เกร่ินก่อนว่า น้ำหน้าอย่างดิฉัน ผ่านร้อนผ่านหนาวเข้าสู่วัย 42 โดยไม่เคยผ่านเข็ม หรือ การยกกระชับหน้าด้วยวิธีการใดๆ มาก่อน
ผิวหน้า : แพ้ง่าย + ผสม
สีผิว : สองสี under tone เหลือง
สภาพผิว : มีริ้วรอย ตามวัย รอยดำจากสิวและเริ่มมีฝ้า (แม้จะใช้ครีมกันแดดทุกวัน)
เริ่มต้นที่มาของการ (ทดลอง) ไปทำเพียงครั้งเดียว ด้วยการเห็นเพื่อนที่ผ่านการทำความงามอย่างช่ำชอง พร้อมกับประสบปัญหาแก้มหย่อยคล้อย และใดๆ คือสัมผัสได้ถึงความหย่อนยานของหนังหน้า!
แต่ด้วยข้อแม้ขอตัวเองคือ ไม่เอาเข็ม ไม่กรีด ไม่เจาะ ไม่ต้องการเลือด! จึงทำให้ข้อจำกัดที่เลือกได้เพียงเจ้าเครื่องเลเซอร์ (ไม่แน่ใจว่าใช้เทคโนโลยีใด อาจจะเรียกผิดนะคะ ไม่มีความรู้ด้านนี้จริงๆ) ซึ่งในท้องตลาดตอนนี้ เด่นๆ ก็จะมี (อันนี้จากเพื่อนแนะนำนะคะ)
Hifu อันนี้ก็จะเหมาะกับผิวสาว ที่ไม่เกิน 30
Ultraformer III ส่วนนี้เหมาะกับอิชั้นมากที่สุด แก้ปัญหาหย่อนยานในสภาพหนังหน้ายังพอจะยกกระชับขึ้นได้บ้าง เจ็บน้อย
Ultrera ส่วนนี้ก็ดี แต่เจ็บหน่อย ได้ข่าวว่าตัวนี้ ตอนนี้มีเทคโนโลยีใหม่ที่เจ็บลดลงกว่าเดิม ถ้าเพิ่มงบหน่อย เพื่อนก็แนะนำตัวนี้ แต่ถ้าจะให้ดี ไปทดสอบความทนทานก่อนว่าไหวไม๊ .. ด้วย Ultraformer III จะดีกว่า
ฟังแบบนี้ไปปุ๊บ ... ด้วยปัญหาที่มี ก็เลย เอาสิคะ คลินิกที่เพื่อนแนะนำ พร้อมราคา ก็รับได้ เราจ่ายไปทั้งหน้าและเหนียง (ไม่จำกัดช็อต) 8,900 บาท ที่อื่นไม่รู้เท่าไหร่เพราะไม่เคยทำการบ้าน ซึ่งไม่ควรเลยจริงๆ แต่ก็โอเคค่ะ เรารับได้ก็ถือว่าจบ
กลับถึงบ้าน ก็เข้าไปดูรายละเอียด ข้อมูลต่างๆ ในเพจของคลินิก เสร็จปั๊บ ก็ทดลองคุยกับแอดมินดูเลยว่า จะใจเย็นอธิบายให้เราฟังไม๊นะ ส่วนตัวเชื่อว่า การบริการสำคัญ ถ้าแอดมินอธิบายให้คนไม่เข้าใจ ไม่มีประสบการณ์ ไม่มีความรู้เข้าใจ ทุกอย่างก็จะโอเคเอง 55
เสร็จแล้วเราก็จองคิวในเช้าวันถัดไปและนัดวันตามที่เราสะดวกเลยค่ะ
และ..วันเชือด! ก็มาถึง และนี่คือสภาพหน้าก่อนทำความสะอาดและทายาชาค่ะ
เราได้ราคานั้น ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเขามีโปรฯ ให้ด้วย ก็คือ การนวดหน้าและทำ meso อันนี้ก็เป็นเข็มจิ้มๆ ซึ่งถาม therapist แล้วว่าเจ็บไม๊ ถ้าเจ็บไม่ทำ ทางเขาก็ยืนยันว่าไม่เจ็บค่ะ เราก็เอาวะ ... ของฟรี ต้องลอง ถ้าเจ็บค่อยหยุด
ปรากฎว่า อ้าววว .... ไม่เจ็บสักกะจิ๊ด จะมีรู้สึกหน่อยๆ แบบน้อยมาก
ส่วนผลของ meso อันนี้ไม่แน่ใจเลยจริงๆ แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าผลของเขาหลังจากทำคืออะไร ก็ถามน้องเขาก็ได้ความว่า ผิวจะใสขึ้น ซึ่งก็ เดี๋ยวรอดูผลที่ได้ในตอนท้ายนี้ค่ะ
ทำเสร็จก็ได้เวลาทายาชา บอกเลยว่า เราทิ้งไว้ 1 ชั่วโมง ใช่ค่ะ! แม้จะเสียเวลาสักหน่อยแต่เพื่อความมั่นใจว่าเราจะไม่รู้สึกอะไร อันนี้ยอม
ระหว่างทายาชา ตอนแรกก็ชิวๆ ไม่ได้รู้สึกหรือแสบหน้า แต่พอสักครึ่งชั่วโมงผ่านไป มันได้ความเย็นๆ ชาๆ เหมือนหน้าเริ่มตึง โดยเฉพาะตรงมุมปาก พอครบเวลาปั๊บ 1 ชั่วโมงเป๊ะ! therapist คนเดิม คนดี ก็มาเช็ดยาชาออก พร้อมให้เราไปอีกห้องค่ะ
มาถึงตอนนี้ถามว่าตื่นเต้นไม๊ .. ก็มีใจตูมๆ เพราะเอาจริงเราก็ยังแอบกลัวค่ะ (เป็นคนค่อนข้างใจเสาะกับอะไรแบบนี้ >< ) สักพักคุณหมอเข้ามา เราทำกับคุณหมออั้ม อันนี้เพื่อนก็แนะนำอีก กำชับมาเลยว่าต้องคุณหมอท่านนี้เท่านั้น เราก็อ่า ..ตามเพื่อนค่ะ
ปล. แอบแซวว่า เพื่อนเรานี่เหมาะกับการเป็นเซลล์มาก แนะนำดี ชัดเจน แต่เพื่อนก็ไม่ได้อะไรกับที่นี่เพราะแอบเช็คกับแอดมินและ therapist แล้วค่ะ ว่าไม่รู้จักกัน ขนาดบอกว่าเป็นลูกค้าที่เคยมาทำ เขายังจำไม่ได้ อ่ะ อันนี้เราก็น่าจะไม่โดนเพื่อนแกงแล้ว 55
พอเริ่มทำ คุณหมออั้มมือไม่เบาเลย 55 ดึงๆ ยิงๆ พร้อมกับอธิบาย แล้วก็มีการเปลี่ยนหัว ในบริเวณต่างๆ ซึ่งคุณหมอก็บอกว่า แต่ละส่วนของหน้าจะใช้หัว กับความลึกไม่เท่ากัน ในส่วนนี้เราไม่ลงรายละเอียดนะคะ ไม่เชี่ยวชาญเลยจริงๆ ซึ่งในส่วนของความเจ็บ มีบ้างค่ะ โดยเฉพาะบริเวณคิ้ว แปล๊บๆ จี๊ดๆ จนเราต้องถามคุณหมอว่า คิ้วเรายังอยู่ใช่ไม๊ >< มันเหมือนโดนดึงคิ้ว ลากคิ้ว ไปเลย แล้วก็มารู้สึกจิ๊ดๆ ตรงกรามฟัน นิดหน่อย อันนี้น้อยกว่าคิ้วค่ะ
สำหรับเรา บริเวณคิ้ว เป็นจุดที่รู้สึกที่สุด แต่ไม่เจ็บนะ ทีแรกทำใจมาว่าตรงเหนียงต้องเจ็บแน่เลย แต่กลับเป็นจุดที่แทบไม่รู้สึกอะไรเลยค่ะ เราไม่รู้ว่าเราโดนไปกี่ช็อต ซึ่งผลที่ได้ ทันทีหลังจากที่เราก้าวเท้าออกจากคลินิก ก็เป็นแบบนี้ค่ะ
ซึ่งความไม่ฉลาดของเราก็คือ มันเป็นการนอนถ่าย กับนั่งถ่าย โว้!! แล้วจะเห็นความเปลี่ยนแปลงยังไง บริเวณตาที่เป็นปูดๆ นั้น มองข้ามไปก่อนนะคะ เราเป็นภูมิแพ้แล้วตาบวมค่ะ ไม่ได้เกิดจากการทำหัตถการแต่อย่างใด
ลองเทียบดูกับวันปัจจุบัน ซึ่งหน้าเราจะรู้สึกตึงๆ ระบมอยู่ด้านใดอยู่ค่ะ หน้าก็จะได้ประมาณนี้ ถามว่าเราสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงไม๊ .. ก็เหมือนว่าจะไม่เท่าไหร่ ซึ่งก่อนทำหมอเขาจะบอกว่า หน้า ตา หัวคิ้ว จะกระชับขึ้นประมาณ 20% และจะค่อยๆ กระชับขึ้นภายใน 1 เดือน ซึ่งตัวที่เราทำจะอยู่ได้ประมาณ 3-6 เดือนค่ะ
ภาพทุกด้าน อ่า .. สิ่งหนึ่งที่เราสังเกตุก็คือ บริเวณกรอบหน้าค่ะ อันนี้ชัดขึ้นจริง จากปกติ เราจะมีเนื้อหย่อนหน่อยๆ
อันนี้จะเป็นพวกรูปเก่าๆ ในหลายปีก่อนโควิดและรูปเมื่อปีที่แล้วของเรา ซึ่งก็จะเห็นว่า เรื่องร่องแก้ม เราก็จะมีอยู่แล้วค่ะ โดยปกติเราเป็นคนหน้าค่อนข้างเล็กอยู่แล้วค่ะ
ถ้าถามว่าแนะนำให้คนที่สนใจอยู่ไปทำไม๊ เราก็คิดว่า มันโอเคอยู่ค่ะ ถึงแม้จะไม่ได้ดึงเด้งตึงกระชับเลยในทีเดียว เพราะแน่นอนว่ามันเป็นเครื่องที่ส่งความร้อนไปชั้นผิว ซึ่งหากต้องการหน้าเป๊ะ กระชับ เหมือนสาวๆ เลย อาจต้องมีการทำอย่างอื่นร่วมด้วย ซึ่งในส่วนนี้คุณหมอก็แนะนำมาแล้วค่ะ
ถามว่าเราจะไปทำซ้ำไม๊ ตอบได้เลยค่ะ ว่าไป เพราะคุณหมอแนะนำว่า ถ้าเราไม่ชอบเข็มแบบนี้ ควรทำปีละ 2 ครั้งและติดต่อกันประมาณ 3 ปี หลังจากนั้นก็เหลือปีละ 1 ครั้งก็เพียงพอค่ะ ซึ่งเราจะลองเชื่อคุณหมอดู แต่คราวหน้าอาจจะขยับลองไปทำ Ultrera ดูค่ะ ถึงตอนนั้น ผลจะเป็นยังไง เราจะมาเล่าให้เพื่อนๆ ฟังอีกที
ใครอยากรู้ กดติดตามไว้น๊า ปีหน้าเราจะกลับมาอัพเดตค่ะ 555
[CR] แชร์ประสบการณ์ตรง Ultraformer III ครั้งแรกในชีวิต
ผิวหน้า : แพ้ง่าย + ผสม
สีผิว : สองสี under tone เหลือง
สภาพผิว : มีริ้วรอย ตามวัย รอยดำจากสิวและเริ่มมีฝ้า (แม้จะใช้ครีมกันแดดทุกวัน)
เริ่มต้นที่มาของการ (ทดลอง) ไปทำเพียงครั้งเดียว ด้วยการเห็นเพื่อนที่ผ่านการทำความงามอย่างช่ำชอง พร้อมกับประสบปัญหาแก้มหย่อยคล้อย และใดๆ คือสัมผัสได้ถึงความหย่อนยานของหนังหน้า!
แต่ด้วยข้อแม้ขอตัวเองคือ ไม่เอาเข็ม ไม่กรีด ไม่เจาะ ไม่ต้องการเลือด! จึงทำให้ข้อจำกัดที่เลือกได้เพียงเจ้าเครื่องเลเซอร์ (ไม่แน่ใจว่าใช้เทคโนโลยีใด อาจจะเรียกผิดนะคะ ไม่มีความรู้ด้านนี้จริงๆ) ซึ่งในท้องตลาดตอนนี้ เด่นๆ ก็จะมี (อันนี้จากเพื่อนแนะนำนะคะ)
Hifu อันนี้ก็จะเหมาะกับผิวสาว ที่ไม่เกิน 30
Ultraformer III ส่วนนี้เหมาะกับอิชั้นมากที่สุด แก้ปัญหาหย่อนยานในสภาพหนังหน้ายังพอจะยกกระชับขึ้นได้บ้าง เจ็บน้อย
Ultrera ส่วนนี้ก็ดี แต่เจ็บหน่อย ได้ข่าวว่าตัวนี้ ตอนนี้มีเทคโนโลยีใหม่ที่เจ็บลดลงกว่าเดิม ถ้าเพิ่มงบหน่อย เพื่อนก็แนะนำตัวนี้ แต่ถ้าจะให้ดี ไปทดสอบความทนทานก่อนว่าไหวไม๊ .. ด้วย Ultraformer III จะดีกว่า
ฟังแบบนี้ไปปุ๊บ ... ด้วยปัญหาที่มี ก็เลย เอาสิคะ คลินิกที่เพื่อนแนะนำ พร้อมราคา ก็รับได้ เราจ่ายไปทั้งหน้าและเหนียง (ไม่จำกัดช็อต) 8,900 บาท ที่อื่นไม่รู้เท่าไหร่เพราะไม่เคยทำการบ้าน ซึ่งไม่ควรเลยจริงๆ แต่ก็โอเคค่ะ เรารับได้ก็ถือว่าจบ
กลับถึงบ้าน ก็เข้าไปดูรายละเอียด ข้อมูลต่างๆ ในเพจของคลินิก เสร็จปั๊บ ก็ทดลองคุยกับแอดมินดูเลยว่า จะใจเย็นอธิบายให้เราฟังไม๊นะ ส่วนตัวเชื่อว่า การบริการสำคัญ ถ้าแอดมินอธิบายให้คนไม่เข้าใจ ไม่มีประสบการณ์ ไม่มีความรู้เข้าใจ ทุกอย่างก็จะโอเคเอง 55
เสร็จแล้วเราก็จองคิวในเช้าวันถัดไปและนัดวันตามที่เราสะดวกเลยค่ะ
และ..วันเชือด! ก็มาถึง และนี่คือสภาพหน้าก่อนทำความสะอาดและทายาชาค่ะ
เราได้ราคานั้น ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเขามีโปรฯ ให้ด้วย ก็คือ การนวดหน้าและทำ meso อันนี้ก็เป็นเข็มจิ้มๆ ซึ่งถาม therapist แล้วว่าเจ็บไม๊ ถ้าเจ็บไม่ทำ ทางเขาก็ยืนยันว่าไม่เจ็บค่ะ เราก็เอาวะ ... ของฟรี ต้องลอง ถ้าเจ็บค่อยหยุด
ปรากฎว่า อ้าววว .... ไม่เจ็บสักกะจิ๊ด จะมีรู้สึกหน่อยๆ แบบน้อยมาก
ส่วนผลของ meso อันนี้ไม่แน่ใจเลยจริงๆ แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าผลของเขาหลังจากทำคืออะไร ก็ถามน้องเขาก็ได้ความว่า ผิวจะใสขึ้น ซึ่งก็ เดี๋ยวรอดูผลที่ได้ในตอนท้ายนี้ค่ะ
ทำเสร็จก็ได้เวลาทายาชา บอกเลยว่า เราทิ้งไว้ 1 ชั่วโมง ใช่ค่ะ! แม้จะเสียเวลาสักหน่อยแต่เพื่อความมั่นใจว่าเราจะไม่รู้สึกอะไร อันนี้ยอม
ระหว่างทายาชา ตอนแรกก็ชิวๆ ไม่ได้รู้สึกหรือแสบหน้า แต่พอสักครึ่งชั่วโมงผ่านไป มันได้ความเย็นๆ ชาๆ เหมือนหน้าเริ่มตึง โดยเฉพาะตรงมุมปาก พอครบเวลาปั๊บ 1 ชั่วโมงเป๊ะ! therapist คนเดิม คนดี ก็มาเช็ดยาชาออก พร้อมให้เราไปอีกห้องค่ะ
มาถึงตอนนี้ถามว่าตื่นเต้นไม๊ .. ก็มีใจตูมๆ เพราะเอาจริงเราก็ยังแอบกลัวค่ะ (เป็นคนค่อนข้างใจเสาะกับอะไรแบบนี้ >< ) สักพักคุณหมอเข้ามา เราทำกับคุณหมออั้ม อันนี้เพื่อนก็แนะนำอีก กำชับมาเลยว่าต้องคุณหมอท่านนี้เท่านั้น เราก็อ่า ..ตามเพื่อนค่ะ
ปล. แอบแซวว่า เพื่อนเรานี่เหมาะกับการเป็นเซลล์มาก แนะนำดี ชัดเจน แต่เพื่อนก็ไม่ได้อะไรกับที่นี่เพราะแอบเช็คกับแอดมินและ therapist แล้วค่ะ ว่าไม่รู้จักกัน ขนาดบอกว่าเป็นลูกค้าที่เคยมาทำ เขายังจำไม่ได้ อ่ะ อันนี้เราก็น่าจะไม่โดนเพื่อนแกงแล้ว 55
พอเริ่มทำ คุณหมออั้มมือไม่เบาเลย 55 ดึงๆ ยิงๆ พร้อมกับอธิบาย แล้วก็มีการเปลี่ยนหัว ในบริเวณต่างๆ ซึ่งคุณหมอก็บอกว่า แต่ละส่วนของหน้าจะใช้หัว กับความลึกไม่เท่ากัน ในส่วนนี้เราไม่ลงรายละเอียดนะคะ ไม่เชี่ยวชาญเลยจริงๆ ซึ่งในส่วนของความเจ็บ มีบ้างค่ะ โดยเฉพาะบริเวณคิ้ว แปล๊บๆ จี๊ดๆ จนเราต้องถามคุณหมอว่า คิ้วเรายังอยู่ใช่ไม๊ >< มันเหมือนโดนดึงคิ้ว ลากคิ้ว ไปเลย แล้วก็มารู้สึกจิ๊ดๆ ตรงกรามฟัน นิดหน่อย อันนี้น้อยกว่าคิ้วค่ะ
สำหรับเรา บริเวณคิ้ว เป็นจุดที่รู้สึกที่สุด แต่ไม่เจ็บนะ ทีแรกทำใจมาว่าตรงเหนียงต้องเจ็บแน่เลย แต่กลับเป็นจุดที่แทบไม่รู้สึกอะไรเลยค่ะ เราไม่รู้ว่าเราโดนไปกี่ช็อต ซึ่งผลที่ได้ ทันทีหลังจากที่เราก้าวเท้าออกจากคลินิก ก็เป็นแบบนี้ค่ะ
ซึ่งความไม่ฉลาดของเราก็คือ มันเป็นการนอนถ่าย กับนั่งถ่าย โว้!! แล้วจะเห็นความเปลี่ยนแปลงยังไง บริเวณตาที่เป็นปูดๆ นั้น มองข้ามไปก่อนนะคะ เราเป็นภูมิแพ้แล้วตาบวมค่ะ ไม่ได้เกิดจากการทำหัตถการแต่อย่างใด
ลองเทียบดูกับวันปัจจุบัน ซึ่งหน้าเราจะรู้สึกตึงๆ ระบมอยู่ด้านใดอยู่ค่ะ หน้าก็จะได้ประมาณนี้ ถามว่าเราสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงไม๊ .. ก็เหมือนว่าจะไม่เท่าไหร่ ซึ่งก่อนทำหมอเขาจะบอกว่า หน้า ตา หัวคิ้ว จะกระชับขึ้นประมาณ 20% และจะค่อยๆ กระชับขึ้นภายใน 1 เดือน ซึ่งตัวที่เราทำจะอยู่ได้ประมาณ 3-6 เดือนค่ะ
ภาพทุกด้าน อ่า .. สิ่งหนึ่งที่เราสังเกตุก็คือ บริเวณกรอบหน้าค่ะ อันนี้ชัดขึ้นจริง จากปกติ เราจะมีเนื้อหย่อนหน่อยๆ
อันนี้จะเป็นพวกรูปเก่าๆ ในหลายปีก่อนโควิดและรูปเมื่อปีที่แล้วของเรา ซึ่งก็จะเห็นว่า เรื่องร่องแก้ม เราก็จะมีอยู่แล้วค่ะ โดยปกติเราเป็นคนหน้าค่อนข้างเล็กอยู่แล้วค่ะ
ถ้าถามว่าแนะนำให้คนที่สนใจอยู่ไปทำไม๊ เราก็คิดว่า มันโอเคอยู่ค่ะ ถึงแม้จะไม่ได้ดึงเด้งตึงกระชับเลยในทีเดียว เพราะแน่นอนว่ามันเป็นเครื่องที่ส่งความร้อนไปชั้นผิว ซึ่งหากต้องการหน้าเป๊ะ กระชับ เหมือนสาวๆ เลย อาจต้องมีการทำอย่างอื่นร่วมด้วย ซึ่งในส่วนนี้คุณหมอก็แนะนำมาแล้วค่ะ
ถามว่าเราจะไปทำซ้ำไม๊ ตอบได้เลยค่ะ ว่าไป เพราะคุณหมอแนะนำว่า ถ้าเราไม่ชอบเข็มแบบนี้ ควรทำปีละ 2 ครั้งและติดต่อกันประมาณ 3 ปี หลังจากนั้นก็เหลือปีละ 1 ครั้งก็เพียงพอค่ะ ซึ่งเราจะลองเชื่อคุณหมอดู แต่คราวหน้าอาจจะขยับลองไปทำ Ultrera ดูค่ะ ถึงตอนนั้น ผลจะเป็นยังไง เราจะมาเล่าให้เพื่อนๆ ฟังอีกที
ใครอยากรู้ กดติดตามไว้น๊า ปีหน้าเราจะกลับมาอัพเดตค่ะ 555
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้