คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 1
การฝังยาคุมกำเนิด จะเป็นการใส่หลอดยาขนาดเล็กมากๆ ที่ภายในมีฮอร์โมนเพศอยู่ ซึ่งหน้าที่ของฮอร์โมนตัวนี้ คือยับยั้งการตกไข่
เยื่อบุผนังมดลูกบางลงไม่แข็งแรง ไม่รองรับไข่ที่ผสมแล้วมาฝังตัว และเมือกปากมดลูกเหนียวข้น ทำให้อสุจิเข้าไปภายในได้ยากค่ะ
ซึ่งหลังจากฝังยาคุม หากฝังยาคุมกำเนิดภายในไม่เกิน 5 วันนับตั้งแต่มีประจำเดือนมา ยาฝังก็จะสามารถออกฤทธิ์ในการป้องกัน
การตั้งครรภ์ได้ทันที แต่หากฝังในช่วงเวลาอื่น ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 7 วัน ยาฝังจึงจะเริ่มออกฤทธิ์ค่ะ จึงควรงดการมีเพศสัมพันธ์
หรือใช้ถุงยางอนามัยไปก่อน ซึ่งหากไม่ได้ป้องกันในช่วง 7 วันแรกนี้ ก็มีโอกาสที่จะตั้งครรภ์ได้ค่ะ
ทั้งนี้ หากคุณได้เริ่มฝังยาคุมกำเนิด ภายใน 5 วันแรกของการมีประจำเดือน ยาฝังคุมกำเนิดก็จะสามารถออกฤทธิ์ในการป้องกัน
การตั้งครรภ์ได้ทันที โดยประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ของยาฝังคุมกำเนิดทั้งแบบ 3 ปีและ 5 ปี จะเหมือนกัน
คือมีโอกาสการล้มเหลวทำให้เกิดการตั้งครรภ์ได้เพียง 0.05% ดังนั้น ขึ้นอยู่กับว่าคุณมีเพศสัมพันธ์หลังฝังมาได้เกิน 1 สัปดาห์หรือไม่
หากเลยมาแล้ว โอกาสในการตั้งครรภ์ก็น้อยอย่างยิ่งค่ะ
เยื่อบุผนังมดลูกบางลงไม่แข็งแรง ไม่รองรับไข่ที่ผสมแล้วมาฝังตัว และเมือกปากมดลูกเหนียวข้น ทำให้อสุจิเข้าไปภายในได้ยากค่ะ
ซึ่งหลังจากฝังยาคุม หากฝังยาคุมกำเนิดภายในไม่เกิน 5 วันนับตั้งแต่มีประจำเดือนมา ยาฝังก็จะสามารถออกฤทธิ์ในการป้องกัน
การตั้งครรภ์ได้ทันที แต่หากฝังในช่วงเวลาอื่น ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 7 วัน ยาฝังจึงจะเริ่มออกฤทธิ์ค่ะ จึงควรงดการมีเพศสัมพันธ์
หรือใช้ถุงยางอนามัยไปก่อน ซึ่งหากไม่ได้ป้องกันในช่วง 7 วันแรกนี้ ก็มีโอกาสที่จะตั้งครรภ์ได้ค่ะ
ทั้งนี้ หากคุณได้เริ่มฝังยาคุมกำเนิด ภายใน 5 วันแรกของการมีประจำเดือน ยาฝังคุมกำเนิดก็จะสามารถออกฤทธิ์ในการป้องกัน
การตั้งครรภ์ได้ทันที โดยประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ของยาฝังคุมกำเนิดทั้งแบบ 3 ปีและ 5 ปี จะเหมือนกัน
คือมีโอกาสการล้มเหลวทำให้เกิดการตั้งครรภ์ได้เพียง 0.05% ดังนั้น ขึ้นอยู่กับว่าคุณมีเพศสัมพันธ์หลังฝังมาได้เกิน 1 สัปดาห์หรือไม่
หากเลยมาแล้ว โอกาสในการตั้งครรภ์ก็น้อยอย่างยิ่งค่ะ
แสดงความคิดเห็น
ฝังยาคุมแล้วมีเพศสัมพัทธ์บ่อยจะท้องมั้ย?
"แล้วจะท้องมั้ย"
(บ่อยคือมีทุกวันหลังฝังยาคุมค่ะวันนึ่งบางทีก็สองรอบแต่ส่วนใหญ่รอบเดียวค่ะ)