จมส์ จิรายุ 10 ปีกับการทำงานในวงการบันเทิงเริ่มมีเป้าหมายชัดขึ้น
เคยท้อเพราะต้องทำงานหนัก ไม่รู้จะไปต่ออย่างไร
ยังคงเป็นพระเอกสุดฮอต ถูกมองเป็นลูกรัก แอน ทองประสม
จากเด็กหนุ่มวัย 19 ปีในวันวาน จนวันนี้ เจมส์ จิรายุ ตั้งศรีสุข เป็นหนุ่มเต็มตัว อายุ 29 ปีเต็มแล้ว เป็น 10 ปีของการทำงานในวงการบันเทิงที่ตัวเลขไม่มากไม่น้อยจนเกินไป ดูแล้วกำลังดีกับการทำงานในวงการนี้
และต้องยอมรับว่าความฮอตของหนุ่มเจมส์นั้นก็ยังไม่เคยตก มีงานละครและพรีเซ็นเตอร์อย่างต่อเนื่อง ส่วนฝีไม้ลายมือในการแสดงของหนุ่มเจมส์นั้นต้องยอมรับว่ามีการพัฒนาฝีมือให้ได้เห็นอยู่เสมอ ไม่ย่ำอยู่กับที่ หรือถอยหลังเข้าคลอง ซึ่งคนที่ติดตามผลงานละครของหนุ่มเจมส์ย่อมรู้ดีในข้อนี้
วันนี้ บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ ได้มีโอกาสสัมภาษณ์พระเอกหนุ่มหน้าหวาน เจมส์จิ อีกครั้ง เพื่ออัปเดตเรื่องราวชีวิตของผู้ชายคนนี้ให้แฟนๆ ได้รับรู้กันอีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้เจอกันนานนับปีเพราะสถานการณ์โควิดที่ระบาดอย่างหนักก่อนหน้านี้ ว่าเจมส์จิในวันนี้มีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง
พอทักทายถามไถ่สารทุกข์สุกดิบพอหอมปากหอมคอ เราก็ต้องรีบทำเวลา เพราะอย่างที่บอกความฮอตของเจมส์จินั้นไม่ได้ลดน้อยถอยลง หลังจากสัมภาษณ์เสร็จต้องมีไปทำงานต่อ เราจึงต้องเริ่มทำงานกันเลยจะดีกว่า
ลูกรัก แอน ทองประสม
เพราะตั้งแต่ได้ร่วมงานละครกับ แอน ทองประสม ในเรื่อง กะรัตรัก เลยทำให้ เจมส์ จิรายุ นั้นสนิทสนมกับแอนมากยิ่งขึ้น จนทั้งคู่มีกิจกรรมไปออกกำลังกายด้วยกันอยู่บ่อยๆ
และล่าสุด หนุ่มเจมส์ก็ได้เล่นละครเรื่องใหม่อย่างเรื่อง โลกหมุนรอบเธอ ของผู้จัด เอ ทินพันธ์ แฟนของ แอน ทองประสม ด้วย ยิ่งทำให้ตอกย้ำว่า พระเอกหนุ่มหน้าหวานกลายเป็นลูกรักอีกคนของผู้จัดคนเก่งไปแล้ว งานนี้เจมส์จิหัวเราะและตอบคำถามเรื่องนี้ว่า
"ผมอาจจะเป็นลูกชังด้วยครับ (หัวเราะ) เป็นเพราะเราชอบออกกำลังกายตอนเช้าเหมือนกัน ก็เลยมีโอกาสเจอกันเรื่อยๆ ก็เลยดูเหมือนว่าเป็นลูกรัก เราก็เข้าขากันอยู่นะครับ เวลาถ่ายคลิปก็ดูรับส่งกันได้ มีจังหวะโบ๊ะบ๊ะกันใช้ได้เลย (หัวเราะ)
หลังจากที่ได้รู้จักพี่แอน เขาไม่เหมือนอย่างที่ผมคิดไว้เลย ทุกคนจะบอกผมว่าพี่แอนเป็นคนที่เป๊ะมาก และค่อนข้างดุเวลาทำงาน แต่พอรู้จักไปสักระยะ ก็ได้รู้ว่าพี่แอนเป็นคนใจดีมาก และใจกว้าง แต่เขาก็ชอบเหน็บแรงๆ สนุกๆ นะครับ แต่ก็มีจังหวะที่เนี้ยบ
ถ้าพี่เขาจะเอาความเป๊ะ เขาก็ต้องเป๊ะให้ได้ และมันก็เป็นผลดีในเรื่องของการทำงาน เวลาทำงานผมก็พยายามจะทำให้เป๊ะให้เท่าพี่เขาครับ พยายามทำการบ้านให้เยอะๆ"
พัฒนาฝีมือไม่หยุด
และในทุกๆ ผลงานละครของเจมส์จิต้องยอมรับว่า แฟนละครจะได้เห็นพัฒนาการทางการแสดงของเจมส์จิอยู่เสมอ พระเอกหนุ่มไม่เคยย่ำอยู่กับที่ ซึ่งเรื่องนี้เจมส์จิยิ้มสุดเขิน ก่อนจะบอกถึงสกิลการแสดงของตัวเองว่า
"ผมว่ามันมาจากประสบการณ์ ถ้ามีคนที่เก่งกว่าผม เขาอาจจะพัฒนาแบบก้าวกระโดด แต่สำหรับผม ผมอาจจะไม่ได้เก่งมาก ก็เลยอาศัยประสบการณ์ไปเรื่อยๆ เวลาเจอใคร หรือว่าเล่นเรื่องอะไร บวกกับอายุที่เราโตขึ้นเรื่อยๆ
เพราะความเข้าใจมันจะเป็นต่างกัน การแสดงออกที่จะแสดงออกมันก็จะสามารถคิดได้หลากหลายขึ้น ผมไม่ได้ถ่อมตัวนะ (ยิ้ม) ผมรู้ตัวเองว่าเป็นคนที่เล่นละครไม่ค่อยดี และผมก็พยายามอย่างมากที่จะทำให้มันดีขึ้นมากๆ
ถามว่าเพราะผมเลือกบทดีๆ หรือเปล่า ไม่เลย ผมไม่เคยได้มีโอกาสเลือกบทเล่นเลย (ยิ้ม) ผู้ใหญ่ให้บทอะไรมาผมก็รับ แต่เป็นโชคดีของผมที่ผู้ใหญ่เลือกมาให้แล้ว และผมก็ไม่ค่อยปฏิเสธ"
เราจึงถาม เจมส์จิ ต่อว่า จากที่เมื่อก่อนเคยมีบทที่ยากสำหรับเจมส์จิ แต่เพราะมีประสบการณ์และชั่วโมงบินที่สูงขึ้นแล้ว ตอนนี้บทนั้นมันง่ายแล้วสำหรับเจมส์จิแล้วคือบทไหน พระเอกหนุ่มตอบไม่ต้องคิดนานว่า
"เป็นบทร้องไห้กับบทโมโหครับ ตอนนี้ผมรู้สึกว่าผมเล่นมันได้ง่ายขึ้นแล้วนะ คือสมัยก่อนผมจะค่อนข้างกังวลกับบทร้องไห้และโมโหมากเป็นพิเศษ ซึ่งตอนนี้ก็ยังกังวลอยู่นะ แต่อาจจะน้อยลง (ยิ้ม)
หลายคนคิดว่าพี่แอนจะสอนเทคนิคผมในเรื่องของการแสดง บอกเลยว่าไม่ค่อยมีนะครับ แต่เขาจะบอกว่าให้รู้สึกกับมันยังไง การแสดงมันมีรายละเอียดปลีกย่อยเยอะมาก
ถ้าเกิดจะลงดีเทลจริงๆ มันจะมีเรื่องที่เราดีไซน์มันออกมาได้เยอะ จะรู้สึกอย่างไร การเล่นกับนักแสดงคนอื่นจะเป็นยังไง ต้องอาศัยประสบการณ์ แต่การที่เจอแต่ละคน เราก็จะได้เก็บแนวทางของแต่ละคนมา
เพราะแต่ละคนก็จะเล่นไม่เหมือนกัน ก็เก็บเอามาไว้ใช้ถ้าวันหนึ่งต้องเจอซีนอารมณ์แบบนี้ๆ ถ้ามันเข้ากันได้ก็หยิบมันมาใช้ เป็นแนวครูพักลักจำจากการสังเกต"
จากนั้นเราถาม เจมส์ จิรายุ ต่อว่า เล่นละครมา 10 ปีแล้ว ยังมีบทไหนที่เจมส์จิยังอยากจะเล่นบ้าง หรือว่าเล่นมาครบทุกบทบาทแล้ว ซึ่งเราได้รับคำตอบในคำถามนี้ว่า
"ผมอยากจะลองเล่นบทคอเมดี้ดูครับ ซึ่ง 2 เรื่องที่กำลังถ่ายทำอยู่ก็ไม่ได้เล่นคอเมดี้เลย (หัวเราะ) แต่ 2 เรื่องนี้มันเจ๋งมาก ผมอ่านบทแล้วรู้สึกว่าทุกซีนเป็นไวรัลได้หมด และมันก็โหดมาก ตั้งแต่ผมเล่นมา ยังไม่เคยเจอบทแบบนี้มาก่อน
คือเรื่องของพี่เอจะเป็นการเติบโตของตัวละคร จากใสๆ จะเติบโตไปเรื่อยๆ เรื่องของพี่จ๋า ยศสินี จะเป็นการมองโลกใน 2 มุม ผ่านตัวนางเอกและตัวพระเอกที่เป็นโลกที่แตกต่างกัน
ทั้ง 2 เรื่องมีเสน่ห์มาก ผมรอดูมากๆ คิดว่าจะเป็นมาสเตอร์พีซอีกเรื่องของผม ความรู้สึกเหมือนตอนที่ผมเล่นกรงกรรมเลยครับ (ยิ้ม) มันมีอะไรเดือดๆ ให้ดูเยอะ และมีเซอร์ไพรส์ ผมต้องทำการบ้านหนักขึ้น และทำเยอะ เพราะยอมรับว่ามันมีความกดดันจากตัวเองเยอะอยู่ และเรื่องความเครียดด้วย"
10 ปีในวงการบันเทิง
อย่างที่หลายๆ คนรู้กันว่า เจมส์ จิรายุ จริงๆ ไม่ได้มีความฝันที่อยากจะเป็นนักแสดง แต่เพราะมีโอกาสเจ้าตัวจึงคว้ามันไว้และลองทำมัน และจากวันนั้นจนถึงวันนี้เป็นเวลา 10 ปีแล้วที่ เจมส์จิ ยังคงสร้างความสุขและรอยยิ้มให้กับแฟนๆ เราถามเจมส์จิตรงๆ ว่า เคยคิดมั้ยว่าตัวเองจะเดินมาไกลมากขนาดนี้ พระเอกหนุ่มยิ้มเขินอีกครั้ง และตอบคำถามเราว่า
"ผมเติบโตมา 10 ปีแล้วครับ ไม่เคยคิดเลยว่าจะมาไกลขนาดนี้ ผมไม่คิดว่าเวลามันจะเดินเร็วขนาดนี้ พอมีงานประจำวันมันก็มาเรื่อยๆ ของมัน และไม่คิดว่าตัวเองจะอยู่ได้ขนาดนี้ไง แต่มันก็ไปเรื่อยๆ ของมัน
และต้องบอกว่าการทำงานในวงการบันเทิงมันไม่ใช่ที่ที่ผมใฝ่ฝันเลย พอทำมาก็ยังหาทางออกไม่ได้ด้วยซ้ำ ในความรู้สึกของผมคือ ผมไม่ได้เป็นคนขับรถ ไม่ได้เป็นคนบังคับทิศทาง เหมือนเราไปตามในสิ่งที่มันเกิดขึ้นเรื่อยๆ ลืมตามาอีกทีก็ 10 ปีแล้ว (ยิ้ม)
จากวันนั้นจนตอนนี้ผมก็เริ่มมีเป้าหมายชัดขึ้น ก็ค่อยๆ เดินบนเส้นทางนี้ไปเรื่อยๆ แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะไปทำสิ่งที่คิดไว้ได้มั้ย หรือมันจะเกิดขึ้นมั้ย เราก็มุ่งไปตามสิ่งที่ทำอยู่
สิ่งที่ผมคิดจะทำก็เหมือนคนอื่นๆ ที่เขาคิด เรื่องทำธุรกิจ หรือทำอะไรอย่างอื่นที่ไม่ใช่งานแสดง คือผมเคยคิดมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ตอนหลังมาก็เริ่มโฟกัสในสิ่งที่เราทำในปัจจุบัน เรื่องพวกนั้นก็เลยค่อยๆ หายไป
และผมทำงานมาก็หลายปีก็เริ่มได้รางวัลที่ได้มาจากการแสดง มันทำให้ผมรู้สึกดีนะ เพราะอย่างที่บอกว่าผมรู้ว่าตัวเองเล่นละครได้ไม่ค่อยดี (หัวเราะ)
ถามว่าผมมีใครเป็นต้นแบบที่ผมอยากจะเป็นให้ได้เหมือนเขามั้ย ผมมองพี่อนันดาครับ เขาเป็นสไลต์ฝรั่ง และเขาก็เล่นบทแนวไหนก็ได้ ผมรู้สึกว่าเขาเป็นธรรมชาติมากกับสิ่งที่เขาแสดงออกมา
แต่พอเราลองทำแบบเขามันจะกลายเป็นดูปลอมเบาๆ (หัวเราะ) ซึ่งผมก็อยากเป็นเหมือนพี่เขา แต่ยังไปถึงขั้นนั้นไม่ได้ ก็จะมีพี่ๆ อีกหลายคนที่เก่งมากๆ และผมก็ยังเดินทางไปไม่ถึงจุดนั้นเลย"
🎯เจมส์ จิรายุ 10 ปีกับการเติบโตในวงการบันเทิง “วันนี้ผมมีเป้าหมายชีวิตที่ชัดเจน”
เคยท้อเพราะต้องทำงานหนัก ไม่รู้จะไปต่ออย่างไร
ยังคงเป็นพระเอกสุดฮอต ถูกมองเป็นลูกรัก แอน ทองประสม
จากเด็กหนุ่มวัย 19 ปีในวันวาน จนวันนี้ เจมส์ จิรายุ ตั้งศรีสุข เป็นหนุ่มเต็มตัว อายุ 29 ปีเต็มแล้ว เป็น 10 ปีของการทำงานในวงการบันเทิงที่ตัวเลขไม่มากไม่น้อยจนเกินไป ดูแล้วกำลังดีกับการทำงานในวงการนี้
และต้องยอมรับว่าความฮอตของหนุ่มเจมส์นั้นก็ยังไม่เคยตก มีงานละครและพรีเซ็นเตอร์อย่างต่อเนื่อง ส่วนฝีไม้ลายมือในการแสดงของหนุ่มเจมส์นั้นต้องยอมรับว่ามีการพัฒนาฝีมือให้ได้เห็นอยู่เสมอ ไม่ย่ำอยู่กับที่ หรือถอยหลังเข้าคลอง ซึ่งคนที่ติดตามผลงานละครของหนุ่มเจมส์ย่อมรู้ดีในข้อนี้
วันนี้ บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ ได้มีโอกาสสัมภาษณ์พระเอกหนุ่มหน้าหวาน เจมส์จิ อีกครั้ง เพื่ออัปเดตเรื่องราวชีวิตของผู้ชายคนนี้ให้แฟนๆ ได้รับรู้กันอีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้เจอกันนานนับปีเพราะสถานการณ์โควิดที่ระบาดอย่างหนักก่อนหน้านี้ ว่าเจมส์จิในวันนี้มีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง
พอทักทายถามไถ่สารทุกข์สุกดิบพอหอมปากหอมคอ เราก็ต้องรีบทำเวลา เพราะอย่างที่บอกความฮอตของเจมส์จินั้นไม่ได้ลดน้อยถอยลง หลังจากสัมภาษณ์เสร็จต้องมีไปทำงานต่อ เราจึงต้องเริ่มทำงานกันเลยจะดีกว่า
ลูกรัก แอน ทองประสม
เพราะตั้งแต่ได้ร่วมงานละครกับ แอน ทองประสม ในเรื่อง กะรัตรัก เลยทำให้ เจมส์ จิรายุ นั้นสนิทสนมกับแอนมากยิ่งขึ้น จนทั้งคู่มีกิจกรรมไปออกกำลังกายด้วยกันอยู่บ่อยๆ
และล่าสุด หนุ่มเจมส์ก็ได้เล่นละครเรื่องใหม่อย่างเรื่อง โลกหมุนรอบเธอ ของผู้จัด เอ ทินพันธ์ แฟนของ แอน ทองประสม ด้วย ยิ่งทำให้ตอกย้ำว่า พระเอกหนุ่มหน้าหวานกลายเป็นลูกรักอีกคนของผู้จัดคนเก่งไปแล้ว งานนี้เจมส์จิหัวเราะและตอบคำถามเรื่องนี้ว่า
"ผมอาจจะเป็นลูกชังด้วยครับ (หัวเราะ) เป็นเพราะเราชอบออกกำลังกายตอนเช้าเหมือนกัน ก็เลยมีโอกาสเจอกันเรื่อยๆ ก็เลยดูเหมือนว่าเป็นลูกรัก เราก็เข้าขากันอยู่นะครับ เวลาถ่ายคลิปก็ดูรับส่งกันได้ มีจังหวะโบ๊ะบ๊ะกันใช้ได้เลย (หัวเราะ)
หลังจากที่ได้รู้จักพี่แอน เขาไม่เหมือนอย่างที่ผมคิดไว้เลย ทุกคนจะบอกผมว่าพี่แอนเป็นคนที่เป๊ะมาก และค่อนข้างดุเวลาทำงาน แต่พอรู้จักไปสักระยะ ก็ได้รู้ว่าพี่แอนเป็นคนใจดีมาก และใจกว้าง แต่เขาก็ชอบเหน็บแรงๆ สนุกๆ นะครับ แต่ก็มีจังหวะที่เนี้ยบ
ถ้าพี่เขาจะเอาความเป๊ะ เขาก็ต้องเป๊ะให้ได้ และมันก็เป็นผลดีในเรื่องของการทำงาน เวลาทำงานผมก็พยายามจะทำให้เป๊ะให้เท่าพี่เขาครับ พยายามทำการบ้านให้เยอะๆ"
พัฒนาฝีมือไม่หยุด
และในทุกๆ ผลงานละครของเจมส์จิต้องยอมรับว่า แฟนละครจะได้เห็นพัฒนาการทางการแสดงของเจมส์จิอยู่เสมอ พระเอกหนุ่มไม่เคยย่ำอยู่กับที่ ซึ่งเรื่องนี้เจมส์จิยิ้มสุดเขิน ก่อนจะบอกถึงสกิลการแสดงของตัวเองว่า
"ผมว่ามันมาจากประสบการณ์ ถ้ามีคนที่เก่งกว่าผม เขาอาจจะพัฒนาแบบก้าวกระโดด แต่สำหรับผม ผมอาจจะไม่ได้เก่งมาก ก็เลยอาศัยประสบการณ์ไปเรื่อยๆ เวลาเจอใคร หรือว่าเล่นเรื่องอะไร บวกกับอายุที่เราโตขึ้นเรื่อยๆ
เพราะความเข้าใจมันจะเป็นต่างกัน การแสดงออกที่จะแสดงออกมันก็จะสามารถคิดได้หลากหลายขึ้น ผมไม่ได้ถ่อมตัวนะ (ยิ้ม) ผมรู้ตัวเองว่าเป็นคนที่เล่นละครไม่ค่อยดี และผมก็พยายามอย่างมากที่จะทำให้มันดีขึ้นมากๆ
ถามว่าเพราะผมเลือกบทดีๆ หรือเปล่า ไม่เลย ผมไม่เคยได้มีโอกาสเลือกบทเล่นเลย (ยิ้ม) ผู้ใหญ่ให้บทอะไรมาผมก็รับ แต่เป็นโชคดีของผมที่ผู้ใหญ่เลือกมาให้แล้ว และผมก็ไม่ค่อยปฏิเสธ"
เราจึงถาม เจมส์จิ ต่อว่า จากที่เมื่อก่อนเคยมีบทที่ยากสำหรับเจมส์จิ แต่เพราะมีประสบการณ์และชั่วโมงบินที่สูงขึ้นแล้ว ตอนนี้บทนั้นมันง่ายแล้วสำหรับเจมส์จิแล้วคือบทไหน พระเอกหนุ่มตอบไม่ต้องคิดนานว่า
"เป็นบทร้องไห้กับบทโมโหครับ ตอนนี้ผมรู้สึกว่าผมเล่นมันได้ง่ายขึ้นแล้วนะ คือสมัยก่อนผมจะค่อนข้างกังวลกับบทร้องไห้และโมโหมากเป็นพิเศษ ซึ่งตอนนี้ก็ยังกังวลอยู่นะ แต่อาจจะน้อยลง (ยิ้ม)
หลายคนคิดว่าพี่แอนจะสอนเทคนิคผมในเรื่องของการแสดง บอกเลยว่าไม่ค่อยมีนะครับ แต่เขาจะบอกว่าให้รู้สึกกับมันยังไง การแสดงมันมีรายละเอียดปลีกย่อยเยอะมาก
ถ้าเกิดจะลงดีเทลจริงๆ มันจะมีเรื่องที่เราดีไซน์มันออกมาได้เยอะ จะรู้สึกอย่างไร การเล่นกับนักแสดงคนอื่นจะเป็นยังไง ต้องอาศัยประสบการณ์ แต่การที่เจอแต่ละคน เราก็จะได้เก็บแนวทางของแต่ละคนมา
เพราะแต่ละคนก็จะเล่นไม่เหมือนกัน ก็เก็บเอามาไว้ใช้ถ้าวันหนึ่งต้องเจอซีนอารมณ์แบบนี้ๆ ถ้ามันเข้ากันได้ก็หยิบมันมาใช้ เป็นแนวครูพักลักจำจากการสังเกต"
จากนั้นเราถาม เจมส์ จิรายุ ต่อว่า เล่นละครมา 10 ปีแล้ว ยังมีบทไหนที่เจมส์จิยังอยากจะเล่นบ้าง หรือว่าเล่นมาครบทุกบทบาทแล้ว ซึ่งเราได้รับคำตอบในคำถามนี้ว่า
"ผมอยากจะลองเล่นบทคอเมดี้ดูครับ ซึ่ง 2 เรื่องที่กำลังถ่ายทำอยู่ก็ไม่ได้เล่นคอเมดี้เลย (หัวเราะ) แต่ 2 เรื่องนี้มันเจ๋งมาก ผมอ่านบทแล้วรู้สึกว่าทุกซีนเป็นไวรัลได้หมด และมันก็โหดมาก ตั้งแต่ผมเล่นมา ยังไม่เคยเจอบทแบบนี้มาก่อน
คือเรื่องของพี่เอจะเป็นการเติบโตของตัวละคร จากใสๆ จะเติบโตไปเรื่อยๆ เรื่องของพี่จ๋า ยศสินี จะเป็นการมองโลกใน 2 มุม ผ่านตัวนางเอกและตัวพระเอกที่เป็นโลกที่แตกต่างกัน
ทั้ง 2 เรื่องมีเสน่ห์มาก ผมรอดูมากๆ คิดว่าจะเป็นมาสเตอร์พีซอีกเรื่องของผม ความรู้สึกเหมือนตอนที่ผมเล่นกรงกรรมเลยครับ (ยิ้ม) มันมีอะไรเดือดๆ ให้ดูเยอะ และมีเซอร์ไพรส์ ผมต้องทำการบ้านหนักขึ้น และทำเยอะ เพราะยอมรับว่ามันมีความกดดันจากตัวเองเยอะอยู่ และเรื่องความเครียดด้วย"
10 ปีในวงการบันเทิง
อย่างที่หลายๆ คนรู้กันว่า เจมส์ จิรายุ จริงๆ ไม่ได้มีความฝันที่อยากจะเป็นนักแสดง แต่เพราะมีโอกาสเจ้าตัวจึงคว้ามันไว้และลองทำมัน และจากวันนั้นจนถึงวันนี้เป็นเวลา 10 ปีแล้วที่ เจมส์จิ ยังคงสร้างความสุขและรอยยิ้มให้กับแฟนๆ เราถามเจมส์จิตรงๆ ว่า เคยคิดมั้ยว่าตัวเองจะเดินมาไกลมากขนาดนี้ พระเอกหนุ่มยิ้มเขินอีกครั้ง และตอบคำถามเราว่า
"ผมเติบโตมา 10 ปีแล้วครับ ไม่เคยคิดเลยว่าจะมาไกลขนาดนี้ ผมไม่คิดว่าเวลามันจะเดินเร็วขนาดนี้ พอมีงานประจำวันมันก็มาเรื่อยๆ ของมัน และไม่คิดว่าตัวเองจะอยู่ได้ขนาดนี้ไง แต่มันก็ไปเรื่อยๆ ของมัน
และต้องบอกว่าการทำงานในวงการบันเทิงมันไม่ใช่ที่ที่ผมใฝ่ฝันเลย พอทำมาก็ยังหาทางออกไม่ได้ด้วยซ้ำ ในความรู้สึกของผมคือ ผมไม่ได้เป็นคนขับรถ ไม่ได้เป็นคนบังคับทิศทาง เหมือนเราไปตามในสิ่งที่มันเกิดขึ้นเรื่อยๆ ลืมตามาอีกทีก็ 10 ปีแล้ว (ยิ้ม)
จากวันนั้นจนตอนนี้ผมก็เริ่มมีเป้าหมายชัดขึ้น ก็ค่อยๆ เดินบนเส้นทางนี้ไปเรื่อยๆ แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะไปทำสิ่งที่คิดไว้ได้มั้ย หรือมันจะเกิดขึ้นมั้ย เราก็มุ่งไปตามสิ่งที่ทำอยู่
สิ่งที่ผมคิดจะทำก็เหมือนคนอื่นๆ ที่เขาคิด เรื่องทำธุรกิจ หรือทำอะไรอย่างอื่นที่ไม่ใช่งานแสดง คือผมเคยคิดมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ตอนหลังมาก็เริ่มโฟกัสในสิ่งที่เราทำในปัจจุบัน เรื่องพวกนั้นก็เลยค่อยๆ หายไป
และผมทำงานมาก็หลายปีก็เริ่มได้รางวัลที่ได้มาจากการแสดง มันทำให้ผมรู้สึกดีนะ เพราะอย่างที่บอกว่าผมรู้ว่าตัวเองเล่นละครได้ไม่ค่อยดี (หัวเราะ)
ถามว่าผมมีใครเป็นต้นแบบที่ผมอยากจะเป็นให้ได้เหมือนเขามั้ย ผมมองพี่อนันดาครับ เขาเป็นสไลต์ฝรั่ง และเขาก็เล่นบทแนวไหนก็ได้ ผมรู้สึกว่าเขาเป็นธรรมชาติมากกับสิ่งที่เขาแสดงออกมา
แต่พอเราลองทำแบบเขามันจะกลายเป็นดูปลอมเบาๆ (หัวเราะ) ซึ่งผมก็อยากเป็นเหมือนพี่เขา แต่ยังไปถึงขั้นนั้นไม่ได้ ก็จะมีพี่ๆ อีกหลายคนที่เก่งมากๆ และผมก็ยังเดินทางไปไม่ถึงจุดนั้นเลย"