นับตั้งแต่ชุด Jinsei X Boku = เป็นต้นมา วงก็เริ่มเส้นทางที่จะบุกตลาดอินเตอร์ ได้มีการทดลองเปลี่ยนซาวด์ เปลี่ยนแนวดนตรี ทดลองหยิบนู่นมาใส่กับนี่ เข้าท่าบ้าง แป้กบ้าง ลงตัวบ้าง เต่อบ้าง แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี่ก็ผ่านมาแล้วถึง 3 อัลบั้ม และยังคงไม่มีทีท่าว่าจะหยุดนิ่ง นี่ยังคงเป็นเครื่องการันตีว่าการไปสู่ตลาดอินเตอร์ของวงยังคงเป็นไปได้อย่างดี และวันนี้เราก็จะมาพูดถึงอัลบั้มชุดล่าสุดชุดที่ 10 (นับเป็นชุดที่ 4 ตั้งแต่เริ่มโกอินเตอร์) นั่นก็คือ Luxury Disease จาก 4 หนุ่มร็อกสตาร์สุดแสบจากญี่ปุ่น ONE OK ROCK นั่นเอง
เกริ่นก่อนว่าผลงานจากอัลบั้มชุดก่อนหน้านี้ Eye of the Storm วงได้หันหัวไปสู่การทำเพลง pop หลากหลายสไตล์ และได้ทิ้งลวดลายความเป็น rock ที่ติดตัวมากว่า 10 ปีจนเกือบจะหมดสิ้น (มีแค่เพลง The Last Time ที่ยังหลงเหลือความเป็น rock อยู่ค่อนข้างชัด) ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันทำให้ชื่อ ONE OK ROCK ได้เป็นที่รู้จักมากขึ้น และตัวเพลงก็เข้าถึงคนในวงกว้างขึ้นเช่นกัน (สังเกตได้ว่าอย่างน้อยๆ ก็ตกแฟนๆ Ed Sheeran ได้ตรึม) แต่มันก็แลกมากับการที่ทำให้แฟนเพลงเก่าๆ ที่ยังคงคาดหวังความเป็น rock (หรือมากกว่านั้นคือคาดหวังในความเป็น J-ROCK เท่านั้น) ผิดหวังกับงานชุดนี้กันพอสมควร หลังผ่านงานชุดนี้มา ทากะ นักร้องนำของวงก็ได้ออกมาพูดว่าในอัลบั้มชุดหน้า พวกเขาจะกลับมาทำเพลง rock กันอีกครั้ง แน่นอนว่าแฟนๆ ก็ต่างคาดหวังกันว่าจะได้ฟังเพลง rock จาก ONE OK ROCK อีกครั้ง
เราได้เห็นชิ้นส่วนจาก Luxury Disease ครั้งแรกตอนเพลง Wonder เล่นครั้งแรกที่คอนเสิร์ต Field of Wonder ให้ความรู้สึกประมาณ rock ยุค 80s ตอนแรกยังไม่มั่นใจว่าตัวเพลงใน studio version จะ rock แบบนี้มั้ย หรือนี่จะเป็นแค่การเอาเพลงใหม่ที่ยังไม่ปล่อย มาปรับซาวด์เพื่อการเล่นสด (เหมือน Push Back ที่ studio version กับ live version ต่างกันสิ้นเชิง) แต่ก็เป็นสัญญาณที่ดีว่าจะได้ฟังเพลง rock กันอีกครั้ง จนกระทั้งปี 2021 ก็มาถึงคิวของ Renegades และ Broken Heart of Gold ทั้งสองเพลงมีความเป็น rock ที่ไม่ได้หนักมาก แต่ก็ชัดเจนกว่าตอน Eye of the Storm ส่วนตัวคิดว่าก็คงสมกับที่พูดไว้แล้วว่าจะกลับมา rock กันจริงๆ เพียงแค่จะหนักในระดับที่แฟนเพลง “คาดหวัง” หรือไม่เท่านั้นเอง
หายไปนานจนปีนี้ Save Yourself ก็ถูกปล่อยออกมาพร้อมๆ กับการประกาศปล่อยอัลบั้ม Luxury Disease เชื่อว่าคงทำให้แฟนเดนตายรู้สึกอิ่มกันพอสมควร เพราะทั้งจังหวะ กลอง เบส กีต้าร์ก็มีความผสมผสานตัวตน ONE OK ROCK ยุคเก่ายุคใหม่ผสมกันมา แต่ซาวด์ยังคงความเป็นอินเตอร์อยู่ และก็ทำให้นึกถึงเพลง Bombs Away จากชุด Ambitions อยู่เหมือนกัน นี่ไม่ใช่เพลงที่หนักแบบบ้าคลั่งอย่าง Take Me To The Top หรือ Ending Story?? แต่ก็สาแก่ใจพอที่จะทำให้สนุกไปกับมันได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ แต่ถามว่าคิดว่าอัลบั้มเต็มจะหนักในระดับไหน ส่วนตัวพอเห็นว่า Save Yourself คือแทร็กแรกจากอัลบั้ม จึงรู้อยู่แล้วว่ายังไงอัลบั้มนี้ก็ "แทบจะไม่มีทาง" หนักเกินชุด 35xxxv หรือ Jinsei X Boku = อย่างแน่นอน เพราะประกอบกับเพลงที่ปล่อยมาก่อนแล้ว ก็พอจะจับทางได้ว่าอัลบั้มเต็มจะเป็นยังไง
และสิ่งที่คิดก็ถูกต้อง เพราะอัลบั้มนี้ไม่ใช่ผลงานที่สาดความหนักหน่วงเหมือนก่อน แต่เน้นความหลากหลายในแนวทางของดนตรี rock ที่เน้นความเป็นตะวันตก (พูดถึงความหลากหลาย Luxury Disease แปลมาจาก Zeitakubyou ที่เป็นชื่ออัลบั้มแรกของวง ซึ่งก็สื่อถึงความอยากจับใส่ก็ใส่ ทำเกิดความหลากหลายของตัวเพลง) เชื่อว่าแฟนเพลงคงเซอร์ไพรส์กับหลายเพลงกันพอสมควร ทั้ง Neon ที่มีความเป็น Muse กับ My Chemical Romance หรือจะเป็น When They Turn The Lights On ที่ให้ความรู้สึกเหมือนฟัง musical rock อย่าง Queen (ออกตัวก่อนว่าส่วนนี้เป็นความเห็นจากที่ลองตามอ่านมาจากหลายๆ ที่ เพราะเราเองไม่ค่อยได้ฟังเพลง 3 วงนี้เท่าไหร่ ถ้าถาม detail เชิงลึกคงตอบได้ยาก) ซึ่งถ้าดูจากชื่อโปรดิวเซอร์ Rob Cavallo ที่เข้ามาช่วย ก็คงไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ ส่วนตัวชอบ Neon มาก เพราะก็ค่อนข้างถูกจริตกับ vibe นี้เป็นทุนเดิม และเราเองก็ชอบไลน์โซโล่จากเพลง When They Turn The Lights On มากเช่นกัน
นอกจากนี้ยังมี กลุ่มเพลงที่ฟังแล้วรู้สึกถึงความเป็น ONE OK ROCK ดั้งเดิมอยู่อีกนอกจาก Save Yourself อย่างเช่น Vandalize กับ Let Me Let You Go โดยที่ Vandalize มีความหนักหน่วงและจังหวะจะโคนที่ทำเอานึกถึงเพลงยุคเก่าได้ง่ายๆ ส่วน Let Me Let You Go ก็มีทั้งเมโลดี้ที่โคตรจะติดหู และการผ่านหนักผ่อนเบาที่เรามองว่าทำได้ดีและน่าสนใจ
ส่วนเพลงที่ให้ความเป็น rock สมัยใหม่ได้อย่างชัดเจนก็จะมี Prove, Mad World, Free Them และ Outta Sight ในที่นี้ Prove ได้ Jordan Fish มาช่วยปรับความหนักหน่วงให้ตัวเพลง กลายเป็นเพลงที่โคตรเท่ Mad World เองก็ผสมความเป็น electronic กับความ rock เข้าไป ที่น่าสนใจคือแบบ Japanese Version เพลงนี้ใช้เนื้อญี่ปุ่น "เกือบทั้งเพลง" ซึ่งเพลงล่าสุดที่ใช้เนื้อญี่ปุ่นเยอะขนาดนี้ อาจย้อนไปถึง Jibun Rock หรือ Mikansei Kokyoukyoku จากชุด Niche Syndrome นู่นเลย Free Them ได้ Teddy Swims มาช่วยเสริมความแกร่งให้ตัวเพลง และเนื้อเพลงอาจเป็นการระบายความกดดันที่ทางวงได้รับมาตลอดหลังจากเปลี่ยนแนวเพลงมาก็เป็นได้ ส่วนตัวรู้สึกว่าเพลงนี้ให้ความรู้สึกว่าเป็นเพลงที่ฟังเอาเพราะมากกว่าฟังเอาสนุก ส่วน Outta Sight ใช้ซาวด์สังเคราะห์เป็นตัวขับเคลื่อนเพลงเป็นหลัก ให้ความรู้สึกเหมือน One Way Ticket ในแบบที่จังหวะสนุกกว่า เรื่องความจัดจ้านในดนตรี เพลงนี้อาจโดดเด่นน้อยที่สุด แต่เราว่าเมโลดี้ของมันก็ติดหูดีเหมือนกันนะ
พูดถึง Ballad เอง ONE OK ROCK ไม่เคยทำให้ผิดหวังอยู่แล้ว So Far Gone ให้ความรู้สึกเหมือนฟัง ballad rock ยุค 90s-00s กลายๆ ไล่อารมณ์เพลงได้ดีมาก แอบเปลี่ยนคีย์ช่วงท่อน bridge ด้วย โซโล่กีต้าร์ตอนท้ายก็เสริมอารมณ์เพลงไปได้จนสุด และ Your Tears Are Mine คือเพลงที่เราชอบที่สุดในอัลบั้มนี้ ตอนที่ฟัง Teaser ส่วนตัวคิดไว้ว่าคงจะเป็นโทนประมาณ So Far Gone แต่พอเป็นเพลงเต็มกลับอลังการงานสร้าง เป็น ballad ถือว่าหนักหน่วงพอตัว และปล่อยของเยอะมาก โดยเฉพาะกีต้าร์ของโทรุที่ล้อกับไลน์ร้องของทากะไปแทบทั้งเพลง บอกได้เลยว่านี่ไม่ใช่เพลงช้าที่ฟังได้เพลินๆ แต่มันคือเพลงช้าในรูปแบบเพลงปล่อยของแบบของจริง ฟังกี่ครั้งก็ให้ความรู้สึก impact และตัวเนื้อเพลงก็ปลอบใจได้ดีตามสไตล์วงเลย ใครเศร้าๆ แล้วมาฟังก็คือซึมเป็นส้วม
ยังมี Gravity ที่เป็นเพลงพิเศษซึ่งได้ Satoshi Fujihara จาก Official Hige Dandism มาเติมรสอีกด้วย ซึ่งก็ทำให้เพลงมันมีความเป็นญี่ปุ่นสูงมาก โดยเฉพาะท่อนที่ Satoshi ร้อง ถ้าไม่รู้มาก่อนก็นึกว่าเป็นเพลง J-Rock ทั่วไปเลย
โดยภาพรวมแล้ว Luxury Disease ค่อนข้างเป็นไปตามที่เรา image ไว้ตั้งแต่แรกแล้ว นั่นคือเน้นความเป็น rock ที่มีความฟัง "สนุก" มากกว่า "มันส์ เถื่อน สะใจ" แบบงานชุดก่อนๆ ถ้าอิงจากที่ทากะเคยพูดเอาไว้ว่าจะกลับมาทำเพลง rock งั้นอัลบั้มนี้ก็ตรงกับที่ทากะพูดเอาไว้ไม่บิดพริ้วแม้แต่นิด เพราะทุกเพลงในนี้ล้วนเป็นเพลง rock ทั้งนั้น ไม่ว่ามันจะหนักมาก หนักน้อย หรือเป็น rock สัญชาติไหนก็ตาม เว้นแต่ว่าคุณจะตีความคำว่า rock จากทากะเป็น "J-ROCK" เท่านั้น อันนั้นก็อีกเรื่อง
ถึง Luxury Disease จะไม่ใช่งานที่หนักหน่วงเหมือนยุคก่อน แต่ก็เป็นงานที่ดีทีเดียว ได้เห็นความแปลกใหม่ที่ถูกจับใส่เข้ามาในหลายๆ ส่วน เห็นได้ชัดคืออัลบั้มนี้พาร์ทดนตรีชัดเจนมากโดยเฉพาะกีต้าร์ที่มีไลน์แปลกใหม่อยู่เต็มไปหมด พาร์ทกลองเองก็ยังคงแน่นและจังหวะเป็นเอกลักษณ์มาตลอดอยู่แล้ว เบสเองก็ขับเคลื่อนเพลงได้ดีตั้งแต่ต้นจนจบ ด้านการร้องก็ได้เห็นทากะร้องไลน์ใหม่ๆ แปลกหูอยู่เยอะเหมือนกัน อย่างในเพลง Neon กับ When They Turn The Lights On ก็นับว่าเป็นเรื่องใหม่ๆ ส่วน Your Tears Are Mine เองก็มีท่อนโชว์เสียงร้องที่พีคมากอยู่เช่นกัน
ปัญหานึงที่เกิดขึ้นในชุดนี้คือเรื่องฟีลลิ่งเพลงโดดไปโดดมา ส่วนนี้ถ้ามองตามจริงเองก็ใช่ แต่สำหรับเราที่รู้มาก่อนแล้วว่าความต้องการของทางวงต่ออัลบั้มนี้คือ "ความหลากหลาย" จึงทำให้เราไม่ได้รู้สึกว่าเป็นปัญหาอะไร แต่สำหรับคนที่มองว่ามุมนี้เป็นจุดด้อย อันนี้เองก็ไม่ผิดเช่นเดียวกัน เราว่าอยู่ที่ความชอบของคนเลย
สรุปแล้ว Luxury Disease คืออัลบั้มของ ONE OK ROCK ที่เราชอบที่สุด นับตั้งแต่ 35xxxv เป็นต้นมา และก็เป็นอัลบั้มที่ชอบเป็นลำดับต้นๆ ถ้ารวมจากทุกๆ อัลบั้มด้วย ได้กลับมาเปิดฟังบ่อยแน่นอน ดีใจที่ได้เห็นวงกลับมาสู่เส้นทางเพลง rock อีกครั้ง และจะรอติดตามต่อไปว่าผลงานเพลงต่อจากนี้จะมาเป็นแบบไหน สุดท้าย ตอนนี้คงบอกได้แค่ว่า "one ok ROCK is back!!"
รีวิวอัลบั้มใหม่ Luxury Disease จาก ONE OK ROCK
เกริ่นก่อนว่าผลงานจากอัลบั้มชุดก่อนหน้านี้ Eye of the Storm วงได้หันหัวไปสู่การทำเพลง pop หลากหลายสไตล์ และได้ทิ้งลวดลายความเป็น rock ที่ติดตัวมากว่า 10 ปีจนเกือบจะหมดสิ้น (มีแค่เพลง The Last Time ที่ยังหลงเหลือความเป็น rock อยู่ค่อนข้างชัด) ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันทำให้ชื่อ ONE OK ROCK ได้เป็นที่รู้จักมากขึ้น และตัวเพลงก็เข้าถึงคนในวงกว้างขึ้นเช่นกัน (สังเกตได้ว่าอย่างน้อยๆ ก็ตกแฟนๆ Ed Sheeran ได้ตรึม) แต่มันก็แลกมากับการที่ทำให้แฟนเพลงเก่าๆ ที่ยังคงคาดหวังความเป็น rock (หรือมากกว่านั้นคือคาดหวังในความเป็น J-ROCK เท่านั้น) ผิดหวังกับงานชุดนี้กันพอสมควร หลังผ่านงานชุดนี้มา ทากะ นักร้องนำของวงก็ได้ออกมาพูดว่าในอัลบั้มชุดหน้า พวกเขาจะกลับมาทำเพลง rock กันอีกครั้ง แน่นอนว่าแฟนๆ ก็ต่างคาดหวังกันว่าจะได้ฟังเพลง rock จาก ONE OK ROCK อีกครั้ง
เราได้เห็นชิ้นส่วนจาก Luxury Disease ครั้งแรกตอนเพลง Wonder เล่นครั้งแรกที่คอนเสิร์ต Field of Wonder ให้ความรู้สึกประมาณ rock ยุค 80s ตอนแรกยังไม่มั่นใจว่าตัวเพลงใน studio version จะ rock แบบนี้มั้ย หรือนี่จะเป็นแค่การเอาเพลงใหม่ที่ยังไม่ปล่อย มาปรับซาวด์เพื่อการเล่นสด (เหมือน Push Back ที่ studio version กับ live version ต่างกันสิ้นเชิง) แต่ก็เป็นสัญญาณที่ดีว่าจะได้ฟังเพลง rock กันอีกครั้ง จนกระทั้งปี 2021 ก็มาถึงคิวของ Renegades และ Broken Heart of Gold ทั้งสองเพลงมีความเป็น rock ที่ไม่ได้หนักมาก แต่ก็ชัดเจนกว่าตอน Eye of the Storm ส่วนตัวคิดว่าก็คงสมกับที่พูดไว้แล้วว่าจะกลับมา rock กันจริงๆ เพียงแค่จะหนักในระดับที่แฟนเพลง “คาดหวัง” หรือไม่เท่านั้นเอง
หายไปนานจนปีนี้ Save Yourself ก็ถูกปล่อยออกมาพร้อมๆ กับการประกาศปล่อยอัลบั้ม Luxury Disease เชื่อว่าคงทำให้แฟนเดนตายรู้สึกอิ่มกันพอสมควร เพราะทั้งจังหวะ กลอง เบส กีต้าร์ก็มีความผสมผสานตัวตน ONE OK ROCK ยุคเก่ายุคใหม่ผสมกันมา แต่ซาวด์ยังคงความเป็นอินเตอร์อยู่ และก็ทำให้นึกถึงเพลง Bombs Away จากชุด Ambitions อยู่เหมือนกัน นี่ไม่ใช่เพลงที่หนักแบบบ้าคลั่งอย่าง Take Me To The Top หรือ Ending Story?? แต่ก็สาแก่ใจพอที่จะทำให้สนุกไปกับมันได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ แต่ถามว่าคิดว่าอัลบั้มเต็มจะหนักในระดับไหน ส่วนตัวพอเห็นว่า Save Yourself คือแทร็กแรกจากอัลบั้ม จึงรู้อยู่แล้วว่ายังไงอัลบั้มนี้ก็ "แทบจะไม่มีทาง" หนักเกินชุด 35xxxv หรือ Jinsei X Boku = อย่างแน่นอน เพราะประกอบกับเพลงที่ปล่อยมาก่อนแล้ว ก็พอจะจับทางได้ว่าอัลบั้มเต็มจะเป็นยังไง
และสิ่งที่คิดก็ถูกต้อง เพราะอัลบั้มนี้ไม่ใช่ผลงานที่สาดความหนักหน่วงเหมือนก่อน แต่เน้นความหลากหลายในแนวทางของดนตรี rock ที่เน้นความเป็นตะวันตก (พูดถึงความหลากหลาย Luxury Disease แปลมาจาก Zeitakubyou ที่เป็นชื่ออัลบั้มแรกของวง ซึ่งก็สื่อถึงความอยากจับใส่ก็ใส่ ทำเกิดความหลากหลายของตัวเพลง) เชื่อว่าแฟนเพลงคงเซอร์ไพรส์กับหลายเพลงกันพอสมควร ทั้ง Neon ที่มีความเป็น Muse กับ My Chemical Romance หรือจะเป็น When They Turn The Lights On ที่ให้ความรู้สึกเหมือนฟัง musical rock อย่าง Queen (ออกตัวก่อนว่าส่วนนี้เป็นความเห็นจากที่ลองตามอ่านมาจากหลายๆ ที่ เพราะเราเองไม่ค่อยได้ฟังเพลง 3 วงนี้เท่าไหร่ ถ้าถาม detail เชิงลึกคงตอบได้ยาก) ซึ่งถ้าดูจากชื่อโปรดิวเซอร์ Rob Cavallo ที่เข้ามาช่วย ก็คงไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ ส่วนตัวชอบ Neon มาก เพราะก็ค่อนข้างถูกจริตกับ vibe นี้เป็นทุนเดิม และเราเองก็ชอบไลน์โซโล่จากเพลง When They Turn The Lights On มากเช่นกัน
นอกจากนี้ยังมี กลุ่มเพลงที่ฟังแล้วรู้สึกถึงความเป็น ONE OK ROCK ดั้งเดิมอยู่อีกนอกจาก Save Yourself อย่างเช่น Vandalize กับ Let Me Let You Go โดยที่ Vandalize มีความหนักหน่วงและจังหวะจะโคนที่ทำเอานึกถึงเพลงยุคเก่าได้ง่ายๆ ส่วน Let Me Let You Go ก็มีทั้งเมโลดี้ที่โคตรจะติดหู และการผ่านหนักผ่อนเบาที่เรามองว่าทำได้ดีและน่าสนใจ
ส่วนเพลงที่ให้ความเป็น rock สมัยใหม่ได้อย่างชัดเจนก็จะมี Prove, Mad World, Free Them และ Outta Sight ในที่นี้ Prove ได้ Jordan Fish มาช่วยปรับความหนักหน่วงให้ตัวเพลง กลายเป็นเพลงที่โคตรเท่ Mad World เองก็ผสมความเป็น electronic กับความ rock เข้าไป ที่น่าสนใจคือแบบ Japanese Version เพลงนี้ใช้เนื้อญี่ปุ่น "เกือบทั้งเพลง" ซึ่งเพลงล่าสุดที่ใช้เนื้อญี่ปุ่นเยอะขนาดนี้ อาจย้อนไปถึง Jibun Rock หรือ Mikansei Kokyoukyoku จากชุด Niche Syndrome นู่นเลย Free Them ได้ Teddy Swims มาช่วยเสริมความแกร่งให้ตัวเพลง และเนื้อเพลงอาจเป็นการระบายความกดดันที่ทางวงได้รับมาตลอดหลังจากเปลี่ยนแนวเพลงมาก็เป็นได้ ส่วนตัวรู้สึกว่าเพลงนี้ให้ความรู้สึกว่าเป็นเพลงที่ฟังเอาเพราะมากกว่าฟังเอาสนุก ส่วน Outta Sight ใช้ซาวด์สังเคราะห์เป็นตัวขับเคลื่อนเพลงเป็นหลัก ให้ความรู้สึกเหมือน One Way Ticket ในแบบที่จังหวะสนุกกว่า เรื่องความจัดจ้านในดนตรี เพลงนี้อาจโดดเด่นน้อยที่สุด แต่เราว่าเมโลดี้ของมันก็ติดหูดีเหมือนกันนะ
พูดถึง Ballad เอง ONE OK ROCK ไม่เคยทำให้ผิดหวังอยู่แล้ว So Far Gone ให้ความรู้สึกเหมือนฟัง ballad rock ยุค 90s-00s กลายๆ ไล่อารมณ์เพลงได้ดีมาก แอบเปลี่ยนคีย์ช่วงท่อน bridge ด้วย โซโล่กีต้าร์ตอนท้ายก็เสริมอารมณ์เพลงไปได้จนสุด และ Your Tears Are Mine คือเพลงที่เราชอบที่สุดในอัลบั้มนี้ ตอนที่ฟัง Teaser ส่วนตัวคิดไว้ว่าคงจะเป็นโทนประมาณ So Far Gone แต่พอเป็นเพลงเต็มกลับอลังการงานสร้าง เป็น ballad ถือว่าหนักหน่วงพอตัว และปล่อยของเยอะมาก โดยเฉพาะกีต้าร์ของโทรุที่ล้อกับไลน์ร้องของทากะไปแทบทั้งเพลง บอกได้เลยว่านี่ไม่ใช่เพลงช้าที่ฟังได้เพลินๆ แต่มันคือเพลงช้าในรูปแบบเพลงปล่อยของแบบของจริง ฟังกี่ครั้งก็ให้ความรู้สึก impact และตัวเนื้อเพลงก็ปลอบใจได้ดีตามสไตล์วงเลย ใครเศร้าๆ แล้วมาฟังก็คือซึมเป็นส้วม
ยังมี Gravity ที่เป็นเพลงพิเศษซึ่งได้ Satoshi Fujihara จาก Official Hige Dandism มาเติมรสอีกด้วย ซึ่งก็ทำให้เพลงมันมีความเป็นญี่ปุ่นสูงมาก โดยเฉพาะท่อนที่ Satoshi ร้อง ถ้าไม่รู้มาก่อนก็นึกว่าเป็นเพลง J-Rock ทั่วไปเลย
โดยภาพรวมแล้ว Luxury Disease ค่อนข้างเป็นไปตามที่เรา image ไว้ตั้งแต่แรกแล้ว นั่นคือเน้นความเป็น rock ที่มีความฟัง "สนุก" มากกว่า "มันส์ เถื่อน สะใจ" แบบงานชุดก่อนๆ ถ้าอิงจากที่ทากะเคยพูดเอาไว้ว่าจะกลับมาทำเพลง rock งั้นอัลบั้มนี้ก็ตรงกับที่ทากะพูดเอาไว้ไม่บิดพริ้วแม้แต่นิด เพราะทุกเพลงในนี้ล้วนเป็นเพลง rock ทั้งนั้น ไม่ว่ามันจะหนักมาก หนักน้อย หรือเป็น rock สัญชาติไหนก็ตาม เว้นแต่ว่าคุณจะตีความคำว่า rock จากทากะเป็น "J-ROCK" เท่านั้น อันนั้นก็อีกเรื่อง
ถึง Luxury Disease จะไม่ใช่งานที่หนักหน่วงเหมือนยุคก่อน แต่ก็เป็นงานที่ดีทีเดียว ได้เห็นความแปลกใหม่ที่ถูกจับใส่เข้ามาในหลายๆ ส่วน เห็นได้ชัดคืออัลบั้มนี้พาร์ทดนตรีชัดเจนมากโดยเฉพาะกีต้าร์ที่มีไลน์แปลกใหม่อยู่เต็มไปหมด พาร์ทกลองเองก็ยังคงแน่นและจังหวะเป็นเอกลักษณ์มาตลอดอยู่แล้ว เบสเองก็ขับเคลื่อนเพลงได้ดีตั้งแต่ต้นจนจบ ด้านการร้องก็ได้เห็นทากะร้องไลน์ใหม่ๆ แปลกหูอยู่เยอะเหมือนกัน อย่างในเพลง Neon กับ When They Turn The Lights On ก็นับว่าเป็นเรื่องใหม่ๆ ส่วน Your Tears Are Mine เองก็มีท่อนโชว์เสียงร้องที่พีคมากอยู่เช่นกัน
ปัญหานึงที่เกิดขึ้นในชุดนี้คือเรื่องฟีลลิ่งเพลงโดดไปโดดมา ส่วนนี้ถ้ามองตามจริงเองก็ใช่ แต่สำหรับเราที่รู้มาก่อนแล้วว่าความต้องการของทางวงต่ออัลบั้มนี้คือ "ความหลากหลาย" จึงทำให้เราไม่ได้รู้สึกว่าเป็นปัญหาอะไร แต่สำหรับคนที่มองว่ามุมนี้เป็นจุดด้อย อันนี้เองก็ไม่ผิดเช่นเดียวกัน เราว่าอยู่ที่ความชอบของคนเลย
สรุปแล้ว Luxury Disease คืออัลบั้มของ ONE OK ROCK ที่เราชอบที่สุด นับตั้งแต่ 35xxxv เป็นต้นมา และก็เป็นอัลบั้มที่ชอบเป็นลำดับต้นๆ ถ้ารวมจากทุกๆ อัลบั้มด้วย ได้กลับมาเปิดฟังบ่อยแน่นอน ดีใจที่ได้เห็นวงกลับมาสู่เส้นทางเพลง rock อีกครั้ง และจะรอติดตามต่อไปว่าผลงานเพลงต่อจากนี้จะมาเป็นแบบไหน สุดท้าย ตอนนี้คงบอกได้แค่ว่า "one ok ROCK is back!!"