บทที่ 17 เรื่องวุ่นวายในบ้านวรภักดิ์ 2
“ ใครก็ได้ไปโทรเรียกหมอให้ที ! ”
วรรณภพตะโกนสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด พิเชษฐ์ที่ยืนอยู่ด้านนอกจึงรีบวิ่งออกไปที่ตึกใหญ่เพื่อใช้โทรศัพท์ทันที
“ ใจเย็นๆนะป้า ไหนขอให้ฉันดูหน่อยสิ ” วรรณภพขยับเข้าไปใกล้ร่างไร้วิญญานของนางน้อย
“ เรียกหมอมาก็เปล่าประโยชน์ค่ะคุณท่าน นางน้อยมันสิ้นใจไปแล้ว ” หล่อนพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
วรรภพค่อยๆเอามือซ้อนใต้ศรีษะของน้อยแล้วยกขึ้นมา เขาเอานึ้วลูบไปที่ริมฝีปากของหล่อนซึ่งเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบอาเจียน เสร็จแล้วจึงเอามาดมดู
“ กลิ่นสารหนูนี่ " พูดจบเขาก็หันมองหน้าทุกคนแล้วจึงพูดต่อ
" มีกลิ่นสารหนูได้ไง คงไม่ใช่เผลอกินเข้าไปหรอกนะ ”
ไม่มีใครตอบคำถามนี้ได้ ทุกคนในที่นั้นเอาแต่ส่ายหน้า แต่ในอีกไม่กีนาทีต่อมาพิเชษฐ์ก็พาคุณหมอประสิทธิ์นายแพทย์จากโรงพยาบาลใกล้บ้านซึ่งเขารู้จักมักคุ้นกับบ้านวรภักดิ์เป็นอย่างดี ทั้งสองคนเดินเข้าในห้องอย่างร้อนรน
“ เอ้า ทุกคนออกมารอข้างนอกก่อน หลีกทางให้หมอได้ทำงานด้วย ” วรรณภพตวาดเสียงดังเพื่อเป็นการเคลียร์พื้นที่
หลังจากที่ทุกคนออกมารอที่นอกตัวเรือน วรรณภพก็กระซิบถามน้องชายของเขาเบาๆ
“ แกแจ้งตำรวจไปแล้วใช่ไหม ”
“ ครับ ตำรวจกำลังเดินทางมา ”
เขาพยักหน้าช้าๆ ก่อนจะรีบเดินตรงไปประคองอรสา หล่อนเดินงัวเงียออกมาจากบ้านคล้ายกับคนเมาเพราะเพิ่งตื่นนอน โดยมีประทีปตามออกมาด้วยอีกคน
“ คนเยอะจังเลย มีอะไรกันหรือคะภพ ”
“ ลงมาที่นี่ทำไม กลับไปนอนซะ ” วรรณภพตวาดว่าทีภริยาของเขาเสียงดัง
“ ดิฉันได้เสียงคนเอะอะโวยวายก็เลยลงมาดู ”
“ เกิดอะไรวะภพ มีใครเป็นอะไรงั้นเหรอ ” ก่อนที่วรรณภพจะพูดอะไรต่อ ประทีปก็ชิงถามขึ้นมาเสียก่อน
วรรณภพถอนหายใจเฮือกใหญ่ เหมือนเขาจะไม่อยากให้อรสาได้ยินมันสักเท่าไหร่
“ สาวใช้คนใหม่ของเราตายแล้ว พี่อยากรู้ก็เข้าไปดูเองสิ ” พูดจบเขาก็ฉุดแขนของอรสาเอาไว้เพื่อห้ามไม่ให้หล่อนเข้าไป
“ อย่าเข้าไปเลย ไม่ใช่ภาพที่น่าดูนักหรอก ”
ผ่านไปราวสิบห้านาที ผู้หมวดวิสุทธ์กับลูกน้องอีกสองคนก็เข้ามา เขาเริ่มตรวจสอบที่เกิดเหตุแล้วทำการซักถามพยาน หลังการนั้นก็หันไปพูดคุยกับคุณหมอประสิทธิ์อยู่ราวครึ่งชั่วโมงจึงเดินเข้ามาหาคณะสามพี่น้องและอรสาที่กำลังนั่งปรึกษากันอยู่ที่เรือนต้นไม้
“ สวัสดีครับคุณวรรณภพ ” ผู้หมวดหนุ่มทักทายลูกชายคนกลางของบ้านวรภักดิ์ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ ตกลงว่ายังไงกันครับ ” ประทีปที่อดรนทนไม่ไหวจึงเอ่ยปากถาม
“ พบสารหนูปนเปื้อนในคราบอาเจียนของผู้ตายในปริมาณมาก ตอนนี้เราสันนิษฐานว่าเป็นการฆ่าตัวตาย เพราะผู้ตายเสียชีวิตมาสี่ชั่วโมงแล้วในห้องที่ปิดตาย ตรวจสอบแล้วไม่มีการงัดแงะอะไร คุณอย่ากังวลไปเลยครับเราจะรีบจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด รับรองได้เลยว่าจะไม่กระทบกับชื่อเสียงของพวกคุณแน่ "
“ เฮ้อ อย่างนี้ผมค่อยรู้สึกสบายใจหน่อย ” พูดแล้วประทีปก็คว้าปากกาออกมาเซ็นเช็คที่หยิบติดมือออกมาด้วยแล้วยื่นให้ผู้หมวดหนุ่มหนึ่งฉบับ เขารีบกระพุ่มมือไหว้รับมันไว้อย่างนอบน้อม ท่ามกลางสายตาที่ไม่พอใจของวรรณภพ
“ ฝากจัดการด้วยนะครับ ”
“ ไม่มีปัญหาครับ ”
“ จะไม่รีบด่วนสรุปไปหน่อยเหรอครับ ผมอยากจะให้ชันสูตรศพเพิ่มเติมอีกสักหน่อย " วรรภพขัดขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์นัก
“ แกจะทำให้เรื่องมันยุ่งยากขึ้นมาทำไมวะ รีบทำให้มันเสร็จๆไม่ดีกว่าเหรอคนตายก็ตายไปแล้ว รื้อฟื้นขึ้นมาก็มีแต่จะขายขี้หน้าชาวบ้านเขา ” หลังจากเอ็ดน้องชายเสร็จแล้ว ประทีปก็หันมาพูดกับผู้หมวดวิสุทธิ์ที่กำลังยืนทำหน้าเลิกลั่กอยู่
“ เอาตามนั้นแหละผู้หมวด รีบสรุปคดีเสียพรุ่งนี้จะได้นำศพออกไปเผาให้เสร็จๆ ญาติพี่น้องที่ไหนมันก็ไม่มีเดี้ยวฉันจะเป็นเจ้าภาพเผาศพให้เอง ”
นายตำรวจรีบออกไปจากเรือนต้นไม้ทันที เขาไปสั่งการอะไรลูกน้องต่ออีกนิดหน่อยเสร็จแล้วจึงเดินทางกลับ
“ อย่าคิดมากน่าพี่หล่อนก็แค่คนใช้เท่านั้น ถ้าเราไม่รีบจัดการเรื่องนี้เกิดชาวบ้านรู้ว่ามีคนจรหมอนหมิ่นมาตายในบ้านเรา ชื่อเสียงของคุณพ่อมีหวังได้เละป่นปี้แน่ ” พิเชษฐ์หันมาปลอบพี่ชายคนกลางเมื่อเห็นเขาเอาแต่ก้มหน้า
“ อืม ฉันว่าจะขึ้นไปนอนแล้วล่ะ รู้สึกเพลียเหลือเกิน ” พูดจบเขาก็จูงมืออรสาออกเดินไปทางตึกใหญ่ทันที ทิ้งให้ประทีปและพิเชษฐ์นั่งปรึกษาถึงเรื่องงานศพที่จะจัดขึ้นในวันต่อไป
เช้าวันต่อมา งานศพของน้อยถูกจัดขึ้นในวัดแห่งหนึ่งที่อยู่ค่อนข้างไกลออกไปจากบ้านวรภักดิ์ บรรยากาศในงานเป็นไปอย่างเงียบเหงา เนื่องจากไม่ได้เชิญใครอย่างเป็นทางการ มีแต่พวกคนใช้ชายหญิงที่สลับกันมาช่วยงาน ส่วนฝั่งพวกเจ้านายนั้นคงมีแต่อรสาและพิเชษฐ์เท่านั้นที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงช่วยงานกันมาตั้งแต่เช้า
ช่วงก่อนถึงเวลาทอดผ้าบังสุกุลได้นิดหน่อย ฟอร์ดเก๋งสีแดงเข้มก็แล่นเข้ามาจอดภายในเขตวัด ทุกคนต่างก็จ้องไปที่รถคันนั้นเป็นตาเดียว วรรณภพนั้นเอง เขาอยู่ในชุดสากลแบบสุภาพ โดยสวมชุดสูทเน็กไทสีดำตัดกับเสื้อเชิ้ตชั้นในสีขาว เดินตรงเข้ามาในงานเพื่อฟังพระธรรมเทศนาก่อนที่พระจะขึ้นบังสุกุล
“ ช้าจังเลย มัวทำอะไรอยู่คะ นี่พระกำลังจะสวดบังสุกุลแล้ว ” อรสาตำหนิคู่รักของหล่อนเบาๆ
“ ขอโทษที พอดีผมติดประชุมที่บริษัทน่ะ ”
พิธิเผาศพดำเนินไปอย่างเรียบร้อยดี การเผานั้นใช้วิธีเผาแบบกองฟอน จึงไม่ได้มีพิธีรีตองอะไรยุ่งยากนัก ขณะที่ทุกคนเริ่มลุกจากที่นั่งเพื่อเตรียมตัวกลับ วรรณภพก็เดินแยกออกไปยังที่จอดรถของเขา แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงักเมื่อมีอะไรบางอย่างมาสัมผัสที่มือเบาๆจากทางด้านหลัง ป้าสุณีนั้นเองหล่อนแอบเดินตามเขามาจากในงานกว่าจะรู้ตัวหล่อนก็ยัดอะไรบางอย่างใส่ในมือของเขาเรียบร้อยแล้ว
“ คุณวรรณภพคะ รับนี่ไว้ด้วยค่ะดิฉันไม่มีเวลาอธิบายตอนนี้ ช่วยอ่านมันด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ ”
ยังไม่ทันที่เค้าจะตอบว่ากระไร ป้าสุณีก็เดินหันหลังกลับไปเสียแล้ว เขากำกระดาษใบนั้นไว้อย่างงงๆ จนกระทั่งเข้าไปอยู่ในรถเขาจึงได้เปิดมันอ่าน ในนั้นมีข้อความที่ถูกเขียนเอาไว้อย่างกระท่อนกระแท่นว่า
“ ดิฉันมีเรื่องสำคัญอยากจะปรึกษา ช่วยกรุณาไปพบกันที่สวนดอกไม้หลังบ้านในเวลาเทื่ยงคืน ”
พิษสวาท อำพราง ( บทที่ 17 )
“ ใครก็ได้ไปโทรเรียกหมอให้ที ! ”
วรรณภพตะโกนสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด พิเชษฐ์ที่ยืนอยู่ด้านนอกจึงรีบวิ่งออกไปที่ตึกใหญ่เพื่อใช้โทรศัพท์ทันที
“ ใจเย็นๆนะป้า ไหนขอให้ฉันดูหน่อยสิ ” วรรณภพขยับเข้าไปใกล้ร่างไร้วิญญานของนางน้อย
“ เรียกหมอมาก็เปล่าประโยชน์ค่ะคุณท่าน นางน้อยมันสิ้นใจไปแล้ว ” หล่อนพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
วรรภพค่อยๆเอามือซ้อนใต้ศรีษะของน้อยแล้วยกขึ้นมา เขาเอานึ้วลูบไปที่ริมฝีปากของหล่อนซึ่งเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบอาเจียน เสร็จแล้วจึงเอามาดมดู
“ กลิ่นสารหนูนี่ " พูดจบเขาก็หันมองหน้าทุกคนแล้วจึงพูดต่อ
" มีกลิ่นสารหนูได้ไง คงไม่ใช่เผลอกินเข้าไปหรอกนะ ”
ไม่มีใครตอบคำถามนี้ได้ ทุกคนในที่นั้นเอาแต่ส่ายหน้า แต่ในอีกไม่กีนาทีต่อมาพิเชษฐ์ก็พาคุณหมอประสิทธิ์นายแพทย์จากโรงพยาบาลใกล้บ้านซึ่งเขารู้จักมักคุ้นกับบ้านวรภักดิ์เป็นอย่างดี ทั้งสองคนเดินเข้าในห้องอย่างร้อนรน
“ เอ้า ทุกคนออกมารอข้างนอกก่อน หลีกทางให้หมอได้ทำงานด้วย ” วรรณภพตวาดเสียงดังเพื่อเป็นการเคลียร์พื้นที่
หลังจากที่ทุกคนออกมารอที่นอกตัวเรือน วรรณภพก็กระซิบถามน้องชายของเขาเบาๆ
“ แกแจ้งตำรวจไปแล้วใช่ไหม ”
“ ครับ ตำรวจกำลังเดินทางมา ”
เขาพยักหน้าช้าๆ ก่อนจะรีบเดินตรงไปประคองอรสา หล่อนเดินงัวเงียออกมาจากบ้านคล้ายกับคนเมาเพราะเพิ่งตื่นนอน โดยมีประทีปตามออกมาด้วยอีกคน
“ คนเยอะจังเลย มีอะไรกันหรือคะภพ ”
“ ลงมาที่นี่ทำไม กลับไปนอนซะ ” วรรณภพตวาดว่าทีภริยาของเขาเสียงดัง
“ ดิฉันได้เสียงคนเอะอะโวยวายก็เลยลงมาดู ”
“ เกิดอะไรวะภพ มีใครเป็นอะไรงั้นเหรอ ” ก่อนที่วรรณภพจะพูดอะไรต่อ ประทีปก็ชิงถามขึ้นมาเสียก่อน
วรรณภพถอนหายใจเฮือกใหญ่ เหมือนเขาจะไม่อยากให้อรสาได้ยินมันสักเท่าไหร่
“ สาวใช้คนใหม่ของเราตายแล้ว พี่อยากรู้ก็เข้าไปดูเองสิ ” พูดจบเขาก็ฉุดแขนของอรสาเอาไว้เพื่อห้ามไม่ให้หล่อนเข้าไป
“ อย่าเข้าไปเลย ไม่ใช่ภาพที่น่าดูนักหรอก ”
ผ่านไปราวสิบห้านาที ผู้หมวดวิสุทธ์กับลูกน้องอีกสองคนก็เข้ามา เขาเริ่มตรวจสอบที่เกิดเหตุแล้วทำการซักถามพยาน หลังการนั้นก็หันไปพูดคุยกับคุณหมอประสิทธิ์อยู่ราวครึ่งชั่วโมงจึงเดินเข้ามาหาคณะสามพี่น้องและอรสาที่กำลังนั่งปรึกษากันอยู่ที่เรือนต้นไม้
“ สวัสดีครับคุณวรรณภพ ” ผู้หมวดหนุ่มทักทายลูกชายคนกลางของบ้านวรภักดิ์ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ ตกลงว่ายังไงกันครับ ” ประทีปที่อดรนทนไม่ไหวจึงเอ่ยปากถาม
“ พบสารหนูปนเปื้อนในคราบอาเจียนของผู้ตายในปริมาณมาก ตอนนี้เราสันนิษฐานว่าเป็นการฆ่าตัวตาย เพราะผู้ตายเสียชีวิตมาสี่ชั่วโมงแล้วในห้องที่ปิดตาย ตรวจสอบแล้วไม่มีการงัดแงะอะไร คุณอย่ากังวลไปเลยครับเราจะรีบจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด รับรองได้เลยว่าจะไม่กระทบกับชื่อเสียงของพวกคุณแน่ "
“ เฮ้อ อย่างนี้ผมค่อยรู้สึกสบายใจหน่อย ” พูดแล้วประทีปก็คว้าปากกาออกมาเซ็นเช็คที่หยิบติดมือออกมาด้วยแล้วยื่นให้ผู้หมวดหนุ่มหนึ่งฉบับ เขารีบกระพุ่มมือไหว้รับมันไว้อย่างนอบน้อม ท่ามกลางสายตาที่ไม่พอใจของวรรณภพ
“ ฝากจัดการด้วยนะครับ ”
“ ไม่มีปัญหาครับ ”
“ จะไม่รีบด่วนสรุปไปหน่อยเหรอครับ ผมอยากจะให้ชันสูตรศพเพิ่มเติมอีกสักหน่อย " วรรภพขัดขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์นัก
“ แกจะทำให้เรื่องมันยุ่งยากขึ้นมาทำไมวะ รีบทำให้มันเสร็จๆไม่ดีกว่าเหรอคนตายก็ตายไปแล้ว รื้อฟื้นขึ้นมาก็มีแต่จะขายขี้หน้าชาวบ้านเขา ” หลังจากเอ็ดน้องชายเสร็จแล้ว ประทีปก็หันมาพูดกับผู้หมวดวิสุทธิ์ที่กำลังยืนทำหน้าเลิกลั่กอยู่
“ เอาตามนั้นแหละผู้หมวด รีบสรุปคดีเสียพรุ่งนี้จะได้นำศพออกไปเผาให้เสร็จๆ ญาติพี่น้องที่ไหนมันก็ไม่มีเดี้ยวฉันจะเป็นเจ้าภาพเผาศพให้เอง ”
นายตำรวจรีบออกไปจากเรือนต้นไม้ทันที เขาไปสั่งการอะไรลูกน้องต่ออีกนิดหน่อยเสร็จแล้วจึงเดินทางกลับ
“ อย่าคิดมากน่าพี่หล่อนก็แค่คนใช้เท่านั้น ถ้าเราไม่รีบจัดการเรื่องนี้เกิดชาวบ้านรู้ว่ามีคนจรหมอนหมิ่นมาตายในบ้านเรา ชื่อเสียงของคุณพ่อมีหวังได้เละป่นปี้แน่ ” พิเชษฐ์หันมาปลอบพี่ชายคนกลางเมื่อเห็นเขาเอาแต่ก้มหน้า
“ อืม ฉันว่าจะขึ้นไปนอนแล้วล่ะ รู้สึกเพลียเหลือเกิน ” พูดจบเขาก็จูงมืออรสาออกเดินไปทางตึกใหญ่ทันที ทิ้งให้ประทีปและพิเชษฐ์นั่งปรึกษาถึงเรื่องงานศพที่จะจัดขึ้นในวันต่อไป
เช้าวันต่อมา งานศพของน้อยถูกจัดขึ้นในวัดแห่งหนึ่งที่อยู่ค่อนข้างไกลออกไปจากบ้านวรภักดิ์ บรรยากาศในงานเป็นไปอย่างเงียบเหงา เนื่องจากไม่ได้เชิญใครอย่างเป็นทางการ มีแต่พวกคนใช้ชายหญิงที่สลับกันมาช่วยงาน ส่วนฝั่งพวกเจ้านายนั้นคงมีแต่อรสาและพิเชษฐ์เท่านั้นที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงช่วยงานกันมาตั้งแต่เช้า
ช่วงก่อนถึงเวลาทอดผ้าบังสุกุลได้นิดหน่อย ฟอร์ดเก๋งสีแดงเข้มก็แล่นเข้ามาจอดภายในเขตวัด ทุกคนต่างก็จ้องไปที่รถคันนั้นเป็นตาเดียว วรรณภพนั้นเอง เขาอยู่ในชุดสากลแบบสุภาพ โดยสวมชุดสูทเน็กไทสีดำตัดกับเสื้อเชิ้ตชั้นในสีขาว เดินตรงเข้ามาในงานเพื่อฟังพระธรรมเทศนาก่อนที่พระจะขึ้นบังสุกุล
“ ช้าจังเลย มัวทำอะไรอยู่คะ นี่พระกำลังจะสวดบังสุกุลแล้ว ” อรสาตำหนิคู่รักของหล่อนเบาๆ
“ ขอโทษที พอดีผมติดประชุมที่บริษัทน่ะ ”
พิธิเผาศพดำเนินไปอย่างเรียบร้อยดี การเผานั้นใช้วิธีเผาแบบกองฟอน จึงไม่ได้มีพิธีรีตองอะไรยุ่งยากนัก ขณะที่ทุกคนเริ่มลุกจากที่นั่งเพื่อเตรียมตัวกลับ วรรณภพก็เดินแยกออกไปยังที่จอดรถของเขา แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงักเมื่อมีอะไรบางอย่างมาสัมผัสที่มือเบาๆจากทางด้านหลัง ป้าสุณีนั้นเองหล่อนแอบเดินตามเขามาจากในงานกว่าจะรู้ตัวหล่อนก็ยัดอะไรบางอย่างใส่ในมือของเขาเรียบร้อยแล้ว
“ คุณวรรณภพคะ รับนี่ไว้ด้วยค่ะดิฉันไม่มีเวลาอธิบายตอนนี้ ช่วยอ่านมันด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ ”
ยังไม่ทันที่เค้าจะตอบว่ากระไร ป้าสุณีก็เดินหันหลังกลับไปเสียแล้ว เขากำกระดาษใบนั้นไว้อย่างงงๆ จนกระทั่งเข้าไปอยู่ในรถเขาจึงได้เปิดมันอ่าน ในนั้นมีข้อความที่ถูกเขียนเอาไว้อย่างกระท่อนกระแท่นว่า
“ ดิฉันมีเรื่องสำคัญอยากจะปรึกษา ช่วยกรุณาไปพบกันที่สวนดอกไม้หลังบ้านในเวลาเทื่ยงคืน ”