- แรกๆก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองจะชอบฟังเพลงอะไร แต่พอไปเจอลำโพงดีๆเข้าก็รู้สึกว่าเพลงๆเดิมแต่เราแปลความหมายมันไม่เหมือนเดิม จากเสียงๆนึงที่ฟังผ่านๆ มันจุดที่ move emotion ของเราได้จริงๆ เหมือนไปดูหนังในโรงหนัง
- ปัญหาคือหนังยังมีให้ดูในโรง แต่เพลงมันไม่มีที่ให้ฟังเนี่ยสิ สุดท้ายก็เลย
- เข้าใจนะว่าทำไมคนทั่วไปถึงคิดว่าเครื่องเสียงเป็นเรื่องสิ้นเปลืองและเข้าถึงยาก จากประสบการณ์ที่ไปลองก็รู้ว่าร้านขายเครื่องเสียงพวกนี้ไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไร เลยอยากจะสรุปบทเรียนไว้เผื่อใครคิดจะไปตามหาเครื่องเสียงบ้าง
- มีใครจะเสริมหรือแนะนำอะไรเพิ่มเติมบอกไว้ข้างล่างได้เลย จะได้เป็นความรู้ผมด้วย ผมก็มือใหม่
อุปกรณ์
- ชุดเครื่องเสียงแบบครบชุดจริงๆจะประกอบไปด้วย กล่อง (เครื่อง) 4 กล่อง กับลำโพง 2 ข้าง (เป็นอย่างต่ำ) ได้แก่ Streamer (เอาไว้เล่น spotify) -> DAC (Digital to analog converter ไว้ convert สัญญาณจาก Streamer เป็น analog เข้า เครื่องขยายเสียง -> Pre-amplifier (ปุ่มปรับ volume เอ่อ ก็ปรับสัญญาณเสียงก่อนเข้าภาคขยาย) -> Amplifier (ตัวขยายเสียง) -> Speaker (ลำโพง)
- คำถามที่ทุกคนสงสัยคือ “ทำไมลำต้องแยกวะ ...” คือจริงๆจะรวมกันก็ได้ แต่พวกหูทองเค้าจะเล่นแยกกัน เพราะเหมือนคอมพ์ที่มี mainboard , cpu , ram ผลิตแยกกันคนละบริษัท ซื้อแยกมาประกอบเองมันถูกกว่า แต่บางครั้ง notebook ก็คล่องตัวกว่า เพราะงั้นต้องเข้าใจจุดประสงค์ของการซื้อว่าอยากได้อะไร บางคนก็ชอบซื้อแยกๆหวังจะอัพเกรดไปเรื่อยๆเป็นงานอดิเรก บางคนก็ชอบอะไรที่จูนมาเสร็จแล้ว
- เราคิดอยู่นานกว่าจะซื้อแยกดีมั้ย แต่พอลองเปิดกระเป๋าตัวเองแล้วก็ไม่ได้มีงบมากขนาดนั้น สุดท้ายเลยซื้อแค่แอมป์กับลำโพง ปัญหาที่สำคัญที่สุดของการซื้อแยกคือ “สาย” ที่คนปกติไม่ค่อยจะบวกราคาเข้าไปด้วย แต่พอลองคิดราคาแล้ว ... เอ่อ.. รวมไปเถอะ ...
วิธีหาข้อมูล
- ก่อนเดินเข้าร้านเครื่องเสียงควรทำการบ้านไปก่อน นั่นคือเปิดเวปต่างๆ อาจจะเป็น what-hifi ก็ได้แล้วดูว่า best-buy ของแต่ละปีคือรุ่นไหนยี่ห้ออะไร
- หาก่อนว่าอุปกรณ์นี้ขายที่ร้ายไหน เพราะร้านเครื่องเสียงในไทยแต่ละร้านนำเข้าเครื่องเสียงแค่คนละแบรนด์ แต่ละร้านไม่ชอบให้พูด product ของร้านอื่น ซึ่งควรเข้าไปดูในเวปไซต์เค้าก่อนว่าร้านเค้าขายอะไร เข้าไปถามผิดแบรนด์นี่เซลล์เสียงเปลี่ยนอีก แล้วก็ bias คิดว่า brand ของร้านนั้นๆดีสุดทั้งๆที่ ลำโพงบางตัวมันเหมาะกับแอมป์บางตัว ที่ เอ่อ.. ขายกันคนละเจ้า
- หาชื่อลำโพงใน YouTube ก็มีคนเปรียบไว้ให้ จะได้รู้ว่ารุ่นที่เราหานี้ มันควรจะเทียบชนกับอะไร แล้วเวลาไปลองฟังควรหาอะไร
- app ฟังเพลงที่กลุ่มหูทองฟังกันคือ tidal ถ้าเปิด Spotify ให้เซลล์เห็นจะทำหน้าแห้งๆ (เนื่องจาก tidal มีเพลง hi-res แต่ Spotify จะเป็น mp3 ธรรมดา ฟังไปก็ได้แค่แนวเสียง แต่ไม่ได้ใช้ประสิทธิภาพของแอมป์หรือลำโพงเท่าที่ควร) ควรเตรียมไปให้เรียบร้อย มันให้ลองใช้ฟรีได้เดือนนึง
เตรียมเพลงที่ชอบไว้สัก 2-3 เพลงไว้ฟังเทียบ เอาเป็นแบบ ใสๆกว้างๆ เช่น never enough , เสียงร้อง จะ jazz หรืออะไรก็ได้ , กับเบสหนักๆ ซักเพลง
เมื่อเดินเข้าร้าน
- พาเพื่อนหรือครอบครัวไปฟังด้วยเพราะหลายหูดีกว่าหูเดียว
- ขอร้านเข้าไปฟังในห้องฟังเพลง ถ้าร้านไม่เชิญเข้าก็ไม่ต้องซื้อของร้านนั้นส่วนตัวรู้สึกว่าเค้าไม่ให้เกียรติเรา ฟังข้างนอกเสียงเสียงมันจะตีกันเละเทะมาก ซื้อมาเสียงไม่เหมือนเดิมแน่ๆ
- ร้านมักถามว่ามีงบเท่าไร ก่อนคุยเรื่องงบควรจะบอกว่า พี่ชอบตัวไหนจัดมาลองก่อนอย่าเพิ่งคุยเรื่องงบ ฟังให้พอมีไอเดียก่อน
- ร้านชอบถามว่า จะสะดวกต่อด้วยอะไร บอกว่าขอ streaming ผ่าน wifi จะดูมีความรู้ ถ้าต่อผ่าน bluetooth ไฟล์เสียงที่ส่งได้สูงสุดจะขึ้นกับมือถือและตัวรับ ซึ่งปัจจุบันละเอียดสุดอยู่ที่ aptx HD ที่ความละเอียด 24bit/48kHz แต่ความละเอียดที่ app เล่นเพลงอย่าง tidal ทั่วไปจะอยู่ที่ 24bit/96kHz จนถึง 24Bit/192kHz ซึ่งก็จะโดนเหยียดอีก
หาอะไรเมื่อลองฟัง หาอะไร
ลำโพง
- แนวเสียงหลักๆจะมี เสียงสดชัด หรือ โปร่งเนียน หรือ อิ่มเนียนหวาน ต้องถามตัวเองว่าชอบอะไรก่อนไปฟัง แอมป์ลำโพงแต่ละตัวจะมี characteristic ไม่เหมือนกัน เช่นเสียงชัด มักไม่โปร่งใส (เหมือนภาพคมหลังจะไม่เบลอ / ภาพสีเหลืองอิ่มหวาน จะไม่ใสเหมือนหลอดไฟนีออน)
- ลองฟังง่ายสุดคือเสียงมันเหมือนเครื่องดนตรีมาเล่นตรงหน้าจริงๆหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่ความรู้สึกเราขาดอะไรไปที่ทำให้รู้สึกมันไม่เหมือนจริง เช่น เสียงแหลม เสียงทุ้ม ขึ้นสุด ลงสุดได้เท่าของจริงมั้ย, sound stage กว้างหรือแคบ, imaging หลับตาแล้วเห็นนักดนตรียืนเล่นชัดขนาดไหน, forward / laidback ฟังแล้วรู้สึก engage ขนาดไหน บางทีมันก็ชัดไปจนน่าลำคาญ, colorization คือลำโพงบางตัวจะมีเอกลักษณ์ เช่น หวานใส แหลมสว่าง เน้นทุ้มเป็นลูกๆ ขึ้นอยู่กับเอกลักษณ์ของแต่ละยี่ห้อ
- cross-over ของลำโพงแต่ละลูกจะมีจุดตัดเสียง ที่ tweeter (ตัวเล่นเสียงแหลม) กับ woofer (ตัวเล่นเสียงทุ้ม) ไม่เหมือนกัน จุดที่แบ่งว่าตัวไหนทำหน้าที่อะไรเรียกว่า crossover คิดถึงกราฟคลื่นเสียงเวลาเอามา integrate แล้วจะได้พื้นที่เสียงเป็นระนาบเดียวกัน แต่ถ้าแบ่งไม่ดี เสียงกลางจะหายไป (ลำโพงบางเจ้าถึงกับเพิ่มตัวเล่นเสียงกลางขึ้นมา เรียกว่า 3-way speaker แต่การทำแบบนี้จะทำให้เกิดจุดตัดในกราฟมากขึ้น และปัญหาคือ image ของเครื่องเล่นไม่ชัดว่าอยู่ตรงไหน จริงๆตอนฟังแค่หาว่า เสียงที่เราอยากฟังมันชัดขนาดไหนก็พอ
- ถ้าคอนโดซื้อ bookshelf เถอะ (ลำโพงตัวเล็กๆที่ไม่ต้องวางพื้น) นอกจากจะประหยัดที่วางแล้ว bookshelf ที่ราคาเท่ากับ tower มักจะเสียงดีกว่า
- เท่าที่ลองฟังลำโพงอย่าง B&W จะเน้นแหลมใสไว้ฟังเพลง, psb elac เน้นเบส ไว้ดูหนัง ตึ๊บๆตู้มๆ หรือคนชอบแนวเพลงเบสหนักๆ ถ้าอยากได้กลางๆ ลองดูพวก focal kef อะไรนี้ก็ดีงาม
แอมป์
- แอมปดูหนังกับแอมป์ฟังเพลงเสียงไม่เหมือนกัน ถ้าอยากได้เสียงละเอียดก็ทำใจว่ามันจะไม่ 7.1 chanel อะไรงี้ แต่แอมป์ดูหนังเอามาฟังเพลงได้มั้ย ... ก็ได้นะ ถ้าไม่เรื่องมาก และก็จะดีว่าต่อกับ TV แต่และ game console ได้ด้วย
- พักนี้แอมป์ดูหนังตัวดีๆมักขาดตลาด ด้วยวิกฤต microchip
- เวลาดู เสปค แอมป์คือ ดูค่า total harmonic distortion (THD) แอมป์ดูหนังจะมีค่า THD สูงกว่า หมายถึงว่าจะมีความเพี้ยนสูงกว่าแอมป์ฟังเพลงในราคาใกล้ๆกัน ยิ่งต่ำยิ่งดี
- ค่า signal to noise ratio จะบอกถึงว่ามีเสียงจี่ๆ หรือ noise ออกมาจากลำโพงมากหรือน้อยเท่าไร ยิ่งมากยิ่งดี จะบอกถึงความ สงัด เวลาฟัง และได้ความใสมากขึ้น
- ตามทฤษฏีแล้วแอมป์จะแบ่งเป็นคราส
A - เปิดวงจรภาคขยายไว้ตลอด เปลืองไฟ ร้อนไฟไหม้ แต่ถ้าอยากได้เสียงดีๆก็เอา
AB - 90% เป็นแบบนี้ คือเอา diode กับ transister ไปขั้นให้ไม่ต้องจ่ายไฟตลอด เสียงก็จะแล้วแต่จะเอาไปขั้นท่าไหน แต่ละแบรนด์เลยมีลูกเล่นต่างกันไป
D - เปลี่ยนทุกอย่างเป็น digital หมด แต่ก่อนเสียงจะไม่ค่อยดี คิดถึงกราฟ 0-1 มัน ซ้อนกันยังไงก็ไม่ได้คลื่น analog ที่เป็น sine wave แต่เดียวนี้เค้าหันไปทำแบบนี้กันหมดแล้ว และมันก็พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ จะเห็นว่าแอมป์คลาส D ตัวเล็กเวอร์ ราคาน้ำตาไหลทุกตัว
- จะคราสอะไรก็ช่าง ในฐานะคนฟังเวลาซื้อแอมป์ง่ายสุดคือนอกจากชอบโทนเสียงแล้ว ลองหรี่เสียงให้เบาถึงจุดที่ฟังเล่นๆแล้วห้องข้างๆไม่ด่าแล้วลองดูว่ารายละเอียดยังอยู่ไหม แอมป์บางตัวต้องเปิดดังๆถึงจะได้จุดที่ถูกใจ
- แอมป์ฟังเพลงสมัยๆนี้หลักๆจะมีสองประเภทคือ integrated amp (รวม dac pre-amp กับ amplifier ไว้ด้วยกันเลย) กับ all-in-one คือเป็น integrated amp รวมกับ streamer ไว้ด้วย
- หลักการฟังก็เหมือนลำโพงข้างบน แต่เน้นมองหา forward / laidback กับ colorization จะชัดกว่า เช่นบางตัวเน้นเนียนนุ่มไปเลย บางตัวเน้น engage คนฟัง
- ซื้อ watt เยอะไว้ก่อนไม่ผิดหวัง อย่าไปซื้อแอมป์ watt น้อยๆตั้งแต่แรก อีกหน่อยจะขยายไม่ได้
- แอมป์ watt มากไม่ได้แปลว่าจะต้องเปิดดังอย่างเดียว แต่เวลาเปิดเบาๆรายละเอียดจะอยู่ครบกว่าด้วย
- แอมป์ marantz ฟังก์ชั่นเยอะสุด ในราคาเท่ากัน ถ้าไม่รู้จะซื้ออะไรก็ซื้อตัวนี้เถอะวัยรุ่นชอบแน่นอน แต่ถ้าอยากเอาแนวเสียงนุ่มๆไปลอง cambridge ถ้าอยากได้แนวแตกๆ rockๆ ไปลอง audolab ถ้าอยากได้เสียงหวานๆ ฟังแล้วเคลิ้มๆ ลองพวกแอมป์หลอดต่างๆ
สาย
- สายเหมือนเป็น filter มากกว่า คือถ้าแอมป์ดี ลำโพงดีแล้ว สายเหมือนช่วยเสริม
- สายดีๆจะได้รายละเอียดชัดขึ้น เสียงเบาๆที่อยู่ background มันจะขึ้นมาเล่นข้างบนได้มากขึ้น ทำให้เราเปิดเบาๆก็ได้เสียงที่ชัดขึ้น
- สายลำโพงบางเส้น filter เสียงแหลมออกได้ดี บางเส้น filter เสียงทุ้มออกได้ดี ขึ้นอยู่กับวัสดุ ปกติคนขายถ้ามีความรู้ก็พอจะแนะนำได้
- เล็งๆสายประมาณ 10-20% ของราคาชุดเครื่องเสียงก็ได้
- Coaxial ให้สัญญาณที่ดีกว่า optical (เผื่อมีคนยังไม่รู้)
- ปกติเวลาไปฟังที่ร้าน มักจะเอาสายเหยียบแสนมาลองลำโพงให้เราฟัง ถ้าอยากได้สมจริงก็บอกให้เค้าเพลาๆลงหน่อย อย่างน้อยซื้อไปที่บ้านจะได้ใกล้ความเป็นจริง
- อย่าลืมบวกราคาสายเข้าไปในงบด้วย เพราะสายไฟ และ สายลำโพง แพงสาดลากเลือด
ขาตั้ง
- เลือกเอาที่วางได้ประมาณหูเรา ต้องดูความสูงโซฟาประกอบด้วย
- ลำโพงไม่ควรวางติดกับขาตั้ง อาจจะซื้อพวกเจลติดมือถือกันลื่น หรือกาวหมากฝรั่งปั้นเป็นก้อนๆแยกลำโพงก็ได้ (ไม่งั้นพลังงานมันเสียไปกับขา)
ห้อง
- เครื่องเสียงหลักแสน มาเจอห้องคอนโดนี่คือพังๆๆๆ ต้องกันงบไว้แต่งห้องด้วย
- หลักๆคือแปะที่ซับเสียงให้ทั่ว อย่าลืมขอบกำแพงกับฝ้าด้วย
- ไม่ควรวางลำโพงชิดกำแพง (แต่ผมทำเพราะไม่มีที่จริงๆ T____T)
- ไม่ควรมีอะไรวางชิดลำโพงเลย
- ไม่ควรให้ห้อง
อื่นๆ
- ส่วนตัวศึกษามาแค่นี้เพราะเหนื่อยแล้ว -*- แต่ยังมี pre-amp , dac ที่ไม่ค่อยได้พูดถึงและส่วนตัวคือซื้อ integrated amp มาเรียบร้อยเพราะขี้เกียดมาดูรายละเอียดพวกนี้ และงบหมดเรียบร้อยแล้ว แต่ถ้างบเหลืออยากจะเพิ่ม streaming กับ dac เข้ามาในระบบเหมือนกัน
จะซื้อละนะ
- ราคาหน้าร้านกับในเวปบางทีต่างกันเกือบหมื่น เช็คราคาดีๆก่อน
- ลองดูของในตลาดมือสองก่อน บางทีลดได้เกือบครึ่ง ประกันยังเหลือ
- ซื้อร้านที่เค้าให้ความรู้และให้เกียรติเรามากที่สุด จะซื้อออนไลน์จากเค้าหรือจะไปซื้อหน้าร้านก็แล้วแต ถ้าซื้อออนไลน์ก็พิมพ์ไปชมเซลล์เค้าหน่อยก็ดี
สรุปบทเรียนมือใหม่ตามหาเครื่องเสียงไว้ฟังเพลง
- ปัญหาคือหนังยังมีให้ดูในโรง แต่เพลงมันไม่มีที่ให้ฟังเนี่ยสิ สุดท้ายก็เลย
- เข้าใจนะว่าทำไมคนทั่วไปถึงคิดว่าเครื่องเสียงเป็นเรื่องสิ้นเปลืองและเข้าถึงยาก จากประสบการณ์ที่ไปลองก็รู้ว่าร้านขายเครื่องเสียงพวกนี้ไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไร เลยอยากจะสรุปบทเรียนไว้เผื่อใครคิดจะไปตามหาเครื่องเสียงบ้าง
- มีใครจะเสริมหรือแนะนำอะไรเพิ่มเติมบอกไว้ข้างล่างได้เลย จะได้เป็นความรู้ผมด้วย ผมก็มือใหม่
อุปกรณ์
- ชุดเครื่องเสียงแบบครบชุดจริงๆจะประกอบไปด้วย กล่อง (เครื่อง) 4 กล่อง กับลำโพง 2 ข้าง (เป็นอย่างต่ำ) ได้แก่ Streamer (เอาไว้เล่น spotify) -> DAC (Digital to analog converter ไว้ convert สัญญาณจาก Streamer เป็น analog เข้า เครื่องขยายเสียง -> Pre-amplifier (ปุ่มปรับ volume เอ่อ ก็ปรับสัญญาณเสียงก่อนเข้าภาคขยาย) -> Amplifier (ตัวขยายเสียง) -> Speaker (ลำโพง)
- คำถามที่ทุกคนสงสัยคือ “ทำไมลำต้องแยกวะ ...” คือจริงๆจะรวมกันก็ได้ แต่พวกหูทองเค้าจะเล่นแยกกัน เพราะเหมือนคอมพ์ที่มี mainboard , cpu , ram ผลิตแยกกันคนละบริษัท ซื้อแยกมาประกอบเองมันถูกกว่า แต่บางครั้ง notebook ก็คล่องตัวกว่า เพราะงั้นต้องเข้าใจจุดประสงค์ของการซื้อว่าอยากได้อะไร บางคนก็ชอบซื้อแยกๆหวังจะอัพเกรดไปเรื่อยๆเป็นงานอดิเรก บางคนก็ชอบอะไรที่จูนมาเสร็จแล้ว
- เราคิดอยู่นานกว่าจะซื้อแยกดีมั้ย แต่พอลองเปิดกระเป๋าตัวเองแล้วก็ไม่ได้มีงบมากขนาดนั้น สุดท้ายเลยซื้อแค่แอมป์กับลำโพง ปัญหาที่สำคัญที่สุดของการซื้อแยกคือ “สาย” ที่คนปกติไม่ค่อยจะบวกราคาเข้าไปด้วย แต่พอลองคิดราคาแล้ว ... เอ่อ.. รวมไปเถอะ ...
วิธีหาข้อมูล
- ก่อนเดินเข้าร้านเครื่องเสียงควรทำการบ้านไปก่อน นั่นคือเปิดเวปต่างๆ อาจจะเป็น what-hifi ก็ได้แล้วดูว่า best-buy ของแต่ละปีคือรุ่นไหนยี่ห้ออะไร
- หาก่อนว่าอุปกรณ์นี้ขายที่ร้ายไหน เพราะร้านเครื่องเสียงในไทยแต่ละร้านนำเข้าเครื่องเสียงแค่คนละแบรนด์ แต่ละร้านไม่ชอบให้พูด product ของร้านอื่น ซึ่งควรเข้าไปดูในเวปไซต์เค้าก่อนว่าร้านเค้าขายอะไร เข้าไปถามผิดแบรนด์นี่เซลล์เสียงเปลี่ยนอีก แล้วก็ bias คิดว่า brand ของร้านนั้นๆดีสุดทั้งๆที่ ลำโพงบางตัวมันเหมาะกับแอมป์บางตัว ที่ เอ่อ.. ขายกันคนละเจ้า
- หาชื่อลำโพงใน YouTube ก็มีคนเปรียบไว้ให้ จะได้รู้ว่ารุ่นที่เราหานี้ มันควรจะเทียบชนกับอะไร แล้วเวลาไปลองฟังควรหาอะไร
- app ฟังเพลงที่กลุ่มหูทองฟังกันคือ tidal ถ้าเปิด Spotify ให้เซลล์เห็นจะทำหน้าแห้งๆ (เนื่องจาก tidal มีเพลง hi-res แต่ Spotify จะเป็น mp3 ธรรมดา ฟังไปก็ได้แค่แนวเสียง แต่ไม่ได้ใช้ประสิทธิภาพของแอมป์หรือลำโพงเท่าที่ควร) ควรเตรียมไปให้เรียบร้อย มันให้ลองใช้ฟรีได้เดือนนึง
เตรียมเพลงที่ชอบไว้สัก 2-3 เพลงไว้ฟังเทียบ เอาเป็นแบบ ใสๆกว้างๆ เช่น never enough , เสียงร้อง จะ jazz หรืออะไรก็ได้ , กับเบสหนักๆ ซักเพลง
เมื่อเดินเข้าร้าน
- พาเพื่อนหรือครอบครัวไปฟังด้วยเพราะหลายหูดีกว่าหูเดียว
- ขอร้านเข้าไปฟังในห้องฟังเพลง ถ้าร้านไม่เชิญเข้าก็ไม่ต้องซื้อของร้านนั้นส่วนตัวรู้สึกว่าเค้าไม่ให้เกียรติเรา ฟังข้างนอกเสียงเสียงมันจะตีกันเละเทะมาก ซื้อมาเสียงไม่เหมือนเดิมแน่ๆ
- ร้านมักถามว่ามีงบเท่าไร ก่อนคุยเรื่องงบควรจะบอกว่า พี่ชอบตัวไหนจัดมาลองก่อนอย่าเพิ่งคุยเรื่องงบ ฟังให้พอมีไอเดียก่อน
- ร้านชอบถามว่า จะสะดวกต่อด้วยอะไร บอกว่าขอ streaming ผ่าน wifi จะดูมีความรู้ ถ้าต่อผ่าน bluetooth ไฟล์เสียงที่ส่งได้สูงสุดจะขึ้นกับมือถือและตัวรับ ซึ่งปัจจุบันละเอียดสุดอยู่ที่ aptx HD ที่ความละเอียด 24bit/48kHz แต่ความละเอียดที่ app เล่นเพลงอย่าง tidal ทั่วไปจะอยู่ที่ 24bit/96kHz จนถึง 24Bit/192kHz ซึ่งก็จะโดนเหยียดอีก
หาอะไรเมื่อลองฟัง หาอะไร
ลำโพง
- แนวเสียงหลักๆจะมี เสียงสดชัด หรือ โปร่งเนียน หรือ อิ่มเนียนหวาน ต้องถามตัวเองว่าชอบอะไรก่อนไปฟัง แอมป์ลำโพงแต่ละตัวจะมี characteristic ไม่เหมือนกัน เช่นเสียงชัด มักไม่โปร่งใส (เหมือนภาพคมหลังจะไม่เบลอ / ภาพสีเหลืองอิ่มหวาน จะไม่ใสเหมือนหลอดไฟนีออน)
- ลองฟังง่ายสุดคือเสียงมันเหมือนเครื่องดนตรีมาเล่นตรงหน้าจริงๆหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่ความรู้สึกเราขาดอะไรไปที่ทำให้รู้สึกมันไม่เหมือนจริง เช่น เสียงแหลม เสียงทุ้ม ขึ้นสุด ลงสุดได้เท่าของจริงมั้ย, sound stage กว้างหรือแคบ, imaging หลับตาแล้วเห็นนักดนตรียืนเล่นชัดขนาดไหน, forward / laidback ฟังแล้วรู้สึก engage ขนาดไหน บางทีมันก็ชัดไปจนน่าลำคาญ, colorization คือลำโพงบางตัวจะมีเอกลักษณ์ เช่น หวานใส แหลมสว่าง เน้นทุ้มเป็นลูกๆ ขึ้นอยู่กับเอกลักษณ์ของแต่ละยี่ห้อ
- cross-over ของลำโพงแต่ละลูกจะมีจุดตัดเสียง ที่ tweeter (ตัวเล่นเสียงแหลม) กับ woofer (ตัวเล่นเสียงทุ้ม) ไม่เหมือนกัน จุดที่แบ่งว่าตัวไหนทำหน้าที่อะไรเรียกว่า crossover คิดถึงกราฟคลื่นเสียงเวลาเอามา integrate แล้วจะได้พื้นที่เสียงเป็นระนาบเดียวกัน แต่ถ้าแบ่งไม่ดี เสียงกลางจะหายไป (ลำโพงบางเจ้าถึงกับเพิ่มตัวเล่นเสียงกลางขึ้นมา เรียกว่า 3-way speaker แต่การทำแบบนี้จะทำให้เกิดจุดตัดในกราฟมากขึ้น และปัญหาคือ image ของเครื่องเล่นไม่ชัดว่าอยู่ตรงไหน จริงๆตอนฟังแค่หาว่า เสียงที่เราอยากฟังมันชัดขนาดไหนก็พอ
- ถ้าคอนโดซื้อ bookshelf เถอะ (ลำโพงตัวเล็กๆที่ไม่ต้องวางพื้น) นอกจากจะประหยัดที่วางแล้ว bookshelf ที่ราคาเท่ากับ tower มักจะเสียงดีกว่า
- เท่าที่ลองฟังลำโพงอย่าง B&W จะเน้นแหลมใสไว้ฟังเพลง, psb elac เน้นเบส ไว้ดูหนัง ตึ๊บๆตู้มๆ หรือคนชอบแนวเพลงเบสหนักๆ ถ้าอยากได้กลางๆ ลองดูพวก focal kef อะไรนี้ก็ดีงาม
แอมป์
- แอมปดูหนังกับแอมป์ฟังเพลงเสียงไม่เหมือนกัน ถ้าอยากได้เสียงละเอียดก็ทำใจว่ามันจะไม่ 7.1 chanel อะไรงี้ แต่แอมป์ดูหนังเอามาฟังเพลงได้มั้ย ... ก็ได้นะ ถ้าไม่เรื่องมาก และก็จะดีว่าต่อกับ TV แต่และ game console ได้ด้วย
- พักนี้แอมป์ดูหนังตัวดีๆมักขาดตลาด ด้วยวิกฤต microchip
- เวลาดู เสปค แอมป์คือ ดูค่า total harmonic distortion (THD) แอมป์ดูหนังจะมีค่า THD สูงกว่า หมายถึงว่าจะมีความเพี้ยนสูงกว่าแอมป์ฟังเพลงในราคาใกล้ๆกัน ยิ่งต่ำยิ่งดี
- ค่า signal to noise ratio จะบอกถึงว่ามีเสียงจี่ๆ หรือ noise ออกมาจากลำโพงมากหรือน้อยเท่าไร ยิ่งมากยิ่งดี จะบอกถึงความ สงัด เวลาฟัง และได้ความใสมากขึ้น
- ตามทฤษฏีแล้วแอมป์จะแบ่งเป็นคราส
A - เปิดวงจรภาคขยายไว้ตลอด เปลืองไฟ ร้อนไฟไหม้ แต่ถ้าอยากได้เสียงดีๆก็เอา
AB - 90% เป็นแบบนี้ คือเอา diode กับ transister ไปขั้นให้ไม่ต้องจ่ายไฟตลอด เสียงก็จะแล้วแต่จะเอาไปขั้นท่าไหน แต่ละแบรนด์เลยมีลูกเล่นต่างกันไป
D - เปลี่ยนทุกอย่างเป็น digital หมด แต่ก่อนเสียงจะไม่ค่อยดี คิดถึงกราฟ 0-1 มัน ซ้อนกันยังไงก็ไม่ได้คลื่น analog ที่เป็น sine wave แต่เดียวนี้เค้าหันไปทำแบบนี้กันหมดแล้ว และมันก็พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ จะเห็นว่าแอมป์คลาส D ตัวเล็กเวอร์ ราคาน้ำตาไหลทุกตัว
- จะคราสอะไรก็ช่าง ในฐานะคนฟังเวลาซื้อแอมป์ง่ายสุดคือนอกจากชอบโทนเสียงแล้ว ลองหรี่เสียงให้เบาถึงจุดที่ฟังเล่นๆแล้วห้องข้างๆไม่ด่าแล้วลองดูว่ารายละเอียดยังอยู่ไหม แอมป์บางตัวต้องเปิดดังๆถึงจะได้จุดที่ถูกใจ
- แอมป์ฟังเพลงสมัยๆนี้หลักๆจะมีสองประเภทคือ integrated amp (รวม dac pre-amp กับ amplifier ไว้ด้วยกันเลย) กับ all-in-one คือเป็น integrated amp รวมกับ streamer ไว้ด้วย
- หลักการฟังก็เหมือนลำโพงข้างบน แต่เน้นมองหา forward / laidback กับ colorization จะชัดกว่า เช่นบางตัวเน้นเนียนนุ่มไปเลย บางตัวเน้น engage คนฟัง
- ซื้อ watt เยอะไว้ก่อนไม่ผิดหวัง อย่าไปซื้อแอมป์ watt น้อยๆตั้งแต่แรก อีกหน่อยจะขยายไม่ได้
- แอมป์ watt มากไม่ได้แปลว่าจะต้องเปิดดังอย่างเดียว แต่เวลาเปิดเบาๆรายละเอียดจะอยู่ครบกว่าด้วย
- แอมป์ marantz ฟังก์ชั่นเยอะสุด ในราคาเท่ากัน ถ้าไม่รู้จะซื้ออะไรก็ซื้อตัวนี้เถอะวัยรุ่นชอบแน่นอน แต่ถ้าอยากเอาแนวเสียงนุ่มๆไปลอง cambridge ถ้าอยากได้แนวแตกๆ rockๆ ไปลอง audolab ถ้าอยากได้เสียงหวานๆ ฟังแล้วเคลิ้มๆ ลองพวกแอมป์หลอดต่างๆ
สาย
- สายเหมือนเป็น filter มากกว่า คือถ้าแอมป์ดี ลำโพงดีแล้ว สายเหมือนช่วยเสริม
- สายดีๆจะได้รายละเอียดชัดขึ้น เสียงเบาๆที่อยู่ background มันจะขึ้นมาเล่นข้างบนได้มากขึ้น ทำให้เราเปิดเบาๆก็ได้เสียงที่ชัดขึ้น
- สายลำโพงบางเส้น filter เสียงแหลมออกได้ดี บางเส้น filter เสียงทุ้มออกได้ดี ขึ้นอยู่กับวัสดุ ปกติคนขายถ้ามีความรู้ก็พอจะแนะนำได้
- เล็งๆสายประมาณ 10-20% ของราคาชุดเครื่องเสียงก็ได้
- Coaxial ให้สัญญาณที่ดีกว่า optical (เผื่อมีคนยังไม่รู้)
- ปกติเวลาไปฟังที่ร้าน มักจะเอาสายเหยียบแสนมาลองลำโพงให้เราฟัง ถ้าอยากได้สมจริงก็บอกให้เค้าเพลาๆลงหน่อย อย่างน้อยซื้อไปที่บ้านจะได้ใกล้ความเป็นจริง
- อย่าลืมบวกราคาสายเข้าไปในงบด้วย เพราะสายไฟ และ สายลำโพง แพงสาดลากเลือด
ขาตั้ง
- เลือกเอาที่วางได้ประมาณหูเรา ต้องดูความสูงโซฟาประกอบด้วย
- ลำโพงไม่ควรวางติดกับขาตั้ง อาจจะซื้อพวกเจลติดมือถือกันลื่น หรือกาวหมากฝรั่งปั้นเป็นก้อนๆแยกลำโพงก็ได้ (ไม่งั้นพลังงานมันเสียไปกับขา)
ห้อง
- เครื่องเสียงหลักแสน มาเจอห้องคอนโดนี่คือพังๆๆๆ ต้องกันงบไว้แต่งห้องด้วย
- หลักๆคือแปะที่ซับเสียงให้ทั่ว อย่าลืมขอบกำแพงกับฝ้าด้วย
- ไม่ควรวางลำโพงชิดกำแพง (แต่ผมทำเพราะไม่มีที่จริงๆ T____T)
- ไม่ควรมีอะไรวางชิดลำโพงเลย
- ไม่ควรให้ห้อง
อื่นๆ
- ส่วนตัวศึกษามาแค่นี้เพราะเหนื่อยแล้ว -*- แต่ยังมี pre-amp , dac ที่ไม่ค่อยได้พูดถึงและส่วนตัวคือซื้อ integrated amp มาเรียบร้อยเพราะขี้เกียดมาดูรายละเอียดพวกนี้ และงบหมดเรียบร้อยแล้ว แต่ถ้างบเหลืออยากจะเพิ่ม streaming กับ dac เข้ามาในระบบเหมือนกัน
จะซื้อละนะ
- ราคาหน้าร้านกับในเวปบางทีต่างกันเกือบหมื่น เช็คราคาดีๆก่อน
- ลองดูของในตลาดมือสองก่อน บางทีลดได้เกือบครึ่ง ประกันยังเหลือ
- ซื้อร้านที่เค้าให้ความรู้และให้เกียรติเรามากที่สุด จะซื้อออนไลน์จากเค้าหรือจะไปซื้อหน้าร้านก็แล้วแต ถ้าซื้อออนไลน์ก็พิมพ์ไปชมเซลล์เค้าหน่อยก็ดี