ถ้าเลือกได้ จะไม่เอาแฟนที่คบอยู่มาแต่งงานเลย ตอนคบวัยเรียนแค่เขาขยัน ซื่อสัตย์ ดุแลดี รักเราก็พอแล้ว แต่พอถึงช่วงวัยทำงาน กลับคิดแค่ว่า แค่คำว่ารักมันยังไม่พอหรอก เรารุ้จักกันได้ปีนี้เป็นปีที่7แล้ว แต่งกันมา3ปึแล้ว แต่งกันมาถือว่ากินสบายนอนหลับสบายไม่ลำบากอะไร เคยมีรถยนต์ใช้ได้ถึง8เดือนก็ขายต่อ ไม่กล้าฝันหรืออยากมีอะไร เพราะแฟนเราเป็นคนไม่ช่างฝัน ให้พอใจที่มี(ซึ่งไม่มีอะไรเลยนอกจากมอไซ) ไม่กล้าฝันอยากมีบ้านหรือรถอีกเลย เคยมีรถแล้วแต่ก็ขายเพราะคน ข้างๆเขาไม่ใจสู้กับค่าผ่อนรถตอนเจอวิกฤตโควิทเลยขาย เราใจสู้มาก หางานเสริมเพื่อให้รายได้ยิ่งเพิ่ม แต่เขาไม่หา ทำงานของเขาบริษัทให้งินเดือนเดือนละ4,500บาทเพราะเจอโควิทจากเดิมให้หมื่นสาม ไม่ได้หมิ่นเงินเดือนเขาเลย มีแต่ใจสู้เพื่อให้เราทั้ง2มีกิน จนตอนนี้ดีขึ้นนิดนึงรายได้แฟนขยับมาเพิ่มเป็น6พัน เราไม่มีภาระอะไร ลูกยังไม่มี ไม่มีอะไรต้องผ่อน บ้านไม่ต้องเช่า แต่เราเองที่อยากมีอนาคตที่ดีขึ้นบ้าง อยากมีบ้านมีรถ แพลนในสมองอยากมีอยากสร้างไปด้วยกัน อยากผ่อน หรือทำไงก้ได้ให้มี แต่แฟนเราไม่สู้เลย กลัวการผ่อน กลัวติดหนี้ แต่กลัวไปทำไม ในเมื่อเราก็มีมือ มีขาครบ แถมทำงานกัน2คน เราทำงานบริษัท เงินเดือน12k ตอนนี้เรามีเงินเดือนมากกว่าเขา ซึ่งตอนนี้ไม่ได้เหยียดเขาที่เงินน้อยกว่า แต่ล่าสุดคือ เราแพลนอยากมีรถใหม่ แต่เขาไม่เอา เขาบอกเก็ยเงินซื้อสดไปเลย ซึ่งเรามองว่าการเก็บเงินก้อนนึงจำนวน5-6แสน คือกี่ปีว่ะทำงานแบบนี้แล้วดุเขาเงินเดือนเท่านี้จะได้กี่ปีว่ะ แต่ดีที่เราอยู่3จังหวัดใต้ ค่าครองชีพไม่แพงืเดือนนึงเราก็ได้3พันบาท เราเหมือนทนไม่ไหวกับการไม่ตรงกันของเราแล้ว คิดว่าเป็นจุดอิ่มตัวไหมืน่าจะไม่ เพราะยังรักมากและดุแลกันดี แต่แค่ความคิดเราไม่ตรงกันแค่นั้นเอง ให้เราคิดใหม่เราไม่อยากแต่งงานกับคนที่มีทัศนคติแตกต่างแบบนี เพราะการใช้ขีวิตมันลำบากน่ะ
อดทนอีกแค่ไหน เมื่อเจอคนไม่ค่อยจะสร้างอนาคตด้วยกัน