตัวด้วยหน้าตาที่เหมือนเดิมปรับเล็กน้อย แต่ส่วนที่เปลี่ยนมากที่สุดคือ ด้านหน้าจอที่เปลี่ยนจากติ่ง เป็น แบบหน้าจอเจาะรู หรือ Apple เรียกให้แตกต่างว่า Dynamic Island นั้นเอง ซึ่งเป็นการเอา จุดด้อยของมือถือ มาทำให้มันมีอะไรมากกว่านั้น แม้ทางฝั่ง Android หลายๆค่ายจะทำหน้าจอเจาะรูมานานแล้ว จนไปกล้องใต้หน้าจอกันแล้วก็ตาม และมีขนาดเจาะรูเล็กกว่าก็ตาม แต่ทาง Apple เองก็พยายามทำให้หน้าจอเจาะรูของตัวเอง มีฟีเจอร์การใช้งาน สามารถสัมผัส แตะ สั่งงาน แจ้งเตือนได้ให้มันดูไม่เกะกะ แต่สุดท้ายมันจะเกะกะไหม หรือ ใช้งานเป็นยังไง และ ในเรื่องกล้องที่ปรับเปลี่ยนมาแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน รวมถึงภาพรวมมันควรเปลี่ยนจริงๆไหมถ้ามาจาก iPhone 13 Pro Max ที่แตกต่างน้อยมากๆ และ สเปกไม่ได้หนีกัน
iPhone 14 Pro Max มาพร้อมกับ หน้าจอ OLED Super Retina XDR ขนาด 6.7 นิ้ว ความสว่างสูงสุด 1200 nits, HDR, True Tone, เคลือบ Ceramic Shield สว่างขึ้นกว่าเดิม และใช้งาน ชิปประมวลผล A16 Bionic RAM 6GB ใช้งาน iOS 16 และ ใช้งานกล้องที่ดีขึ้น ทั้งเลนส์หลัก และ มุมกว้าง ส่วนเทเลตัวเดิม มาพร้อมกับ กล้องหลัง เลนส์กว้าง 48MP (f/1.78 ), เลนส์ 7P lens, OIS, Telephoto 2x, ถ่ายวิดีโอรองรับ HDR และ Dolby Vision สูงสุด 4K 60 fps, กล้อง Ultra Wide 120 องศา 12MP (f/2.2), เลนส์ 6P กล้อง Telephoto 3x 12MP (ƒ/2.8 ), OIS, และ พัฒนากล้องหน้า มี Autofocus แล้ว TrueDepth 12MP (ƒ/1.9), Autofocus พร้อม Focus Pixels และยังคงรองรับ FaceID, ลำโพง Stereo คู่เช่นเดิม ส่วนการชาร์จยังคงเท่าเดิมในตัวไร้สายรองรับ 15W MagSafe,แต่แบบสายจะได้ไวขึ้นเป็น Fast Charging 30W ครับในรุ่นนี้
สำหรับราคาในไทยก็มาพร้อมกับราคาเริ่ม 44,900 บาท และ ในรุ่นรีวิว 256GB ราคา 48,900 บาท ในสี Space Black นั้นเอง ซึ่งมันจะดำเข้ม และ ดุดันขึ้นกว่าสีดำก่อนหน้าครับ
UNBOX
ตัวกล่องยังคงมีความบางเบา เพราะว่าทาง Apple อยากจะรักษ์โลก รักษ์สิ่งแวดล้อมจึงไม่แถมอะไรมาให้เช่นเดิม ทั้งหูฟังที่หายไปหลายปีแล้ว และ Adaptor ชาร์จไฟก็หายไปแล้ว เนื่องจากต้องการลดทรัพยากรเหลือๆที่คนซื้อไปอาจจะไม่ได้ใช้งาน แต่สุดท้ายคนที่ไม่มีก็ต้องไปหาซื้อแยกที่จะมีทั้งกล่องแยกเพิ่มเติม ถุงแยกเพิ่มเติมเวลาไปซื้อก็ตามครับซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าจะต้องการรักษ์โลกอะไรยังไงนะ สุดท้ายหลายๆคนก็ต้องซื้อใหม่ เพราะหัว USB-C และ ชาร์จไวที่มันก็ปรับไปหลายๆรอบในแต่ละ 2-3 ปีก็ตามครับ แต่อย่างน้อยสายชาร์จก็ยังคงให้มาแม้จะเป็น Lighting ที่ความเร็วช้ามากๆ และพอร์ตแบบนี้ทำให้คนที่มีสาย iPad ก็ไม่สามารถใช้สายร่วมกันได้ หรือ แม้แต่บรรดา Android ก็ตาม ซึ่งส่วนตัวมองว่าถ้าอยากจะรักษ์โลกจริงๆ เปลี่ยนเป็น USB-C ซะที น่าจะช่วยจำนวนสายชาร์จได้เยอะมากกว่านะ
DESIGN
แน่นอนว่างานออกแบบ จ่ายเองเจ็บเองพูดกันตรงๆว่า ทีมออกแบบขี้เกียจทำงานใช่ไหม เพราะว่าเราจะเห็นการวาง Position กล้องแบบนี้ หน้าตาแบบนี้มา 4 ปีแล้ว ตั้งแต่ iPhone 11 ครับ ทำให้มันไม่มีความน่าตื่นเต้นในเรื่องงานออกแบบเลยในส่วนฝาหลัง รวมถึงการวางกล้อง จะมีแตกต่างกันแค่ ขอบเหลี่ยมบ้างจากรุ่นแรกๆ และ ขยายเลนส์กล้องใหญ่ขึ้นครับ แต่ภาพรวมเมื่อเทียบกับ 13 แทบไม่มีความต่างเลย ถ้าเป็นค่าย Android ออกแบบซ้ำกันแบบนี้ผมบอกเลยว่าโดนแซวเละ ส่วนวัสดุงานประกอบ ความเนียนของชิ้นงานผมว่า ค่าย Apple ทำได้สมราคามาเสมอ ไม่มี สีลอกแบบบางค่าย การทำสีบอดี้ของตัวเครื่องงานดี เงาสวยและแข็งแรงจุดนี้ขอชื่นชมค่ายนี้ทำมาได้ดีมาก
ทางด้านหน้าจอนั้นขนาด 6.7 นิ้วเหมือนเดิม แต่มีการเปลี่ยนงานออกแบบ สัดส่วนนิดๆทำให้เรื่องของฟิล์มอาจจะเปลี่ยนแปลงไป ทำให้ใช้กับรุ่นก่อนหน้าไม่ได้ครับ ส่วนขอบหน้าจอยังคงมีความบางพอๆกัน ไม่ได้บางขึ้นเท่าไรนะครับซึ่งตอนนี้ Android หลายๆค่ายทำได้บางกว่าไปบ้างแล้วเช่นกัน แต่ที่ชอบคือหน้าจอค่ายนี้ยังคงเป็นหน้าจอเรียบแบนไม่โค้งเลยแม้แต่น้อยทำให้การใช้งานจริง กันแตกได้ดี จับถือได้ง่าย และ ติดฟิล์มง่ายมากเช่นกันครับจุดนี้ถือว่าดีมาก
ด้านบนหน้าจอ DYNAMIC ISLAND ที่เป็นฟีเจอร์ชูโรงขนาดใหญ่ เกาะกลางหน้าจอที่มาพร้อมกับ เซนเซอร์สแกนใบหน้าแบบ 3 มิติ และ กล้องหน้าที่พัฒนาขึ้น ซึ่งจริงๆตัวหน้าจอเจาะรูแบ่งเป็น กล้อง และ เซนเซอร์แยกกันครับ คล้ายๆตัว i แต่ทาง Apple ถมดำทำให้มันเป็นเม็ดยาชิ้นเดียวกันนั้นเอง ซึ่งหลายๆคนก็ชอบ หรือ ไม่ชอบแล้วแต่ ส่วนที่รู้สึกได้ชัดเจนเลยว่ามันจะแอบใหญ่กว่ารุ่นก่อนหน้าเพราะกินพื้นที่ลงมาต่ำมากกว่าเดิมที่เป็นแบบติ่งหน้าจอนั้นแหละ
ส่วนขอบหน้าจอล่างเองนั้นชอบที่เค้าทำได้หนาเท่ากันทั้งหมด มันดูสมมาตรกันทั้งซ้าย ขวา บน แต่ถ้าสามารถพัฒนาได้บางมากกว่านี้ก็น่าจะยิ่งสวยขึ้น ส่วนการควบคุมแน่นอนว่าใช้งานแบบเดิมครับไม่มีอะไรเปลี่ยนไปในตัว iOS16
ขอบเครื่องวัสดุเงาสวยงามเช่นเดิมครับในรุ่นนี้ยังคงมีการออกแบบสมมาตร เหลี่ยมหน้าหลังแบนเหมือนเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลง ทั้งตำแหน่ง ไมค์ ลำโพง และ รู LIGHTING ที่ไม่ยอมเปลี่ยนเป็น USB-C ยังคงอยู่ตรงกลางแบบเดิม
ในด้านข้างเราจะมีปุ่ม ปรับโหมดเงียบเอกลักษณ์ของค่าย และ เพิ่ม ลด เสียง รวมถึงถาดซิม ซึ่งงานออกแบบเหมือนเดิมทั้งหมด แต่เปลี่ยนแค่สี ดำสนิทมากกว่าเดิม เข้มมากกว่าสีดำเดิมที่จะออกเงินๆเงาๆครับ แต่รุ่นนี้ดำเท่ขึ้นมาก
ในขอบเครื่องด้านบนเองนั้นเรียบๆเหมือนกันสะท้อนแสงสวยเงาวัสดุดี ใช้สีสวยขึ้น และ งานประกอบแน่นมากๆเช่นเดิมครับ ซึ่งส่วนตัวชอบงานออกแบบขอบเหลี่ยมๆแบบนี้ให้อารมณ์แบบ iPhone 4 รุ่นในตำนานถือว่าลงตัวมากๆ
และในด้านขวาเราจะเป็นปุ่มเปิด ปิด เครื่องที่มีตำแหน่งสูงพอกับการใช้งาน และมีขนาดใหญ่ใช้งานได้ง่าย ซึ่งจริงๆงานออกแบบแทบจะไม่มีจุดไหนพัฒนาหรือเปลี่ยนเลยแม้แต่น้อย ใครที่คาดหวังการเปลี่ยนแปลงรุ่นนี้ไม่ได้เยอะมาก
ด้านหลังรูปนี้ไม่ใช่ iPhone 13 Pro Max แต่อย่างใด แม้การออกแบบ สัดส่วน กล้องทุกอย่างจะเหมือนกันก็ตาม แต่ที่จะเห็นชัดเจนคือ กล้องใหญ่ขึ้น และ สีดำเข้มขึ้นเท่านั้นเป็นดีไซน์ที่ไม่เปลี่ยนมา 4 ปี ซึ่งคาดว่ารุ่นหน้าก็ไม่น่าเปลี่ยนแปลงไปเท่าไร แต่ถ้าถามถึงความสวยมันก็ยังคงสวยอยู่นะ มองแล้วรู้ว่าเป็นค่ายไหน แต่ที่ชอบคือสีดำด้านที่เข้มขึ้น ไม่ใช่เทาแบบรุ่นก่อนทำให้มันดุดันและเท่ขึ้นเยอะมากๆ เป็นดำที่สนิทมากเมื่อไม่เจอแสงสะท้อนจะดำเข้ม
และทางด้านกล้องหลังกระจกเงาดำขึ้นเยอะมากเช่นกัน และ ขยาายใหญ่ขึ้นกว่ารุ่นก่อน เราจะเห็นว่าเลนส์นูนขึ้นกว่าเดิมและยังคงใส่เซนเซอร์อะไรมาให้ครบรวมถึง มีการเปลี่ยนแปลงงานออกแบบไฟแฟลชใหม่เป็นแบบวงกลมล้อมวงเล็กนั้นเองเป็นจุดที่มองแตกต่างที่สุด มาพร้อมกับสเปกกล้อง Ultra Wide 120 องศา 12MP (f/2.2), เลนส์ 6P กล้อง Telephoto 3x 12MP (ƒ/2.8 ), OIS, เลนส์ 6P lens, ระยะซูม optical สูงสุด 6x, ซูมแบบ digital สูงสุด 15x แฟลช True Tone และ การเปลี่ยนแปลงชัดเจนคือ กล้องหลัง เลนส์กว้าง 48MP (f/1.78 ), เลนส์ 7P lens, OIS, Telephoto 2x, ที่เปลี่ยนเป็น 48MP แต่รูรับแสงแคบขึ้น ทั้งเลนส์หลัก และ มุมกว้างนั้นเองครับ แต่คุณภาพ การปรับเปลี่ยนทำได้ดีกว่าเดิมในเรื่องของความคมของภาพ และ ความสวยงามเก็บแสงได้ดีขึ้นด้วยเช่นกัน
14 ProMax VS 13 ProMax
และแน่นอนว่าในครั้งนี้เป็นการที่ตัวผมเองเปลี่ยนจาก 13-14 ทำให้ขอลองเอามาเทียบกันนิดหน่อยว่ามันมีจุดไหนที่แตกต่างกันบ้าง ในโทนสีดำเหมือนกันซึ่งในรุ่น 13 Pro Max จะใช้ชื่อ Graphite ส่วน 14 Pro Max จะใช้ชื่อ Space Black นั้นเองครับ ทำให้เมื่อวางเทียบกันก็ตามชื่อเลย 14 จะเน้นเข้มมากกว่าทั้งเลนส์ ฝาหลัง และขอบเครื่อง ส่วนงานออกแบบเหมือนกันทั้งหมดไม่มีจุดไหนที่แตกต่างกันรวมถึงขอบเครื่องและน้ำหนัก ภาพรวมใกล้กันมาก
เมื่อมีใครถามว่าใช้ iPhone รุ่นไหนก็แค่หันหน้าจอไปเท่านั้น เพราะว่ามันเป็นจุดที่แตกต่างกันมากที่สุดของ iPhone ระหว่าง 12-13 และ มาเทียบกับ 14 เพราะว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดของหน้าจอ ไม่มีติ่งหน้าจอแล้ว แต่จะเป็นหน้าจอ แบบเจาะรู หรือ เกาะกลางจอ Dynamic Island ชื่อเรียกของทางค่ายซึ่งทำให้มันเป็นจุดขายจนหลายๆคนอยากจะเปลี่ยน แม้ว่าตำแหน่งจะเกะกะหน้าจอมากกว่าเดิมเพราะต่ำกว่าเดิมก็ตาม ส่วนขอบเครื่องนั้นไม่ต่างกัน ความบางของขอบหน้าจอรอบๆยังคงเท่ากัน ไม่ได้บางลงมากกว่าเดิม และ ขนาด 6.7 นิ้วเหมือนเดิมครับ
และเมื่อเทียบขอบข้างเราจะเห็นว่างานออกแบบคงเดิม แต่สีดำเข้มขึ้น กลายเป็นว่ารุ่นก่อนหน้าคล้ายกับเป็นสีเงินๆโครเมียมรมดำมากกว่า แต่รุ่นใหม่กลายเป็นดำเข้มทันทีสวยงามพอสมควรครับ และเลนส์กล้องนูนขึ้นเยอะกว่าเดิมนะ
และถ้าเรามองดีๆขนาดตัวสี่เหลี่ยมรอบๆเลนส์ใหญ่ขึ้นเล็กน้อย และ ไฟแฟลชแตกต่างกันรวมถึงความนูนหนาของตัวเลนส์ครอบเลนส์นั้นเมื่อมาเทียบมองด้านข้างคือ แตกต่างกันเลยทีเดียวครับ ทำให้เรื่องการถ่ายภาพก็ดีขึ้นไปด้วย
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้