ภาพถ่ายติดวิญญาณกับการย้ายเข้าคอนโดวันแรก (มีรูป)

กระทู้สนทนา
คำเตือน โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
และ รูปดังกล่าวมีคุณภาพลดลงเนื่องจากไฟล์ภาพที่ถ่ายไว้คาดว่าน่าจะอยู่ที่ใดที่หนึ่งในคอมพิวเตอร์แต่ยังหาไม่พบ ซึ่งไฟล์ดังกล่าวจะมีความชัดเจนมากกว่า ถ้าหาเจอจะรีบนำมาลงเพิ่มเติมให้ครับ รูปที่ใช้จึงเป็นรูปที่ส่งผ่านโปรแกรมแชท คุณภาพของภาพจึงลดลง

เราเก็บเรื่องนี้ไว้นานพอสมควรด้วยความตั้งใจจะนำเรื่องราวนี้มาเขียนเป็นประสบการณ์เขย่าขวัญแต่เนื่องจากความขี้เกียจทำให้มันเลยเถิดมาถึงสองปีหลังจากเกิดเหตุการณ์ วันนี้เริ่มต้นวันหยุดยาวจึงมีเวลาว่างมาเล่าให้ฟัง

เรื่องดังกล่าวเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563 น้องชายของเราเพิ่งเรียนจบและต้องเดินทางจากบ้านมาทำงานที่กทม. น้องชายเลยรบเร้าให้เราช่วยจัดการหาที่พักใกล้กับที่ทำงานซึ่งก็คือ เขตบางนา เราเลยเสิร์ชหาข้อมูลของคอนโดสามสี่แห่งให้น้องชายเลือก ซึ่งน้องชายก็เลือกคอนโดที่ตัวเองชอบได้ เราเลยจัดการให้น้องชายได้คุยกับ ผู้จัดการห้องเช่าซึ่งขอใช้ชื่อว่า "คุณส้ม (นามสมมุติ)" 

เมื่อกำหนดวันนัดดูห้องเช่าเรียบร้อยแล้ว น้องชายจึงเดินทางมากทม. แล้วเข้าดูห้องเช่าซึ่งเรายกให้น้าสาวเป็นคนช่วยจัดการและระหว่างนี้น้องชายของเราจะพักอยู่ที่บ้านน้าสาว เพราะคุณส้มขอเวลาในการทำความสะอาดห้อง ซึ่งน้องชายเราว่า "ห้องเช่าอยู่ชั้นที่ 4 เป็นวิวเมือง หน้าต่างสามารถมองออกไปเห็นถนนและตึกฝั่งตรงข้ามชัดเจน ผู้เช่าคนก่อนย่ายออกไปก่อนหน้านี้สามเดือนจากคำบอกเล่าของคุณส้ม ในห้องมีแค่เพียงถุงใส่ผ้าปูที่นอนที่อยู่ในตู้เสื้อผ้าเท่านั้น ที่เหลือคือ ห้องเปล่า และจะย้ายเข้าในอีก 3 วันถัดมา" 

สามวันถัดมา น้าสาวเป็นคนอาสาช่วยย้ายข้าวของเพราะเราไม่มีรถยนต์ ซึ่งก็ไม่มีอะไรมากเพราะน้องชายเราตั้งใจมาซื้อใหม่หมดที่นี่อยู่แล้ว ประมาณเก้าโมงเช้า น้องชายเราโทรมาหาเราเพื่อขอคำปรึกษาว่า หลังจากรับมอบกุญแจห้องและทำหนังสือสัญญากับคุณส้ม น้องชายก็เริ่มจัดข้าวของแต่พบว่า "ห้องถูกทำความสะอาดเป็นอย่างดีแต่เราพบ กระเป๋าถือของผู้หญิงอยู่บนชั้นวางของชั้นบนสุดในตู้เสื้อผ้า ซึ่งน้องชายยืนยันว่า วันที่มาดูห้องไม่พบกระเป๋าใบดังกล่าวในกระเป๋าเต็มไปด้วยผ้ายันต์เยอะแยะที่อัดแน่นอยู่เต็มกระเป๋ามีทั้งยันต์กระดาษ ยัต์ผ้าและเครื่องรางของศักดิ์สิทธิ์แทบทุกศาสนา" น้องชายตกใจมากจึงรีบวางไว้ที่เดิมและโทรศัพท์หาเราทันที

เรานึกถึงอะนิเมชั่น Yamishiabai S1EP1 ที่เป็นตอนคล้ายกันนี้จึงเสนอความคิดเห็นที่สอดคล้องกับอะนิเมชั่นดังกล่าวว่า "เราว่า เจ้าของเดิมน่าจะทิ้งกระเป๋าไว้ด้วยความตั้งใจ เพราะตัวเองไม่จำเป็นต้องใช้แล้ว แต่ทิ้งไว้ให้คนอื่นที่กำลังจะมาอยู่ห้องนี้เป็นรายถัดไป ได้ใช้มากกว่า เพราะถ้าของนี้สำคัญกับตัวเขา เขาคงจะเอาติดตัวไป แต่ถ้าทิ้งไว้นั่นหมายถึงเขาไม่จำเป็นต้องใช้มันอีกแล้ว" น้องชายที่ได้ฟังก็เริ่มขวัญเสีย แล้วก็เริ่มกล่าวหาว่าเราทำให้กลัว ในที่สุดพวกเราจึงตัดสินใจให้โทรศัพท์หาคุณส้ม จากคำบอกเล่าของน้องชาย คุณส้มกลับมารับกระเป๋าไปโดยไม่มีท่าทีแปลกใจและบอกว่าน่าจะเป็นของเจ้าของเดิมที่ลืมไว้ และบอกว่าเจ้าของห้องเช่าคนก่อนเป็นผู้หญิง อาจจะพกติดไว้เผื่อความอุ่นใจแต่อาจลืมไว้ตอนย้ายของออก

น้องชายใช้เวลาในช่วงบ่ายมือจัดวางข้าวของตามที่ต่างๆในห้อง แล้วเราก็ไม่ได้รับการติดต่อจากน้องชายเลยจนกระทั่งเวลา 2 ทุ่มครึ่ง

พ่อและแม่ซึ่งอยู่ที่สงขลาติดต่อกับน้องชายทางไลน์เพื่อสอบถามเรื่องห้อง (แต่น้องชายไม่ได้เล่าให้พ่อและแม่ฟังเรื่องกระเป๋าผ้ายันต์ เพราะคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยไม่อยากให้พ่อแม่เป็นห่วง)  พ่อกับแม่และน้องชายเริ่มคุยกันโดยใช้มือถือของพ่อในการพูดคุย ตั้งแต่ 2 ทุ่มครึ่งจนล่วงเลยมาถึง 3 ทุ่มครึ่งเป็นจังหวะที่ แม่ถามเรื่องผ้าปูที่นอน เนื่องจากเตียงเป็นเตียง 6 ฟุตแต่ผ้าปูเตียงที่แม่เตรียมไว้ให้เป็น 5 ฟุต แม่จึงบอกให้น้องชายเดินที่เตียงนอนและเปิดกล้องให้แม่ดู ระหว่างนั้นเอง

ภาพที่ปรากฏในกล้องของพ่อ คือ ภาพเตียงนอนดังจะเห็นจากในรูป เป็นเตียงนอนที่มีผ้าปูสีขาว ส่วนสีส้มที่ด้านบนรวมถึงสีน้ำเงินด้านข้างเป็นข้าวของที่น้องวางไว้ริมหน้าต่าง แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้พ่อแะแม่ตกใจจนเอ่ยถามน้องชายคือ
พ่อ "เอก (นามสมมุติ) แล้วอะไรอยู่บนที่นอน"
น้องชาย ตกใจมากจึงบอกพ่อไปทันทีว่า "ไม่ได้วางอะไรบนที่นอนเลย"
พ่อ "เนี่ยอ่ะ พ่อเห็นเป็นก้อนดำๆ เป็นก้อนใหญ่ๆอยู่บนที่นอน" 
น้องชายที่ตอนนี้ตกใจสุดขีด "พ่อ พ่อเห็นอะไร บอกมา" น้องชายใช้มือถือส่องไปที่บนเตียงตลอด 
พ่อ "เนี่ย มันเหมือนก้อนขนาดใหญ่ เหมือนขนขยุกขยิกไปมา" พ่อให้แม่ช่วยดูและบอกน้องชาย
น้องชายซึ่งตอนนี้กลัวและอยากเห็นมากจึงให้พ่อถ่ายรูปหน้าจอไว้ แต่พ่อทำไม่เป็น แม่จึงหยิบมือถือของตัวเองออกมาถ่ายไว้ จึงได้รูปดังกล่าวนี้มา


ก่อนที่น้องจะปิดกล้อง และเปิดรูปภาพที่แม่ส่งมาให้ ซึ่งทันทีที่น้องได้เปิดรูปดู คือ น้องรีบวิ่งออกจากห้องทันที

พ่อและแม่ใช้เวลาทั้งคืน ทั้งคืนจริงๆในการนั่งคุยโทรศัพท์เป็นเพื่อนน้อง เพราะน้องไม่กล้ากลับเข้าไปในห้อง พ่อและแม่จะให้เรียกน้าสาวให้พากลับไปนอนที่บ้าน หรือให้ไปเช่าโรงแรมนอนก่อนสักคืน น้องชายก็ดึงดันว่าคืนนี้จะไม่นอนคนเดียว เพราะกลัวเรื่องที่เราเล่าว่า ที่น่ากลัวคือคำสาป

รุ่งเช้า น้องกลับเข้าห้องราวหกโมงครึ่ง พ่อและแม่นอนหลับเป็นตายกันทั้งวัน ส่วนน้องเรารีบติดต่อกับคุณส้มในเช้านั้นเพื่อเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นรวมทั้งให้ดูรูปที่ถ่ายได้ ซึ่งคุณส้มก็ยินดีให้เปลี่ยนห้องในทันทีโดยไม่มีคำพูดใด ซึ่งน้องก็ขอใช้เวลาครึ่งวันเช้าในการเก็บของกลับใส่กล่อง และระหว่างนั้นเองน้องเราก็ส่งรูปอีกรูปมาให้เราดู ว่าอาคารพาณิชย์ฝั่งตรงข้าม เฉพาะห้องที่ตรงกับห้องน้องชายเราเท่านั้นที่ร้างและไม่มีผู้อยู่อาศัยในขณะที่ห้องอื่นๆเปิดเป็นร้านค้าหรือเป็นที่พักอาศัยตามปกติ และเฉพาะที่ชั้น 4 เท่านั้น (ซึ่งตรงกับห้องและชั้นของห้องน้องชาย) ที่จะมีการแขวนยันต์ไว้นอกตัวอาคาร 
(

(ขออนุญาติเซ็นเซอร์ร้านค้าที่อยู่ใกล้เคียง)
หลังจากนั้นเรามีโอกาสได้เดินสำรวจบริเวณดังหล่าวก็พบว่า อาคารหลายแห่งบนถนนสายนี้จะติดยันต์ลักษณะเดียวกันนี้ (เสือคาบดาบ) ที่ชั้น 4 เท่านั้น ต่อให้อาคารดังกล่าวเป็นร้านค้า ร้านอาหาร หรือ บริษัท ก็จะเป็นยันต์ชนิดนี้เท่านั้นที่ติดบนชั้น 4 

น้องชายย้ายของไปยังห้องอื่นในช่วงบ่าย ซึ่งตั้งแต่นั้นมาก็ไม่เคยเกิดเรื่องในลักษณะนี้อีกเลย และก็ไม่ทราบด้วยว่าห้องเช่าดังกล่าวจะมีคนเช่าอยู่อีกหรือไม่ หลังจากเกิดเหตุการณ์พวกเราก็มาขบคิดถึงความเป็นได้ของภาพที่พ่อและแม่เห้น และพยายามจำลองเหตุการณ์กับน้องชายเมื่อย้ายไปอยู่ห้องใหม่ก็ไม่สามารถทำให้เกิดภาพในลักษณะเดียวกันได้ นำมาซึ่งความฉงนงงงวยมาจนถึงทุกวันนี้

จึงกลายมาเป็นเรื่องเล่าสนุกๆให้ทุกคนฟังในวันนี้ ครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่