เงินทอง ไม่เข้าใครออกใคร เป็นคำพูดที่รู้ซึ้งกันดี
ที่จะทำให้มันควร เข้าใคร ควรออกใครแบบตรงไปตรงมา ได้บ้างก็คือ.......................
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เมื่อวานตอนเย็น ได้รับโทรศัพท์จากกัลยาณมิตรสมัยเรียน ซึ่งเคยซื้อขายหุ้นให้อยู่นานหลายปี
แต่ต้องยุติการเป็นคนสั่งซื้อขายให้ ไปเมื่อห้าหกปีก่อน
ด้วยการแยกทางกันเดินอย่างสร้างสรรค์ ทางใคร ก็ทางมัน ( ผิดใจกันอยู่พักใหญ่ )
เพราะผมลงทุนแบบเผด็จการ ซื้อขายให้แล้ว อย่ามาบอกว่า ต้องทำอย่างโน้น อย่างนี้
เหตุเกิดจากเพื่อนที่ไม่รู้เรื่องหุ้น แต่ได้รับใบแจ้งยอดพอร์ต
อ่านดูบ่อยๆเข้า ก็ทนไม่ได้ เพราะไม่เคยจับเงินจริงในบัญชีธนาคาร มีแต่กำไรเงินมายาในพอร์ต
ชนวนระเบิดเลยจุดติด จากคำพูดแค่ว่า "ทำไม ไม่ขาย"
ตัวที่จำได้แม่นๆก็คือ ขาย pb ที่ซื้อมาตอนพาร์ 10 ที่ราคา 40 บาท ขายทิ้งไปให้ที่ 70 บาท หนึ่งหมื่นหุ้น
คือเพื่อนไม่เข้าใจว่า กำไร ขาดทุนเงินจริง กับกำไร ขาดทุนเงินมายา มันต่างกันอย่างไร
ก็เลยต้องเปลี่ยนกำไรเงินมายา ให้เป็นกำไรเงินจริงเข้าบัญชีธนาคารของเพื่อน
ในเวลาต่อมา เรื่องเงินทอง ไม่เข้าใคร ออกใคร ก็มาบานปลาย จนถึงขั้นฟ้องหมิ่นประมาทกันในศาล
โดยเพื่อนเป็นคนชนะคดี ส่วนเพือนอีกคนที่ผมก็รู้จัก และอาสาดูแลหุ้นให้ต่อจากผมเป็นคนแพ้คดี
เพียงเพราะว่า แบ่งผลกำไรเงินจริงแค่หนึ่งแสนไม่ลงตัว
เพื่อนที่ดูแลพอร์ตให้ บอกว่า เคยตกลงกันด้วยวาจา ว่าให้แบ่งกำไรกัน เท่านั้นเท่านี้
ส่วนเพือนผมบอกว่า ไม่เคยรับปากว่า จะต้องแบ่งกำไรกันกี่เปอร์เซนต์
พอขอแบ่งเงินจริงหนึ่งแสนไม่ได้ ก็ไปโพสต์ต่อว่า ขุดคุ้ยไปถึงเรื่องครอบครัว ในไลน์กลุ่มเพือนสมัยเรียน
คดีฟ้องร้องหมิ่นประมาทกัน คงไม่เกิดขึ้น
ถ้า
ทำข้อตกลงในการซื้อขายหุ้นให้ ให้เป็นลายลักษณ์อักษร เอามายืนยันกันได้ เรื่องก็คงไม่บานปลาย
ผมคิดว่า เพื่อนที่ดูแลพอร์ตหุ้นให้ แพ้คดีหมิ่นประมาท
เพราะศาลไม่สามารถพิจารณาข้อตกลงกันด้วยปากเปล่า ที่รู้กันแค่สองต่อสองเท่านั้น
เรื่องเลยจบกันแบบ แยกทางกันเดินอย่างทำลายล้างกัน มาจนทุกวันนี้
ส่วนผม
ไม่มีปัญหา เพราะไม่เคยบอกว่ากำไรต้องแบ่งเท่าไร ชาดทุนต้องช่วยออกเท่าไร
กำไรแล้วแต่เพื่อนจะให้ ส่วนขาดทุนผมก็ไม่รับผิดชอบ
++++++++++++++++++++++++++++++++++
หลังจากมีเวลาว่าง เพื่อนก็ส่งรหัสเข้าพอร์ตมาให้ทาง mms
เปิดเข้าไปดูพอร์ตที่ไม่มีการเคลื่อนไหวมาสี่ห้าปี
นึกถึงคำพูดของคนดังระดับโลกทันที
ลองสลับจำนวนหุ้น ระหว่าง OR กับ PTT จะเกิดอะไรขึ้น
๙ แล้ว ๖ ๖ แล้ว ๙ เงินทองไม่เข้าใคร ออกใคร และซื้อขายผิดหรือถูก ยังสำคัญน้อยกว่า...
ที่จะทำให้มันควร เข้าใคร ควรออกใครแบบตรงไปตรงมา ได้บ้างก็คือ.......................
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เมื่อวานตอนเย็น ได้รับโทรศัพท์จากกัลยาณมิตรสมัยเรียน ซึ่งเคยซื้อขายหุ้นให้อยู่นานหลายปี
แต่ต้องยุติการเป็นคนสั่งซื้อขายให้ ไปเมื่อห้าหกปีก่อน
ด้วยการแยกทางกันเดินอย่างสร้างสรรค์ ทางใคร ก็ทางมัน ( ผิดใจกันอยู่พักใหญ่ )
เพราะผมลงทุนแบบเผด็จการ ซื้อขายให้แล้ว อย่ามาบอกว่า ต้องทำอย่างโน้น อย่างนี้
เหตุเกิดจากเพื่อนที่ไม่รู้เรื่องหุ้น แต่ได้รับใบแจ้งยอดพอร์ต
อ่านดูบ่อยๆเข้า ก็ทนไม่ได้ เพราะไม่เคยจับเงินจริงในบัญชีธนาคาร มีแต่กำไรเงินมายาในพอร์ต
ชนวนระเบิดเลยจุดติด จากคำพูดแค่ว่า "ทำไม ไม่ขาย"
ตัวที่จำได้แม่นๆก็คือ ขาย pb ที่ซื้อมาตอนพาร์ 10 ที่ราคา 40 บาท ขายทิ้งไปให้ที่ 70 บาท หนึ่งหมื่นหุ้น
คือเพื่อนไม่เข้าใจว่า กำไร ขาดทุนเงินจริง กับกำไร ขาดทุนเงินมายา มันต่างกันอย่างไร
ก็เลยต้องเปลี่ยนกำไรเงินมายา ให้เป็นกำไรเงินจริงเข้าบัญชีธนาคารของเพื่อน
ในเวลาต่อมา เรื่องเงินทอง ไม่เข้าใคร ออกใคร ก็มาบานปลาย จนถึงขั้นฟ้องหมิ่นประมาทกันในศาล
โดยเพื่อนเป็นคนชนะคดี ส่วนเพือนอีกคนที่ผมก็รู้จัก และอาสาดูแลหุ้นให้ต่อจากผมเป็นคนแพ้คดี
เพียงเพราะว่า แบ่งผลกำไรเงินจริงแค่หนึ่งแสนไม่ลงตัว
เพื่อนที่ดูแลพอร์ตให้ บอกว่า เคยตกลงกันด้วยวาจา ว่าให้แบ่งกำไรกัน เท่านั้นเท่านี้
ส่วนเพือนผมบอกว่า ไม่เคยรับปากว่า จะต้องแบ่งกำไรกันกี่เปอร์เซนต์
พอขอแบ่งเงินจริงหนึ่งแสนไม่ได้ ก็ไปโพสต์ต่อว่า ขุดคุ้ยไปถึงเรื่องครอบครัว ในไลน์กลุ่มเพือนสมัยเรียน
คดีฟ้องร้องหมิ่นประมาทกัน คงไม่เกิดขึ้น ถ้า