ผมก็เป็นคนนึงที่ตั้งแต่กลับไทยผมก็ลุยดูอสังหามาหลายโครงการ
และผมก็เคยลงทุนไปเรียนคอร์สอสังหาที่ในราคาระดับอีลีท(ซึ่งมันช่างสวนทางกับเงินในกราเป๋าเสียเหลือเกิน) เสียเงินมากมายเพื่อลงทุนเรื่องความรู้ในการลงทุน
ซึ่งจริงๆมันก็อาจจะคุ้ม หรืออาจจะไม่คุ้มก็ได้ 55555
ออกตัวก่อนว่าส่วนใหญ่ผมก็เป็นนักลงพุงที่ซื้อในรอบก่อน Presale หรือรอบ VVIP บางโครงการผมซื้อเป็นคนแรก บางโครงการผมได้ส่วนลดเพิ่มจากคอนเนคชั่น ที่ผมรู้จักเจ้าของ ผู้บริหาร หรือประสบการณ์ที่เลวร้ายที่ในอดีตที่ผมเคยมี ทำให้ได้ส่วนลด 5-7% (ในบางครั้งแต่ไม่ทุกครั้ง)
ซึ่งถูกกว่าราคาพรีเซลอีก
บางครั้งผมก็รับห้องที่บวกราคามา เมื่อผมเห็นว่าห้องไปต่อได้ และบางครั้งผมก็ซื้อหลังพรีเซลไปเป็นไตรมาสก็มี ซึ่งทุกครั้งในการซื้อ ผมจะสามารถหาคำตอบให้ตัวเองได้ทั้งเสมอไม่ว่าจะเป็นระยะสั้นหรือยาว ว่าผมซื้อเพราะอะไร และคำตอบของผมมันมีเกิน 1 คำตอบแน่ๆ
สำหรับรายย่อยหรือมือใหม่ หรือแม้กระทั่งมือเก๋า สิ่งที่เรียกว่าของพิเศษ อาจจะไม่มีอยู่จริง แต่มันเป็นเพียงคำพูดสวยหรู ท่านจะต้องซื้อให้ทันราคาพรีเซล หรือท่านไปเฝ้าตอนใกล้ๆปิดตึก หากตึกนั้นมีแนวโน้มที่ไม่ดี
สิ่งที่ Developer หลายๆเจ้าและเอเจ้นท์ทำ ก็มักจะ Triggered ความโลภของคุณให้ถูกจุด แต่ใน Longer run คุณก็จะรู้เองว่ามันไม่ได้เป็นแบบนั้น
เรามาดูเรื่องจริงกันดีกว่า
1.เอเจ้นหรือเซลทั้งหลายแทบไม่เคยบอกค่าเช่าหรือราคาในอนาคตตามความเป็นจริง ท่านลองถามดูสิครับเวลาที่ท่านไปดูห้อง เขามักจะบอกราคาที่ฟังดูน่าเย้ายวนฟังแล้วเหมือนทำเลห่านทองคำ ถ้าท่านไม่ซื้อท่าน เอเจ้นท์มือเก๋าๆที่เก่งๆ มองลูกค้าแป๊บเดียวก็รู้เรื่องครับ ลูกค้าต้องการอะไร ถ้าลูกค้าชอบสิ่ง หรูหราเค้าจะขาย Luxury ให้ลูกค้าเป็นพวกนักลงทุนละโมบโลภมาก ยิ่งถ้าเป็นผู้ชาย อายุน้อย รุ่นใหม่(เหมือนผม>_____<) ใจร้อนต้องการกำไรเร็วๆ เค้าก็จะขาย Capital Gainให้
ถ้า ถ้าลูกค้าไม่รู้เรื่องและไม่เคยซื้อเลยเค้าก็สามารถที่จะขายให้คุณได้ทุกอย่าง เหมือน All-in-one Package มันเปงโครงการที่ดีเจงๆ mang มีทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณต้องการเลยโว้ยยยยยยยยยย 5555555555
ขายอสังหาในไทยมันง่ายโคตะระ ครับ พูดเป๊าะไปแป๊ะมาพีอาร์ดีๆ ไม่ต้องมี Facts เยอะ วาดฝันให้คนซื้อเยอะๆ โหมกระแสเยอะๆ มันก็จบแล้ว ผมเคยอยู่ออส เป็นลูกค้า ไม่ว่าจะขายหรือเช่า ผมรู้เลยว่าเอเจ้นท์ที่ออสทำงานหนักกว่าคนไทยหลายเท่าตัว แม้จะเป็นการเช่าในราคาไม่ถึง 100$ ต่อวีค เค้าต้องขับรถพาไปดู 4-5 ที่
เอเจ้นท์ตปท Owner สบายมากครับ จะอยู่คนละรัฐก็ปล่อยบ้านอีกรัฐเช่าได้โดยที่บ้านไม่พัง ทำทุกอย่างครับ เก็บกุญแจสำรอง ขับไล่คนเช่า รับผิดชอบทุกสิ่ง
ยิ่งขายคอนโดหรือบ้าน 300-600k (ดอลล่า) ขึ้นไป คนดูแล้วดูอีกครับ คิดแล้วคิดอีก ฝรั่งมันทำการบ้านกันหนักมากกว่าจะซื้อครับ ฝรั่งซื้อยากกว่าไทยเยอะ และคนไทยก็ซื้อยากกว่าจีนครับ (เพราะที่จีนไม่มีฟรีโฮลด์)
อย่างบางโครงการคลอดออกมาดีโคตรๆ แบบ West Side Place ที่เมลเบิร์น พ่วง Ritz Carlton
อยู่ริมถนนใหญ่ใจกลางเมลเบิร์น ฟรีโฮลด์ ซึ่งแทบจะหาข้อติไม่ได้ ป้าย TRAM อยู่หน้าโครงการ อยู่ใกล้ 4 มหาวิทยาลัย ห่างจากสวนเพียง 1 Block ติดแม่น้ำ กับสนามฟุตบอล Ethihad ทั้งหมดนี้Full Package ตารางเมตรไม่ถึง 3 แสนบาท และถ้าเป็นที่ไทยคงจะหมดตั้งแต่1 นาทีแรก แต่ที่นี่ยังขายไม่หมดเลยครับ
อะ เอารูปไปดูกันเล่นๆขรรมๆ
2.การที่ท่านรับซื้อดาวน์ต่อราคาเยอะๆในราคาขาดทุนก่อนที่โครงการจะเสร็จเนี่ย บางครั้งอาจจะไม่ได้ทำให้ท่านได้ผลตอบแทน Yield spreads / Capital gain เท่ากับคอนโดที่ขายราคาเหมาะสมต่อทำเลและค่าเช่าก็เป็นได้ครับ
เช่นทำเลเดียวกัน
ยกตัวอย่างเช่น Condo A ราคา 3 แสนต่อตารางเมตร ขายขาดทุนหน้าสัญญา 1 หมื่นบาทต่อตารางเมตร ขนาดห้อง 30 ตารางเมตร อยู่ที่การขาดทุน 3 แสนบาทต่อสัญญา หลังจากประเมินศักยภาพค่าเช่าที่แท้จริง จากทุกปัจจัย อาจจะจะอยู่ที่ 850 บาทต่อตารางเมตร และ Potential Growth ด้านราคาในระยะใกล้ๆนี้อาจจะแทบไม่มี
ซึ่งต่อให้คุณซื้อขาดทุน 3 แสนมา คุณก็จะได้ Yield แค่ 3.5% เท่านั้น ส่วน Capital gain คุณอาจจะได้ 10000 บาทต่อตรม หรือคุณอาจจะไม่ได้เลย
ในขณะที่ Condo B ราคา 1.6 แสนต่อตารางเมตร ขายกำไรหน้าสัญญา 1 หมื่นบาทต่อตารางเมตร ขนาดห้อง 30 ตารางเมตร Owner กำไร 3 แสนบาทต่อสัญญา หลังจากคุณประเมินศักยภาพค่าเช่าที่แท้จริง อาจจะอยู่ที่ 600 บาทต่อตารางเมตร และ Potential Growth ด้านราคาอาจจะอยู่ที่ 2-3 หมื่นบาทต่อตารางเมตร
ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ทำให้คุณอยู่ในระยะปลอดภัยในการลงทุน ทั้งสองกลยุทธ นี่เป็นสิ่งที่ Yieldspreads Investors มือเก๋าท่านอื่นๆเคยสอนผมเหมือนกัน
"ผมไม่สนว่าใครกำไรขาดทุน ผมสนศักยภาพในการเติบโตของทำเลมากกว่า"
3. คุณไม่สามารถคาดหวังค่าเช่าในการพักอาศัย ราคาสูงกว่าค่าเช่าออฟฟิศ(ใหม่) ได้
นั่นแหละครับ เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลกครับ ค่าเช่าที่แพงที่สุด
1.พื้นที่ขาย (Commercial Space) ยกตัวอย่างนะครับ พื้นที่เซ้งใน Platinum Mall (แพลตตินั่มเซ้งกันไม่ต่ำกว่า 4.5แสน -5 แสนต่อตารางเมตร), พื้นที่เซ้งห้องในเวิลเทรด ก่อนเป็นเซ็นทรัลเวิลด์ (ปัจจุบันสัญญาเซ้งครบและไม่มีแล้วทุกห้องแล้ว) , พื้นที่เซ้งในมาบุญครอง (ห้องละ 50 ตรมไม่ต่ำกว่า 15 ล้าน) สยามสแควร์ 4000-6000 บาทต่อตารางเมตร

สยามกาแฟ ราคานี้จริงๆ แรงเว่อร์ๆ แต่ Traffic ก็เช่นกัน ไม่อย่างงั้น Rolex และทิวดอร์ จะมาอยู่ตรงนี้เป็นเวลาช้านานหรือครับ 5555
2.ค่าเช่า ออฟฟิศ (Office Space)
Office Spaces เป็นสิ่งค่าเช่าไม่ถูกกว่าที่พักอาศัย เพราะมันคือสถานที่ๆทำมาหากินเช่นกัน
เรามาดูอัตราค่าเช่า Office Spaces ใจกลางกรุงกันดีกว่าครับ

ค่าเช่าออฟฟิศในอาคารสยามพิวรรธน์ (สยามทาวเวอร์) ออฟฟิศ 4.5 ดาว ติดห้าง ติดรถไฟฟ้า Interchange ใน Multi-complexes ราคา 979 / ตารางเมตร
ซึ่งถ้าหากคุณเป็นผู้เช่าระยะยาว พื้นที่ใหญ่ คุณยังจะสามารถ Negotiate ราคาลงไปได้อีก!!
ซึ่งถ้ามีเอเจ้นท์สักคนบอกคุณว่า คอนโด ระดับ 5 ดาวในราชเทวีจะค่าเช่าตารางเมตรจะ 1000 บาท แล้วท่านเช่าออกจริงๆ บอกให้เอเจ้นท์ทั่นนั้นอมไปอุนจิหมามาพ่นใส่หน้าผมได้เลย!!
เช่นเดียวกันครับ ลองดูค่าเช่าของ The Diplomat vs The Marque
ทุกวันนี้ออฟฟิศ 5 Stars อย่าง Bhiraj ที่อยู่ติดรถไฟฟ้า อยู่ในอาคาร Emquartier ราคาอยู่ที่ 1500-2200 บาทต่อตารางเมตร
เช่นเดิม ใครบอกว่าพร้อมพงศ์จะต้องได้ตารางเมตรละ 2000 จงไปอมอุนจิสุนัขมาพ่นใส่หน้าผม
มาส่องค่าเช่าของ Diplomat จากเอเจ้นท์ Local กันครับ
60sqm 40,000 baht !!!!!!!!!!!!! O_o นี่มันยังไม่ถึง 900 บาทเลยด้วยซ้ำ (666.67 บาท) คุณจาต้องล้อผมเล่งแน่ๆเลยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย ว้ากกกกกกกกกกก
Marque Sukhumvit ตารางเมตรละ 330000-450000 ค่าเช่าเริ่มต้นอยู่ที่ราวๆ 1000 บาท แต่ตึกนี้Workเยอะมากครับ ไม่ว่าจะเป็น การที่อยู่ริมถนนใหญ่ เดิน 3 ก้าวถึง เอมควาเทียร์ และติดกับ 2 ออฟฟิศ คือ ภิรัชที่เป็น 5 ดาว และ ออฟฟิศ 4.5 ดาวอย่าง Metropolis รวมถึงของในห้องก็เป็นของดีคุณค่าที่ทุกคนคู่ควรไม่ว่าจะเป็นหินจริง ไม้จริง ฟาซิลิตี้ สระว่ายน้ำระดับ 5 ดาว
ถ้า Owner ไม่ได้ซื้อราคา Early Bird ที่ 2.4 แสน ค่าเช่าจะยังไม่ถึง 4 % เลยครับ
จะเห็นมั้ยล่ะครับ ว่าค่าเช่าที่พักอาศัย มันจะวิ่งตามค่าเช่า Office แบบนี้ ไม่ว่าคุณจะอยู่ทำเลไหนบนโลกใบนี้ก็ตาม ไม่ว่าจะเป็น London , Manchester , Sydney , Melbourne , Tokyo
ที่ผมดูมาทั้งหมด พื้นที่ทำมาหากินมันจะต้องแพงกว่าที่พักเสมอครับ
หากคุณชอบกระทู้ผมสามารถเม้น + โหวตเป็นกำลังใจให้ด้วยนะ
หากท่านชอบสิ่งที่ผมเขียน สามารถทักมาพูดคุยที่เพจของผมได้ที่นี่
https://www.facebook.com/Alohainvest
อัพเดทเรื่องราวสุดเกรียนเกี่ยวกับการลงทุนหุ้นและอสังหา(คอนโด)ไว้ในเพจ
พักเบรคทานข้าวชั่วครู่ เดี๋ยวมาแฉกันต่อครับ
[อสังหารพาเพลิน]แฉทุกสิ่งที่เอเจ้นท์และเซียนคอนโด ไม่เคยบอกคุณ แต่ผมจะบอกคุณเอง (ค่าเช่า, Lofts,hybrid , PRNews)
และผมก็เคยลงทุนไปเรียนคอร์สอสังหาที่ในราคาระดับอีลีท(ซึ่งมันช่างสวนทางกับเงินในกราเป๋าเสียเหลือเกิน) เสียเงินมากมายเพื่อลงทุนเรื่องความรู้ในการลงทุน
ซึ่งจริงๆมันก็อาจจะคุ้ม หรืออาจจะไม่คุ้มก็ได้ 55555
ออกตัวก่อนว่าส่วนใหญ่ผมก็เป็นนักลงพุงที่ซื้อในรอบก่อน Presale หรือรอบ VVIP บางโครงการผมซื้อเป็นคนแรก บางโครงการผมได้ส่วนลดเพิ่มจากคอนเนคชั่น ที่ผมรู้จักเจ้าของ ผู้บริหาร หรือประสบการณ์ที่เลวร้ายที่ในอดีตที่ผมเคยมี ทำให้ได้ส่วนลด 5-7% (ในบางครั้งแต่ไม่ทุกครั้ง)
ซึ่งถูกกว่าราคาพรีเซลอีก
บางครั้งผมก็รับห้องที่บวกราคามา เมื่อผมเห็นว่าห้องไปต่อได้ และบางครั้งผมก็ซื้อหลังพรีเซลไปเป็นไตรมาสก็มี ซึ่งทุกครั้งในการซื้อ ผมจะสามารถหาคำตอบให้ตัวเองได้ทั้งเสมอไม่ว่าจะเป็นระยะสั้นหรือยาว ว่าผมซื้อเพราะอะไร และคำตอบของผมมันมีเกิน 1 คำตอบแน่ๆ
สำหรับรายย่อยหรือมือใหม่ หรือแม้กระทั่งมือเก๋า สิ่งที่เรียกว่าของพิเศษ อาจจะไม่มีอยู่จริง แต่มันเป็นเพียงคำพูดสวยหรู ท่านจะต้องซื้อให้ทันราคาพรีเซล หรือท่านไปเฝ้าตอนใกล้ๆปิดตึก หากตึกนั้นมีแนวโน้มที่ไม่ดี
สิ่งที่ Developer หลายๆเจ้าและเอเจ้นท์ทำ ก็มักจะ Triggered ความโลภของคุณให้ถูกจุด แต่ใน Longer run คุณก็จะรู้เองว่ามันไม่ได้เป็นแบบนั้น
เรามาดูเรื่องจริงกันดีกว่า
1.เอเจ้นหรือเซลทั้งหลายแทบไม่เคยบอกค่าเช่าหรือราคาในอนาคตตามความเป็นจริง ท่านลองถามดูสิครับเวลาที่ท่านไปดูห้อง เขามักจะบอกราคาที่ฟังดูน่าเย้ายวนฟังแล้วเหมือนทำเลห่านทองคำ ถ้าท่านไม่ซื้อท่าน เอเจ้นท์มือเก๋าๆที่เก่งๆ มองลูกค้าแป๊บเดียวก็รู้เรื่องครับ ลูกค้าต้องการอะไร ถ้าลูกค้าชอบสิ่ง หรูหราเค้าจะขาย Luxury ให้ลูกค้าเป็นพวกนักลงทุนละโมบโลภมาก ยิ่งถ้าเป็นผู้ชาย อายุน้อย รุ่นใหม่(เหมือนผม>_____<) ใจร้อนต้องการกำไรเร็วๆ เค้าก็จะขาย Capital Gainให้
ถ้า ถ้าลูกค้าไม่รู้เรื่องและไม่เคยซื้อเลยเค้าก็สามารถที่จะขายให้คุณได้ทุกอย่าง เหมือน All-in-one Package มันเปงโครงการที่ดีเจงๆ mang มีทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณต้องการเลยโว้ยยยยยยยยยย 5555555555
ขายอสังหาในไทยมันง่ายโคตะระ ครับ พูดเป๊าะไปแป๊ะมาพีอาร์ดีๆ ไม่ต้องมี Facts เยอะ วาดฝันให้คนซื้อเยอะๆ โหมกระแสเยอะๆ มันก็จบแล้ว ผมเคยอยู่ออส เป็นลูกค้า ไม่ว่าจะขายหรือเช่า ผมรู้เลยว่าเอเจ้นท์ที่ออสทำงานหนักกว่าคนไทยหลายเท่าตัว แม้จะเป็นการเช่าในราคาไม่ถึง 100$ ต่อวีค เค้าต้องขับรถพาไปดู 4-5 ที่
เอเจ้นท์ตปท Owner สบายมากครับ จะอยู่คนละรัฐก็ปล่อยบ้านอีกรัฐเช่าได้โดยที่บ้านไม่พัง ทำทุกอย่างครับ เก็บกุญแจสำรอง ขับไล่คนเช่า รับผิดชอบทุกสิ่ง
ยิ่งขายคอนโดหรือบ้าน 300-600k (ดอลล่า) ขึ้นไป คนดูแล้วดูอีกครับ คิดแล้วคิดอีก ฝรั่งมันทำการบ้านกันหนักมากกว่าจะซื้อครับ ฝรั่งซื้อยากกว่าไทยเยอะ และคนไทยก็ซื้อยากกว่าจีนครับ (เพราะที่จีนไม่มีฟรีโฮลด์)
อย่างบางโครงการคลอดออกมาดีโคตรๆ แบบ West Side Place ที่เมลเบิร์น พ่วง Ritz Carlton อยู่ริมถนนใหญ่ใจกลางเมลเบิร์น ฟรีโฮลด์ ซึ่งแทบจะหาข้อติไม่ได้ ป้าย TRAM อยู่หน้าโครงการ อยู่ใกล้ 4 มหาวิทยาลัย ห่างจากสวนเพียง 1 Block ติดแม่น้ำ กับสนามฟุตบอล Ethihad ทั้งหมดนี้Full Package ตารางเมตรไม่ถึง 3 แสนบาท และถ้าเป็นที่ไทยคงจะหมดตั้งแต่1 นาทีแรก แต่ที่นี่ยังขายไม่หมดเลยครับ
อะ เอารูปไปดูกันเล่นๆขรรมๆ
2.การที่ท่านรับซื้อดาวน์ต่อราคาเยอะๆในราคาขาดทุนก่อนที่โครงการจะเสร็จเนี่ย บางครั้งอาจจะไม่ได้ทำให้ท่านได้ผลตอบแทน Yield spreads / Capital gain เท่ากับคอนโดที่ขายราคาเหมาะสมต่อทำเลและค่าเช่าก็เป็นได้ครับ
เช่นทำเลเดียวกัน
ยกตัวอย่างเช่น Condo A ราคา 3 แสนต่อตารางเมตร ขายขาดทุนหน้าสัญญา 1 หมื่นบาทต่อตารางเมตร ขนาดห้อง 30 ตารางเมตร อยู่ที่การขาดทุน 3 แสนบาทต่อสัญญา หลังจากประเมินศักยภาพค่าเช่าที่แท้จริง จากทุกปัจจัย อาจจะจะอยู่ที่ 850 บาทต่อตารางเมตร และ Potential Growth ด้านราคาในระยะใกล้ๆนี้อาจจะแทบไม่มี
ซึ่งต่อให้คุณซื้อขาดทุน 3 แสนมา คุณก็จะได้ Yield แค่ 3.5% เท่านั้น ส่วน Capital gain คุณอาจจะได้ 10000 บาทต่อตรม หรือคุณอาจจะไม่ได้เลย
ในขณะที่ Condo B ราคา 1.6 แสนต่อตารางเมตร ขายกำไรหน้าสัญญา 1 หมื่นบาทต่อตารางเมตร ขนาดห้อง 30 ตารางเมตร Owner กำไร 3 แสนบาทต่อสัญญา หลังจากคุณประเมินศักยภาพค่าเช่าที่แท้จริง อาจจะอยู่ที่ 600 บาทต่อตารางเมตร และ Potential Growth ด้านราคาอาจจะอยู่ที่ 2-3 หมื่นบาทต่อตารางเมตร
ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ทำให้คุณอยู่ในระยะปลอดภัยในการลงทุน ทั้งสองกลยุทธ นี่เป็นสิ่งที่ Yieldspreads Investors มือเก๋าท่านอื่นๆเคยสอนผมเหมือนกัน
"ผมไม่สนว่าใครกำไรขาดทุน ผมสนศักยภาพในการเติบโตของทำเลมากกว่า"
3. คุณไม่สามารถคาดหวังค่าเช่าในการพักอาศัย ราคาสูงกว่าค่าเช่าออฟฟิศ(ใหม่) ได้
นั่นแหละครับ เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลกครับ ค่าเช่าที่แพงที่สุด
1.พื้นที่ขาย (Commercial Space) ยกตัวอย่างนะครับ พื้นที่เซ้งใน Platinum Mall (แพลตตินั่มเซ้งกันไม่ต่ำกว่า 4.5แสน -5 แสนต่อตารางเมตร), พื้นที่เซ้งห้องในเวิลเทรด ก่อนเป็นเซ็นทรัลเวิลด์ (ปัจจุบันสัญญาเซ้งครบและไม่มีแล้วทุกห้องแล้ว) , พื้นที่เซ้งในมาบุญครอง (ห้องละ 50 ตรมไม่ต่ำกว่า 15 ล้าน) สยามสแควร์ 4000-6000 บาทต่อตารางเมตร
สยามกาแฟ ราคานี้จริงๆ แรงเว่อร์ๆ แต่ Traffic ก็เช่นกัน ไม่อย่างงั้น Rolex และทิวดอร์ จะมาอยู่ตรงนี้เป็นเวลาช้านานหรือครับ 5555
2.ค่าเช่า ออฟฟิศ (Office Space)
Office Spaces เป็นสิ่งค่าเช่าไม่ถูกกว่าที่พักอาศัย เพราะมันคือสถานที่ๆทำมาหากินเช่นกัน
เรามาดูอัตราค่าเช่า Office Spaces ใจกลางกรุงกันดีกว่าครับ
ค่าเช่าออฟฟิศในอาคารสยามพิวรรธน์ (สยามทาวเวอร์) ออฟฟิศ 4.5 ดาว ติดห้าง ติดรถไฟฟ้า Interchange ใน Multi-complexes ราคา 979 / ตารางเมตร
ซึ่งถ้าหากคุณเป็นผู้เช่าระยะยาว พื้นที่ใหญ่ คุณยังจะสามารถ Negotiate ราคาลงไปได้อีก!!
ซึ่งถ้ามีเอเจ้นท์สักคนบอกคุณว่า คอนโด ระดับ 5 ดาวในราชเทวีจะค่าเช่าตารางเมตรจะ 1000 บาท แล้วท่านเช่าออกจริงๆ บอกให้เอเจ้นท์ทั่นนั้นอมไปอุนจิหมามาพ่นใส่หน้าผมได้เลย!!
เช่นเดียวกันครับ ลองดูค่าเช่าของ The Diplomat vs The Marque
ทุกวันนี้ออฟฟิศ 5 Stars อย่าง Bhiraj ที่อยู่ติดรถไฟฟ้า อยู่ในอาคาร Emquartier ราคาอยู่ที่ 1500-2200 บาทต่อตารางเมตร
เช่นเดิม ใครบอกว่าพร้อมพงศ์จะต้องได้ตารางเมตรละ 2000 จงไปอมอุนจิสุนัขมาพ่นใส่หน้าผม
มาส่องค่าเช่าของ Diplomat จากเอเจ้นท์ Local กันครับ
60sqm 40,000 baht !!!!!!!!!!!!! O_o นี่มันยังไม่ถึง 900 บาทเลยด้วยซ้ำ (666.67 บาท) คุณจาต้องล้อผมเล่งแน่ๆเลยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย ว้ากกกกกกกกกกก
Marque Sukhumvit ตารางเมตรละ 330000-450000 ค่าเช่าเริ่มต้นอยู่ที่ราวๆ 1000 บาท แต่ตึกนี้Workเยอะมากครับ ไม่ว่าจะเป็น การที่อยู่ริมถนนใหญ่ เดิน 3 ก้าวถึง เอมควาเทียร์ และติดกับ 2 ออฟฟิศ คือ ภิรัชที่เป็น 5 ดาว และ ออฟฟิศ 4.5 ดาวอย่าง Metropolis รวมถึงของในห้องก็เป็นของดีคุณค่าที่ทุกคนคู่ควรไม่ว่าจะเป็นหินจริง ไม้จริง ฟาซิลิตี้ สระว่ายน้ำระดับ 5 ดาว
ถ้า Owner ไม่ได้ซื้อราคา Early Bird ที่ 2.4 แสน ค่าเช่าจะยังไม่ถึง 4 % เลยครับ
จะเห็นมั้ยล่ะครับ ว่าค่าเช่าที่พักอาศัย มันจะวิ่งตามค่าเช่า Office แบบนี้ ไม่ว่าคุณจะอยู่ทำเลไหนบนโลกใบนี้ก็ตาม ไม่ว่าจะเป็น London , Manchester , Sydney , Melbourne , Tokyo
ที่ผมดูมาทั้งหมด พื้นที่ทำมาหากินมันจะต้องแพงกว่าที่พักเสมอครับ
หากคุณชอบกระทู้ผมสามารถเม้น + โหวตเป็นกำลังใจให้ด้วยนะ
หากท่านชอบสิ่งที่ผมเขียน สามารถทักมาพูดคุยที่เพจของผมได้ที่นี่
https://www.facebook.com/Alohainvest
อัพเดทเรื่องราวสุดเกรียนเกี่ยวกับการลงทุนหุ้นและอสังหา(คอนโด)ไว้ในเพจ
พักเบรคทานข้าวชั่วครู่ เดี๋ยวมาแฉกันต่อครับ