สวัสดีครับ ผมคือนักศึกษาปริญญาโทภาควิชากายวิภาคศาสตร์ของมหาลัยรัฐแห่งหนึ่ง ในขณะนี้กำลังเรียนอยู่ในปีที่ 3 (เข้าเรียนรหัส 63) ในอดีต 2013 - 2019 ผมเคยเป็นนักศึกษาแพทย์ในมหาลัยรัฐอีกแห่งหนึ่งไกลออกไปทางคลองหลวง รับ วท.บ ออกจากคณะเก่าในปี 2019 ครับ
เรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ เป็นเรื่องราวในชีวิตผมโดยคร่าวๆ มีความเกี่ยวข้องกับโรคทางจิตเวชที่ผมเป็น ความคิดอ่านของผม การสอบได้และสอบไม่ได้ของผมจากอดีตจนถึงปัจจุบัน หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่อาจหรือกำลังประสบปัญหาอยู่บ้างไม่มากก้อน้อยครับ เริ่มเลยนะครับ
ผมเป็นเด็กเรียนอ่อนและก้าวร้าวตั้งแต่ประถมต้น โดยอ่อนวิชาวิทย์และคณิตแต่ถนัดวิชาอังกฤษ การอ่อนเลขวิทย์ทำให้ผมเครียดจากการเรียนสู้เพื่อนไม่ได้จนพัฒนาเป็นซึมเศร้าและก้าวร้าว ทุกอย่างยิ่งแย่หนักกว่าเดิมเมื่อเข้าเรียน ป4 เพราะมีเรื่องพวกบัญญิติไตรยางค์เข้ามา ผมเรียนไม่รู้เรื่องในทันที และกลายเป็นคนไม่ยอมเรียนหนังสือไม่คิดถึงอนาคตนับแต่นั้น ในปีเดียวกันผมยังไปขุดเกม red alert 2 (ซึ่งเก่าแล้วนะครับตอนนั้น ตอนผมเรียน ป4 ปี2004 เกมนี้น่าจะตกรุ่นแล้ว) มาเล่นจนติดอีกด้วย สรุปคือทั้งเรียนอ่อนเลขวิทย์ไม่สนใจเรียนติดเกมรวมกัน แต่ยังดีที่ผมยังสนใจวิชาอังกฤษจนฟังพูดอ่านเขียนคล่องจนเป็นจุดเด่น
แต่เพราะอ่อนเลขวิทย์ ผมเลยสอบไม่ติดโรงเรียนมัธยมครับ จนพ่อแม่ต้องฝากผมเข้าเรียน ผมเข้าเรียน ม ต้น โดยที่ไม่ตระหนักรู้ถึงการอ่อนวิชาสำคัญของตน ยังติดเกมและสอบตกอีกหลายครั้ง โดยเฉพาะการสอบตก Onet เลข ได้ 35/100 ถึงกระนั้นตอนขึ้น ม4 ผมเลือกเรียนสายวิทย์ทั้งๆที่ไม่ถนัดด้วยความที่คิดว่าสายนี้จะทำให้ผมมีตัวเลือกสอบเข้ามหาลัยมากกว่า
และแล้วเทอมแรกใน ม4 ผมก้อสอบตกฟิสิกส์ได้ 5/20 และโดนดุว่าจนเสียน้ำตาจนได้
เท้าความก่อนนะครับ ตั้งแต่ ป4 ถึง ม4 เทอมต้น ผมไม่เคยอ่านหนังสือสอบเลย ไม่เคยทำโจทย์เลย แต่ด้วยการที่ข้อสอบเป็นช้อยส์ ผมที่โชคดีกับการฝนคำตอบจึงรอดมาได้แบบเส้นยาแดงผ่าแปดทุกครั้ง ผมจึงไม่ตระหนักถึงความอ่อนของตนเองจนขึ้น ม ปลาย พอตกฟิสิกส์เทอมนั้นผมเลยเริ่มหาที่เรียนพิเศษและอ่านหนังสือบ้าง ซึ่งยังเป็นการอ่านแบบอัจฉริยะข้ามคืนวันเดียวก่อนสอบอยู่ ขอแค่พอผ่าน แต่ถึงกระนั้นผมก้อยัง "โชคดี" สอบผ่านมาได้เรื่อยๆจนถึง ม6
เล่าถึงตรงนี้ ผมต้องบอกก่อนว่า ผมไม่คิดจะสอบ กสพท 7 วิชา หรือ gat pat ใดๆเลยครับ ผมเข้าใจมาตั้งแต่เด็กว่าตนเป็นปัญญาอ่อน และมีหน้าที่เรียนให้จบแค่ ม6 พอ เดี๋ยวค่อยออกไปหางานทำ ซึ่งพ่อกับแม่ผมสำรวจเจอว่าผมคิดแบบนี้และพยายามบอกว่าผมไม่ได้ปัญญาอ่อน รวมทั้งกระตุ้นให้ผมสอบเข้ามหาลัย ช่วง ม6 ผมจึงได้รับแรงกดดันอย่างมาก โดยรวมพื้นฐานผมคืออ่อนมากครับตอนขึ้น ม6 แปลงรูปสมการพหุนามเข้ารูปทั่วไปของภาคตัดกรวยไม่เป็น แก้อสมการ absolute ไม่เป็น รวมตัวต้านทานไม่เป็นและอีกมากมาย แถมผมยังอ่านหนังสือไม่รู้เรื่องอีกด้วย ถึงขนาดที่ว่าจิ้มโจทย์เล่ม high speed maths ง่ายๆบางข้อผมยังทำไม่ได้เลย
ถึงกระนั้น ผมก้อยังสอบไปตามเนื้อผ้า จากแรงผลักดันที่ที่บ้านอยากให้มีที่เรียน และสอบตามเพื่อน ผลออกมาคือตามนี้ครับ คะแนนปี 2556 นะครับ
Pat1ตก 100/300 pat2 162/300 Gat 275/300 พวกนี้คือสอบรอบ 1 ปลายปี 55 นะครับ gat pat
7วิชา ตกเลข 46/100 ตกสังคม 44/100 ฟิสิกส์ 60 เคมี 66 ชีวะ 65 ไทย 64 อังกฤษ 70 ถนัดแพทย์ 19.93
กสพท รวมได้ 61.556 แต่ปีนั้นทำไมไม่รู้ กสพท คิดได้ 61.84
สรุปคือผมติดแพทย์ครับ แต่เป็นที่โหล่คณะ
พอเข้าคณะมา ผมออกลายก้าวร้าวในทันที เพราะซึมเศร้าเครียดกับการเป็นที่โหล่ เรียนไม่รู้เรื่องติดกันหลายปีและอยากสบายไม่อยากเรียนแพทย์ ผมกลายเป็นอันธพาลอาละวาดในทันที ทำร้ายคนทำลายข้าวของทุกอย่างที่ขวางหน้า ช่วง 2013-2019 ถ้าลองไปถามที่คณะ จะบอกว่าเหมือนฝันร้ายเลยครับ ผมจะมีเรื่องชกต่อยไล่ทำร้ายคนทุกวัน ขึ้นวอร์ดก้อมาสายงานก้อไม่ทำ อาละวาดอย่างเดียว มีดีอย่างเดียวคือสอบผ่านบางวิชา ตอนนั้นผมไม่ได้คิดว่าจะจบออกมาเป็นแพทย์นะครับ ผมคิดว่าจะอยู่ในคณะประวิงเวลาให้พ่อแม่เลี้ยงเฉยๆเพราะขี้เกียจทำงาน เพราะผมก้อไม่อยากทำงานไม่อยากเรียนมหาลัยตั้งแต่แรกอยู่แล้ว จนมาวันนึงคือผมรู้สึกว่าไม่อยากเรียนไม่อยากทำงานอย่างถึงที่สุด เลยตัดสินใจอาละวาดหนักที่สุดเท่าที่เคยทำมาในชีวิต เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่การศึกษาท่านหนึ่งเกิดกระทบกระเทือนจิตใจจนคุมสอบไม่ได้อีกเลย (ปกติเจ้าหน้าที่ท่านนี้เข้มงวดมากครับ ท่านเคยดุผมที่โดดเรียนวิชา cardiology และเคยโดนผมเหวี่ยงใส่ทางไลน์มาแล้ว)
อันนี้คือเรื่องมืดที่สุดในกระทู้นี้แล้วครับ ตัวผมในตอนนั้นไม่คิดอยากเรียนหรือทำงานใดๆ และมีเป้าประสงค์ aim จะทำร้ายคนรอบข้างอย่างเห็นได้ชัด นั่นคือนอกจากเป็นคนไข้ซึมเศร้าแล้ว ผมยังเป็น antisocial personality disorder บุคลิกภาพผิดปกติแบบต่อต้านสังคม แบบไร้ยางอายอย่างถึงที่สุดด้วยครับ คณะให้ทางเลือก หรือจริงๆคือไล่ออกในทันทีครับจากเหตุการณ์นี้ และอนุมัติ วท.บ ให้ผมมา ซึ่งก้อสมควรแล้วที่โดนไล่ เพราะก่อนหน้านั้นผมก่อคดีมาแล้วไม่ต่ำกว่า 100 คดีแค่ในช่วง 5 ปี ผมยอมรับว่าถ้าโพสไปต้องโดนด่าแน่เพราะเรื่องมืดขนาดนี้ไม่ค่อยมีคนโพสในพันทิพย์
ผมออกจากคณะมาเป็นอันธพาลนั่งกินนอนกินบนเงินพ่อแม่อยู่เกือบปี ก่อนจะไปสมัครเรียน ป โท สาขาภาษาศาสตร์ที่บางมด ซึ่งผมก้อไม่ได้ชอบและลาออกมาหลังเรียนได้ 3 วัน ต่อจากนั้นผมไปทำงานอยู่ที่ข้าวสารได้อีกเดือน โดยฝึกงานสายบริการ โดยไปทำงานทั้งๆที่คุมโรคด้วยยาอย่างกระท่อนกระแท่น ดีที่ได้ยาในกลุ่มเดียวกับที่รักษา ไบโพล่าร์ มา จึงคุมอารมณ์ได้บางส่วน ผมเริ่มเห็นว่าตนไม่ถนัดทางนี้ภายในช่วง 1 เดือนนั้น และขอเจ้าของร้านลาออก เพื่อมาสอบ Ielts ยื่น ป โท โดยเลือกเรียนสาขากายวิภาคศาสตร์ที่ตนเองถนัดสมัยเรียนปี 2
ผลคือได้ IELTS 6.5 และสอบเข้าเรียนกายวิภาคได้สำเร็จครับ ต่อจากนี้จะมีแต่เรื่อง positive ละ
ที่เรียนเดิมผมไม่ได้เรียนกายวิภาคลึกครับ ช่วงแรกก้อมีการปรับตัวกันนิดหน่อย ทั้งเรื่องการฝึกผ่ากรอสใหม่และการดูกล้องคัพภวิทยาแบบหั่นสไลด์ ผมผ่ากรอสไม่เก่ง แต่สามารถชี้บอกโครงสร้างได้อย่างถูกต้องจนเป็นที่ยอมรับในหมู่เพื่อนๆ ทำให้ผมชอบวิชามหกายวิภาคศาสตร์ และในภายหลังเมื่อไปเรียนวิชาประสาทกายวิภาคศาสตร์ ผมก้อชื่นชอบวิชานี้เช่นกัน ซึ่งผมผ่านคอร์สเวิร์คของกายวิภาคศาสตร์โดยใช้เพียงยาคุมอารมณ์ที่ไม่มีฤทธิ์ต้านเศร้าและยังได้ A มาได้ จึงเป็นสิ่งที่ผมรู้สึกภูมิใจอย่างยิ่งครับ หลังจากผ่านคอร์สเวิร์คเหล่านี้ ผมเปลี่ยนจากการเป็นเด็กติดเกมที่เล่นเกมทั้งวัน เป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือตำราคลาสสิกทางกายวิภาค และสะสมตำรากายวิภาคเก่าครับ โดยมีเป้าหมายว่า จะเป็นอาจารย์กายวิภาคที่ดีให้ได้ในอนาคตครับ
ในตอนนี้ผมกำลังปรับความคิด เข้ารับจิตบำบัด และกำลังทำวิทยานิพนธ์อยู่ครับ ถือเป็นก้าวแรกในการทำวิจัยของผม ในช่วงที่ว่างหรือเบื่ออยากพัก ผมมักจะไปที่พิพิธภัณฑ์กายวิภาคของคณะเพื่อพาชาวต่างชาติชมสิ่งจัดแสดงของอาจารย์ครับ
ท้ายที่สุดนี้ผมอาจจะพอสรุปได้ว่า มันคงไม่ผิดมากที่อยากจะสบาย แต่ก้อต้องมีเป้าหมายในชีวิตเช่นกัน ไม่ว่าจะมีข้อเสียเปรียบยังไง ตราบใดที่ไม่ได้พิการทุพพลภาพ ก้อคงไม่ใช่ข้ออ้างที่จะเกาะครอบครัวหรือเกาะสังคมกินโดยที่ไม่ทำอะไรเลย
ซึ่งในข้อนี้ ผมก้อทำผิดพลาดอยู่หลายครั้ง โดยเฉพาะช่วงที่เครียด ท้อใจ หรือเสียใจ แต่จะพยายามปรับปรุงให้ดีขึ้นในอนาคตครับ
Second chance ของเด็กไม่เอาถ่าน จากเด็กเรียนไม่จบแพทย์ สู่แมวเฝ้าพิพิธภัณฑ์กายวิภาคศาสตร์
เรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ เป็นเรื่องราวในชีวิตผมโดยคร่าวๆ มีความเกี่ยวข้องกับโรคทางจิตเวชที่ผมเป็น ความคิดอ่านของผม การสอบได้และสอบไม่ได้ของผมจากอดีตจนถึงปัจจุบัน หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่อาจหรือกำลังประสบปัญหาอยู่บ้างไม่มากก้อน้อยครับ เริ่มเลยนะครับ
ผมเป็นเด็กเรียนอ่อนและก้าวร้าวตั้งแต่ประถมต้น โดยอ่อนวิชาวิทย์และคณิตแต่ถนัดวิชาอังกฤษ การอ่อนเลขวิทย์ทำให้ผมเครียดจากการเรียนสู้เพื่อนไม่ได้จนพัฒนาเป็นซึมเศร้าและก้าวร้าว ทุกอย่างยิ่งแย่หนักกว่าเดิมเมื่อเข้าเรียน ป4 เพราะมีเรื่องพวกบัญญิติไตรยางค์เข้ามา ผมเรียนไม่รู้เรื่องในทันที และกลายเป็นคนไม่ยอมเรียนหนังสือไม่คิดถึงอนาคตนับแต่นั้น ในปีเดียวกันผมยังไปขุดเกม red alert 2 (ซึ่งเก่าแล้วนะครับตอนนั้น ตอนผมเรียน ป4 ปี2004 เกมนี้น่าจะตกรุ่นแล้ว) มาเล่นจนติดอีกด้วย สรุปคือทั้งเรียนอ่อนเลขวิทย์ไม่สนใจเรียนติดเกมรวมกัน แต่ยังดีที่ผมยังสนใจวิชาอังกฤษจนฟังพูดอ่านเขียนคล่องจนเป็นจุดเด่น
แต่เพราะอ่อนเลขวิทย์ ผมเลยสอบไม่ติดโรงเรียนมัธยมครับ จนพ่อแม่ต้องฝากผมเข้าเรียน ผมเข้าเรียน ม ต้น โดยที่ไม่ตระหนักรู้ถึงการอ่อนวิชาสำคัญของตน ยังติดเกมและสอบตกอีกหลายครั้ง โดยเฉพาะการสอบตก Onet เลข ได้ 35/100 ถึงกระนั้นตอนขึ้น ม4 ผมเลือกเรียนสายวิทย์ทั้งๆที่ไม่ถนัดด้วยความที่คิดว่าสายนี้จะทำให้ผมมีตัวเลือกสอบเข้ามหาลัยมากกว่า
และแล้วเทอมแรกใน ม4 ผมก้อสอบตกฟิสิกส์ได้ 5/20 และโดนดุว่าจนเสียน้ำตาจนได้
เท้าความก่อนนะครับ ตั้งแต่ ป4 ถึง ม4 เทอมต้น ผมไม่เคยอ่านหนังสือสอบเลย ไม่เคยทำโจทย์เลย แต่ด้วยการที่ข้อสอบเป็นช้อยส์ ผมที่โชคดีกับการฝนคำตอบจึงรอดมาได้แบบเส้นยาแดงผ่าแปดทุกครั้ง ผมจึงไม่ตระหนักถึงความอ่อนของตนเองจนขึ้น ม ปลาย พอตกฟิสิกส์เทอมนั้นผมเลยเริ่มหาที่เรียนพิเศษและอ่านหนังสือบ้าง ซึ่งยังเป็นการอ่านแบบอัจฉริยะข้ามคืนวันเดียวก่อนสอบอยู่ ขอแค่พอผ่าน แต่ถึงกระนั้นผมก้อยัง "โชคดี" สอบผ่านมาได้เรื่อยๆจนถึง ม6
เล่าถึงตรงนี้ ผมต้องบอกก่อนว่า ผมไม่คิดจะสอบ กสพท 7 วิชา หรือ gat pat ใดๆเลยครับ ผมเข้าใจมาตั้งแต่เด็กว่าตนเป็นปัญญาอ่อน และมีหน้าที่เรียนให้จบแค่ ม6 พอ เดี๋ยวค่อยออกไปหางานทำ ซึ่งพ่อกับแม่ผมสำรวจเจอว่าผมคิดแบบนี้และพยายามบอกว่าผมไม่ได้ปัญญาอ่อน รวมทั้งกระตุ้นให้ผมสอบเข้ามหาลัย ช่วง ม6 ผมจึงได้รับแรงกดดันอย่างมาก โดยรวมพื้นฐานผมคืออ่อนมากครับตอนขึ้น ม6 แปลงรูปสมการพหุนามเข้ารูปทั่วไปของภาคตัดกรวยไม่เป็น แก้อสมการ absolute ไม่เป็น รวมตัวต้านทานไม่เป็นและอีกมากมาย แถมผมยังอ่านหนังสือไม่รู้เรื่องอีกด้วย ถึงขนาดที่ว่าจิ้มโจทย์เล่ม high speed maths ง่ายๆบางข้อผมยังทำไม่ได้เลย
ถึงกระนั้น ผมก้อยังสอบไปตามเนื้อผ้า จากแรงผลักดันที่ที่บ้านอยากให้มีที่เรียน และสอบตามเพื่อน ผลออกมาคือตามนี้ครับ คะแนนปี 2556 นะครับ
Pat1ตก 100/300 pat2 162/300 Gat 275/300 พวกนี้คือสอบรอบ 1 ปลายปี 55 นะครับ gat pat
7วิชา ตกเลข 46/100 ตกสังคม 44/100 ฟิสิกส์ 60 เคมี 66 ชีวะ 65 ไทย 64 อังกฤษ 70 ถนัดแพทย์ 19.93
กสพท รวมได้ 61.556 แต่ปีนั้นทำไมไม่รู้ กสพท คิดได้ 61.84
สรุปคือผมติดแพทย์ครับ แต่เป็นที่โหล่คณะ
พอเข้าคณะมา ผมออกลายก้าวร้าวในทันที เพราะซึมเศร้าเครียดกับการเป็นที่โหล่ เรียนไม่รู้เรื่องติดกันหลายปีและอยากสบายไม่อยากเรียนแพทย์ ผมกลายเป็นอันธพาลอาละวาดในทันที ทำร้ายคนทำลายข้าวของทุกอย่างที่ขวางหน้า ช่วง 2013-2019 ถ้าลองไปถามที่คณะ จะบอกว่าเหมือนฝันร้ายเลยครับ ผมจะมีเรื่องชกต่อยไล่ทำร้ายคนทุกวัน ขึ้นวอร์ดก้อมาสายงานก้อไม่ทำ อาละวาดอย่างเดียว มีดีอย่างเดียวคือสอบผ่านบางวิชา ตอนนั้นผมไม่ได้คิดว่าจะจบออกมาเป็นแพทย์นะครับ ผมคิดว่าจะอยู่ในคณะประวิงเวลาให้พ่อแม่เลี้ยงเฉยๆเพราะขี้เกียจทำงาน เพราะผมก้อไม่อยากทำงานไม่อยากเรียนมหาลัยตั้งแต่แรกอยู่แล้ว จนมาวันนึงคือผมรู้สึกว่าไม่อยากเรียนไม่อยากทำงานอย่างถึงที่สุด เลยตัดสินใจอาละวาดหนักที่สุดเท่าที่เคยทำมาในชีวิต เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่การศึกษาท่านหนึ่งเกิดกระทบกระเทือนจิตใจจนคุมสอบไม่ได้อีกเลย (ปกติเจ้าหน้าที่ท่านนี้เข้มงวดมากครับ ท่านเคยดุผมที่โดดเรียนวิชา cardiology และเคยโดนผมเหวี่ยงใส่ทางไลน์มาแล้ว)
อันนี้คือเรื่องมืดที่สุดในกระทู้นี้แล้วครับ ตัวผมในตอนนั้นไม่คิดอยากเรียนหรือทำงานใดๆ และมีเป้าประสงค์ aim จะทำร้ายคนรอบข้างอย่างเห็นได้ชัด นั่นคือนอกจากเป็นคนไข้ซึมเศร้าแล้ว ผมยังเป็น antisocial personality disorder บุคลิกภาพผิดปกติแบบต่อต้านสังคม แบบไร้ยางอายอย่างถึงที่สุดด้วยครับ คณะให้ทางเลือก หรือจริงๆคือไล่ออกในทันทีครับจากเหตุการณ์นี้ และอนุมัติ วท.บ ให้ผมมา ซึ่งก้อสมควรแล้วที่โดนไล่ เพราะก่อนหน้านั้นผมก่อคดีมาแล้วไม่ต่ำกว่า 100 คดีแค่ในช่วง 5 ปี ผมยอมรับว่าถ้าโพสไปต้องโดนด่าแน่เพราะเรื่องมืดขนาดนี้ไม่ค่อยมีคนโพสในพันทิพย์
ผมออกจากคณะมาเป็นอันธพาลนั่งกินนอนกินบนเงินพ่อแม่อยู่เกือบปี ก่อนจะไปสมัครเรียน ป โท สาขาภาษาศาสตร์ที่บางมด ซึ่งผมก้อไม่ได้ชอบและลาออกมาหลังเรียนได้ 3 วัน ต่อจากนั้นผมไปทำงานอยู่ที่ข้าวสารได้อีกเดือน โดยฝึกงานสายบริการ โดยไปทำงานทั้งๆที่คุมโรคด้วยยาอย่างกระท่อนกระแท่น ดีที่ได้ยาในกลุ่มเดียวกับที่รักษา ไบโพล่าร์ มา จึงคุมอารมณ์ได้บางส่วน ผมเริ่มเห็นว่าตนไม่ถนัดทางนี้ภายในช่วง 1 เดือนนั้น และขอเจ้าของร้านลาออก เพื่อมาสอบ Ielts ยื่น ป โท โดยเลือกเรียนสาขากายวิภาคศาสตร์ที่ตนเองถนัดสมัยเรียนปี 2
ผลคือได้ IELTS 6.5 และสอบเข้าเรียนกายวิภาคได้สำเร็จครับ ต่อจากนี้จะมีแต่เรื่อง positive ละ
ที่เรียนเดิมผมไม่ได้เรียนกายวิภาคลึกครับ ช่วงแรกก้อมีการปรับตัวกันนิดหน่อย ทั้งเรื่องการฝึกผ่ากรอสใหม่และการดูกล้องคัพภวิทยาแบบหั่นสไลด์ ผมผ่ากรอสไม่เก่ง แต่สามารถชี้บอกโครงสร้างได้อย่างถูกต้องจนเป็นที่ยอมรับในหมู่เพื่อนๆ ทำให้ผมชอบวิชามหกายวิภาคศาสตร์ และในภายหลังเมื่อไปเรียนวิชาประสาทกายวิภาคศาสตร์ ผมก้อชื่นชอบวิชานี้เช่นกัน ซึ่งผมผ่านคอร์สเวิร์คของกายวิภาคศาสตร์โดยใช้เพียงยาคุมอารมณ์ที่ไม่มีฤทธิ์ต้านเศร้าและยังได้ A มาได้ จึงเป็นสิ่งที่ผมรู้สึกภูมิใจอย่างยิ่งครับ หลังจากผ่านคอร์สเวิร์คเหล่านี้ ผมเปลี่ยนจากการเป็นเด็กติดเกมที่เล่นเกมทั้งวัน เป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือตำราคลาสสิกทางกายวิภาค และสะสมตำรากายวิภาคเก่าครับ โดยมีเป้าหมายว่า จะเป็นอาจารย์กายวิภาคที่ดีให้ได้ในอนาคตครับ
ในตอนนี้ผมกำลังปรับความคิด เข้ารับจิตบำบัด และกำลังทำวิทยานิพนธ์อยู่ครับ ถือเป็นก้าวแรกในการทำวิจัยของผม ในช่วงที่ว่างหรือเบื่ออยากพัก ผมมักจะไปที่พิพิธภัณฑ์กายวิภาคของคณะเพื่อพาชาวต่างชาติชมสิ่งจัดแสดงของอาจารย์ครับ
ท้ายที่สุดนี้ผมอาจจะพอสรุปได้ว่า มันคงไม่ผิดมากที่อยากจะสบาย แต่ก้อต้องมีเป้าหมายในชีวิตเช่นกัน ไม่ว่าจะมีข้อเสียเปรียบยังไง ตราบใดที่ไม่ได้พิการทุพพลภาพ ก้อคงไม่ใช่ข้ออ้างที่จะเกาะครอบครัวหรือเกาะสังคมกินโดยที่ไม่ทำอะไรเลย
ซึ่งในข้อนี้ ผมก้อทำผิดพลาดอยู่หลายครั้ง โดยเฉพาะช่วงที่เครียด ท้อใจ หรือเสียใจ แต่จะพยายามปรับปรุงให้ดีขึ้นในอนาคตครับ