JJNY : 5in1 พท.บี้กกต.│“พิธา”หารือปธ.กลุ่มไฟฟ้าสภาอุต│"ไทย-ญี่ปุ่น"คือจุดอ่อนเอเชีย│‘ยูนิเซฟ’ ประณามเมียนมา│จับตา 21-26

เพื่อไทย บี้ กกต. ดูรัฐบาลหาเสียงแฝงด้วย ชี้บังคับใช้กฎหมายแล้ว อย่า 2 มาตรฐาน 
https://www.khaosod.co.th/politics/news_7275546
 
 
เพื่อไทย บี้ กกต. ดูรัฐบาลหาเสียงแฝงด้วย หลังพบลงพื้นที่แจกของชาวบ้านเนียน ๆ ชี้บังคับใช้กฎหมายแล้ว อย่า 2 มาตรฐาน
 
20 ก.ย. 2565 – นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมืองพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวกรณี คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แจ้งเตือนกรอบเวลา 180 วันก่อนวันครบอายุของสภาฯ วันที่ 23 มี.ค. 2566 ที่ผู้สมัครและพรรคการเมืองต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ทำให้หลังวันที่ 24 ก.ย. จะไม่สามารถแจกสิ่งของช่วยเหลือประชาชนที่ถูกน้ำท่วม รวมถึง โควิด-19 ได้นั้น
 
นายอนุสรณ์ กล่าวว่า พรรคเพื่อไทย พร้อมปฏิบัติตามกรอบกฎหมายอย่างเคร่งครัด แต่จะเป็นประโยชน์มากกว่านี้ หากกกต.ที่เป็นผู้ประกาศระเบียบนี้ออกมา ไปจับตาการลงพื้นที่ของรัฐบาลและทุกพรรคการเมืองอย่างเสมอภาคเท่าเทียม ไม่เลือกปฏิบัติ ไม่ 2 มาตรฐาน
 
ไม่ใช่ว่าถ้าเป็นฝ่ายรัฐบาล ทำอะไรก็ไม่ผิด หรือผิดยาก รัฐมนตรีอาศัยอำนาจหน้าที่ในรัฐบาลไปแจกของแบบเนียน ๆ ได้ แต่ถ้าเป็นฝ่ายค้านหรือฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล ไม่สามารถทำได้ หากเป็นเช่นนั้นข้อกฎหมายนี้คงไม่เกิดประโยชน์ในการทำให้เกิดการเลือกตั้งที่สุจริตและเที่ยงธรรม เพราะจะทำให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบในการเลือกตั้ง
 
โดยเฉพาะในช่วงโค้งสุดท้ายปลายเทอม ใกล้หมดอายุรัฐบาล พรรคร่วมรัฐบาลต่างลงพื้นที่กันอย่างหนัก ดูเหมือนว่าจะเป็นการลงไปหาเสียงล่วงหน้า มากกว่าการไปเยี่ยมเยียน เพื่อแก้ปัญหาหรือนำนโยบายของรัฐบาลไปสู่การปฏิบัติต่อประชาชน
  
นอกจากการลงพื้นที่แจกของหาเสียงแล้ว กกต.ต้องไปดูการขึ้นป้ายที่สุ่มเสี่ยงผิดกฎหมายในลักษณะสัญญาว่าจะให้ รวมถึงป้ายนำเสนอนโยบายที่ไม่สามารถทำได้จริง หวังจูงใจให้ประชาชนเลือกในการเลือกตั้งครั้งหน้าด้วย
 


“พิธา” หารือ ประธานกิตติมศักดิ์กลุ่มไฟฟ้าสภาอุตสาหกรรม
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_413851/
 
“พิธา” หารือ ประธานกิตติมศักดิ์กลุ่มไฟฟ้าสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ถึงแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และยกระดับเทคโนโลยีของประเทศ
 
นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และน.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกลในฐานะกรรมาธิการพัฒนาเศรษฐกิจของสภาผู้แทนราษฎรได้เข้าพบ นายขัติยา ไกรกาญจน์ ประธานกิตติมศักดิ์กลุ่มไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อหารือแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และยกระดับเทคโนโลยีของประเทศ
 
โดยนายพิธา กล่าวว่า วันนี้ได้มาหารือถอดบทเรียนการพัฒนาอุตสาหกรรมตลอด 40 กว่าปีที่ผ่านมา และทำให้ได้เข้าใจถึงสิ่งที่ภาคอุตสาหกรรมในไทยต้องสู้มาตลอดหลายสิบปี ในเรื่องเช่น
 
1. โครงสร้างภาษีนำเข้าวัตถุดิบที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับสินค้าสำเร็จรูป ถึงแม้เรื่องนี้จะมีมาตรการมารับมือบ้างแล้ว แต่ก็ทำให้สินค้าแบรนด์ของไทยเองไม่สามารถตั้งไข่ได้ในยุคแรกเริ่ม ที่ผ่านมากระทรวงการคลังได้มีการออกระเบียบมาช่วยผู้ประกอบการเรื่องนี้
 
2. เรื่องมาตรฐานอุตสาหกรรมที่เรามีมาตรฐานบังคับของสินค้าอุตสาหกรรมไม่มากเพียงพอจะป้องกันสินค้าคุณภาพต่ำจากต่างประเทศ ทำให้สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่มีสารต้องห้ามเข้ามาตีตลาด ส่วนการส่งออกของไทย ต้องแบกรับต้นทุนที่สูงกว่า
 
3. ประเทศไทยขาดแคลนบุคลากรด้านเทคโนโลยีในทุกระดับนับแสนคน ตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน ไปจนถึงอาชีวะ และวิศวกร ทำให้ต่างชาติไม่สนใจที่จะมาลงทุนในไทย และภาครัฐก็ไม่ประสบความสำเร็จ ทำให้ภาคธุรกิจที่เข้าร่วมโครงการกับภาครัฐเสี่ยงผิดกฎหมายแรงงานเสียเอง
 
นอกจากนี้จากการถอดบทเรียนร่วมกันยังทำให้ได้เห็นภาพว่าภาคอิเล็กทรอนิกส์เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่าง เศรษฐกิจ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม เพราะเป็นอุตสาหกรรมที่รองรับการเข้าสู่เศรษฐกิจที่คาร์บอนเป็น 0 โดยเฉพาะอิเล็กทรอนิกส์สำหรับการแปลงและควบคุมพลังงานไฟฟ้า ที่ประเทศไทยมีศักยภาพที่จะทำได้ โดยในรายงานของ UNEP ระบุว่า ในขยะอิเล็กทรอนิกส์มีแร่ทองคำต่อน้ำหนักมากกว่าสินแร่ทองคำในการทำเหมืองทองคำจริงๆ ถึง 100 เท่า
 

 
เจพี มอร์แกน มอง "ไทย-ญี่ปุ่น" คือจุดอ่อนในเอเชีย
https://www.thansettakij.com/world/541030

เจพี มอร์แกน (JP Morgan) มองไทยและญี่ปุ่น คือจุดอ่อนในเอเชียขณะนี้ รองลงไปคือจีน เกาหลีใต้ อินเดีย เมื่อพิจารณาจากความแข็งแรงของดุลบัญชีเดินสะพัดและทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศ
 
นักเศรษฐศาสตร์จาก "เจพี มอร์แกน" ในสิงคโปร์ระบุ  ประเทศในเอเชีย ส่วนใหญ่ที่มี ดุลบัญชีเดินสะพัด ที่แข็งแรงและสะสม เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ เอาไว้มาก จึงสามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบจากความปั่นป่วนของตลาดโลกได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม เมื่อมองจากความแข็งแรงของดุลบัญชีเดินสะพัดและเงินสำรองระหว่างประเทศ พบว่า ไทยและญี่ปุ่น ยังคงเป็นจุดที่อ่อนของเอเชีย รองลงไปคือจีน เกาหลีใต้ อินเดีย 
 
นายอเล็กซานเดอร์ วูล์ฟ หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนภูมิภาคเอเชีย ของธนาคารเจพี มอร์แกน อินเวสต์เมนท์ แบงก์ ในประเทศสิงคโปร์เปิดเผยว่า แม้จะเริ่มมีสัญญาณเชิงลบโดยทุนสำรองระหว่างประเทศเริ่มจะลดลง แต่หลายประเทศก็ยังคงประคองตัวอยู่ในสถานะที่ดีกว่าเดิม เมื่อเทียบกับช่วงสิ้นปี 2019 ซึ่งเป็นช่วงที่เริ่มมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นวงกว้างมากขึ้น ปัจจุบัน ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของประเทศในกลุ่มเศรษฐกิจเกิดใหม่ของเอเชียมีมูลค่ารวมกันราว 2.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังจากที่เคยขึ้นไปแตะระดับสูงสุดที่ 2.8 ล้านล้านดอลลาร์ในเดือนตุลาคม 2021 
  
"ภายในปีที่ผ่านมา (2021) เกราะป้องกันปัจจัยลบจากภายนอกที่สั่งสมไว้เริ่มร่อยหรอลงมาก ขณะที่หนี้ภาครัฐและหนี้ครัวเรือนก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีการใช้จ่ายงบประมาณมากขึ้น นอกจากนี้ การนำเข้าสินค้าโภคภัณฑ์เพิ่มขึ้นยังมีผลต่อยอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัดที่เคยทำไว้ได้มาก ขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Real Interest Rate) ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยที่ระบุไว้ (Nominal Interest Rate) หักด้วยอัตราเงินเฟ้อ (Inflation Rate) ก็อยู่ในอัตราติดลบ สภาวะเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า ประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ของเอเชียมีภาวะปัจจัยที่จะป้องกันตัวเองจากผลกระทบของเงินทุนไหลออกลดน้อยลง 
 
อย่างไรก็ตาม เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นภูมิภาคที่จัดได้ว่ามีความยืดหยุ่นและสามารถปรับตัวรับผลกระทบดังกล่าวได้ดีเป็นพิเศษเมื่อพิจารณาในแง่เศรษฐกิจมหภาค โดยจะเห็นได้ว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อในภาคอุตสาหกรรม (PMI) มีสัญญาณการขยายตัวทั่วทั้งภูมิภาค ซึ่งแตกต่างจากสถานการณ์ในเกาหลีใต้และไต้หวัน
 
ยิ่งในเอเชียเหนือที่ซึ่งยังมีความขัดแย้งกันอยู่ เช่น ญี่ปุ่น และกจีน เจพี มอร์แกนระบุว่า คู่นี้อาจเป็นจุดอ่อนแอที่สุดของภูมิภาคเอเชีย ทั้งนี้ หากประเมินความเปราะบางโดยพิจารณาจากดุลบัญชีเดินสะพัด สำรองเงินตราต่างประเทศ และยีลด์บัฟเฟอร์ (yield buffer) พบว่า ไทยและญี่ปุ่น เป็นจุดที่อ่อนแอมากที่สุด ตามมาด้วยจีน เกาหลีใต้ และอินเดีย เป็นกลุ่มอ่อนแอรองลงมา
 
ด้านบริษัทวิจัยโนมูระ เปิดเผยว่ามี 7 ใน 30 ประเทศที่พบว่า หากมีภาวะ hard landind เศรษฐกิจหดตัว ถดถอย หรือตลาดเงินตลาดทุนขาดสเถียรภาพ ก็ยังจะสามารถรับมือได้ดี ไม่ได้รับแรงกระแทกมากนัก ซึ่งในจำนวนนี้มีประเทศที่อยู่ในเอเชียด้วย ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ และอินเดีย 
 
ที่มา : Stagflation-free Asian markets are leaving taper tantrums behind
 

 
'ยูนิเซฟ' ประณามเมียนมา ใช้เครื่องบินโจมตีย่านชุมชน ภูมิภาคสะกาย น.ร.ดับแล้ว 11
https://www.matichon.co.th/foreign/news_3573064
 
‘ยูนิเซฟ’ ประณามเมียนมา ใช้เครื่องบินโจมตีย่านชุมชน ภูมิภาคสะกาย น.ร.ดับแล้ว 11
 
กองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (ยูนิเซฟ) ประณามเมียนมาผ่านแถลงการณ์เมื่อวันที่ 19 กันยายนว่า เมียนมาได้ใช้เครื่องบินโจมตีทางอากาศ และกราดยิงอย่างไม่เลือกหน้าในเขตชุมชนหมู่บ้านตาบายิน ในภูมิภาคสะกาย โดยโรงเรียนซึ่งเป็นเขตปลอดการโจมตีอย่างเด็ดขาดกลับตกเป็นเป้าโจมตี เมื่อวันที่ 16 กันยายนที่ผ่านมา ส่งผลให้มีนักเรียนเสียชีวิตอย่างน้อย 11 ราย และยังมีนักเรียนอีกกว่า 15 คนจากโรงเรียนเดียวกันที่ยังหาตัวไม่พบ ซึ่งคลิปวิดีโอเหตุการณ์จากชุมชนท้องถิ่น แสดงภาพความเสียหายของโรงเรียนและห้องเรียนที่ปรากฏคราบเลือดอยู่ที่พื้น รวมถึงยังมีภาพของผู้ปกครองคนหนึ่งที่นั่งร้องไห้ ขณะกอดร่างของลูกที่เสียชีวิตจากเหตุโจมตีครั้งนี้
 
ด้านรัฐบาลทหารเมียนมายืนยันว่าได้ส่งกำลังทหารเข้าไปยังพื้นที่ด้วยเฮลิคอปเตอร์ หลังจากได้รับข่าวกรองว่ากองกำลังปลดแอกคะฉิ่นและกลุ่มกองกำลังติดอาวุธในท้องถิ่น กำลังเคลื่อนอาวุธในพื้นที่เขตสะกาย พื้นที่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมียนมาที่เกิดการต่อสู้อย่างดุเดือดระหว่างกลุ่มต่อต้านรัฐประหารและกองทัพเมียนมา มาระยะหนึ่งจนทำให้บ้านเรือนในหมู่บ้านทั้งหมดถูกเผาทำลาย หลังจากที่กองทัพเมียนมาก่อรัฐประหารไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2021
 
ขณะที่กองทัพเมียนมากล่าวหาว่า กลุ่มนักรบฝ่ายกบฏใช้ชาวบ้านเป็นโล่มนุษย์ อีกทั้งยังกล่าวอีกว่ากองทัพได้ทำการยึดระเบิดและระเบิดฝังดินจากหมู่บ้านดังกล่าวจำนวนมาก
 
นายฮาซาน นัวร์ ผู้อำนวยการประจำภูมิภาคเอเชียขององค์การช่วยเหลือเด็ก (เซฟเดอะชิลเดนท์) แสดงความเสียใจต่อครอบครัวที่สูญเสียจากเหตุการณ์น่าสลดที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ และกล่าวย้ำว่าโรงเรียนจะต้องอยู่นอกเขตโจมตีและความปลอดภัยของนักเรียนทุกคนจะต้องได้รับการปกป้อง อีกทั้งยังเรียกร้องให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และอาเซียนรีบจัดการกับความรุนแรงในเมียนมาให้เร็วที่สุด
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่