7 วิธีเลือกปลั๊กไฟอย่างไรให้พอดีกับการใช้งาน
1. ตรวจเช็คเครื่องหมายรับรอง
วิธีเลือกซื้อปลั๊กไฟ ที่มีคุณภาพและตรงตามมาตรฐาน ในปัจจุบันจำเป็นต้องมีเครื่องหมายรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือ ที่ถูกเรียกว่า รางปลั๊กไฟมาตรฐาน มอก. ซึ่งเป็นข้อกำหนดของมาตรฐานชุดสายพ่วง มอก. 2432 – 2555 ที่ได้กำหนดให้สายไฟฟ้าที่ใช้ต้องเป็นไปตาม มอก.11-2553 ซึ่งเป็นมาตรฐานบังคับ ส่วนเต้าเสียบและเต้ารับต้องเป็นไปตาม มอก.166-2547 อย่าลืมสังเกต มอก. ก่อนการเลือกซื้อด้วยนะครับ
2. ความยาวของสายไฟพอเหมาะกับการใช้งาน
ยิ่งยาวยิ่งดี นั่นคือ คติประจำใจของ วิธีเลือกซื้อปลั๊กไฟ หรือเปล่าครับ? แต่ในความเป็นจริงแล้วควรเลือกใช้ปลั๊กไฟที่มีความยาวพอเหมาะหรือความยาวกำลังดีกับการใช้งาน หรือก่อนการไปเลือกซื้อ แนะนำให้วัดความยาวที่คิดว่ากำลังพอดีกับการใช้งาน เพราะ หากซื้อปลั๊กไฟที่มีความยาวของสายไฟมากเกินไป จนสายไฟกองรวมๆ กัน ขณะใช้งาน จะทำให้เกิดความยุ่งยากในการใช้งาน และทำให้บริเวณจุดวางตั้งปลั๊กไฟไม่สวยงาม หรือบางครั้งอาจเกิดอันตรายแก่เด็ก หรือผู้สูงวัยภายในบ้านที่เดินผ่านไปมาให้สะดุดล้มได้
3. เลือกเต้ารับและม่านนิรภัยให้ปลอดภัย
อีกหนึ่ง วิธีเลือกซื้อปลั๊กไฟ ที่ควรคำนึงถึงคือ การเลือกดูเต้ารับที่ดี โดยเลือกวัสดุคุณภาพที่ไม่ติดไฟ หรือคุณภาพสูง ทนความร้อนได้ ไม่ควรเลือกใช้ ปลั๊กไฟราคาถูก อีกทั้งยังควรพิจารณาในส่วนของม่านนิรภัย หรือม่านปลั๊กไฟ เพื่อช่วยป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับเด็ก ๆ ในบ้าน ที่อาจจะใช้นิ้วแหย่ หรือจิ้มลงที่ปลั๊กไฟได้ครับ
4. จำนวนเต้ารับ และสวิตซ์เปิด-ปิด
จำนวนเต้ารับมาก ไม่ได้หมายความว่าจะได้กำลังไฟที่มากขึ้นนะครับ เพราะหากเลือกซื้อปลั๊กไฟ 3 ช่อง ที่มีกำลังไฟ 2,300 วัตต์ กำลังไฟจะถูกเฉลี่ยในการใช้งานเมื่อมีการใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าหลายเครื่องในที่เดียว เช่น ปลั๊กไฟสามารถรองรับกำลังไฟ 2,300 วัตต์ ในขณะที่ใช้กับหม้อทอดไฟฟ้าที่ใช้กำลังไฟ 1,500 วัตต์และเครื่องปิ้งขนมปังที่ใช้กำลังไฟ 800 – 1,000 วัตต์ เมื่อลองคำนวณการใช้กำลังไฟฟ้าดูแล้ว อาจจะสูงกว่า 2,300 วัตต์ที่ปลั๊กไฟจะรองรับไว้ได้ครับ
และอีกหนึ่งสิ่งสำคัญในการ ใช้ปลั๊กไฟอย่างถูกวิธี คือ การเลือกสวิตซ์เปิด-ปิดปลั๊กไฟ แบบแยกหรือแบบรวม เพราะหากบ้านไหนที่ใช้ไฟไม่เยอะ หรือใช้งานบ่อย ๆ แนะนำให้เลือกสวิตซ์เปิด-ปิดแบบรวมจะเหมาะสมกว่า แต่หากใช้ในออฟฟิศหรือคอมพิวเตอร์ทำงาน แนะนำให้เลือกใช้สวิตซ์แบบแยก เพราะอุปกรณ์พ่วงบางอย่างไม่ได้ใช้งานเป็นประจำ การปิดสวิตซ์ในส่วนที่ไม่ได้ใช้งานจะช่วยเซฟค่าไฟได้ครับ
5. ระบบตัดไฟ หรือ เซอร์กิตเบรกเกอร์
อีกหนึ่งจุดสำคัญในการเลือกซื้อปลั๊กไฟที่ได้คุณภาพ ไม่ใช่ ปลั๊กไฟราคาถูก นั้น จำเป็นต้องสังเกต หรือเช็คก่อนว่าปลั๊กไฟตัวนั้น มีเซอร์กิตเบรกเกอร์ หรือระบบตัดไฟให้หรือไม่ เพราะหากมีการใช้กระแสไฟฟ้าที่สูงเกินกว่าสายไฟจะรับไหว อาจทำให้เกิดความร้อนสะสมและสร้างความเสียหายต่อสายไฟได้ รวมไปถึงอุปกรณ์ เครื่องใช้ไฟฟ้าที่กำลังใช้งานอยู่อาจเกิดความเสียหายทันที ซึ่งหากตัวปลั๊กไฟมีเซอร์กิตเบรกเกอร์จะช่วยลดความกังวลใจเรื่องไฟไหม้ ไฟลัดวงจรลงได้ เพราะตัวเซอร์กิตเบรกเกอร์จะทำหน้าที่ตัดกระแสไฟฟ้าออกจากระบบโดยอัตโนมัติ หรือฟิวส์จะขาดเพื่อตัดกระแสไฟครับ
6. การรับประกันสินค้า
ถึงแม้ปลั๊กไฟจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถใช้ได้ยาวนาน มีมอก. แต่หนึ่ง วิธีเลือกซื้อปลั๊กไฟ ที่ไม่ควรมองข้ามอีกหนึ่งเรื่อง คือ การรับประกันสินค้า เพราะหากวันหนึ่งปลั๊กเกิดใช้งานไม่ได้ ทุกบ้านสามารถแจ้ง เคลมสินค้าให้ทางบริษัทตรวจสอบถึงปัญหาที่เกิดขึ้นได้ทันที หรือสามารถเปลี่ยนหรือได้รับสินค้าตัวใหม่มาใช้งานทดแทนก็เป็นได้ ซึ่งในปัจจุบันระยะเวลาในการรับประกันปลั๊กไฟในแต่ละแบรนด์มีไม่เท่ากันนะครับ ระยะเวลาต่ำสุดจะอยู่ที่ 1 ปี หรือรับประกันสูงสุดถึง 10 ปี แล้วแต่รุ่น และแบรนด์ของปลั๊กไฟที่คุณเลือกใช้
7. ฟังก์ชันเสริมพิเศษกับช่อง USB
การพัฒนาสินค้าในกลุ่มของปลั๊กไฟ ในปัจจุบันมีการนำเอานวัตกรรมใหม่เข้ามาเพื่อเป็นฟีเจอร์เสริมเพื่ออำนวยความสะดวกสบายให้กับการใช้งานของทุกคนในครอบครัว และเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคนในยุคปัจจุบันเป็นอย่างมากครับ ที่เห็นได้ชัดเจนคือ มีการเพิ่มช่องชาร์จไฟ USB ที่สามารถเสียบชาร์จโทรศัพท์มือถือได้เลย โดยไม่ต้องหาหัวปลั๊กไฟมาเสียบให้ยุ่งยาก ส่วนใหญ่แล้วจะสามารถเสียบโทรศัพท์ใช้งานได้ประมาณ 2-4 เครื่องกำลังดีครับ
HomeGuru by HomePro
อุ่นใจทุกเรื่องบ้านไปกับโฮมโปร และติดตามเคล็ดลับดีๆ เพื่อบ้านได้ทาง
http://bit.ly/HomeGuru_Homepro
และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นปัญหาเรื่องบ้านกับ HomeGuru เพิ่มเติมได้ทาง
https://bit.ly/3dQm4XE
7 วิธีเลือกปลั๊กไฟอย่างไรให้พอดีกับการใช้งาน
1. ตรวจเช็คเครื่องหมายรับรอง
วิธีเลือกซื้อปลั๊กไฟ ที่มีคุณภาพและตรงตามมาตรฐาน ในปัจจุบันจำเป็นต้องมีเครื่องหมายรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือ ที่ถูกเรียกว่า รางปลั๊กไฟมาตรฐาน มอก. ซึ่งเป็นข้อกำหนดของมาตรฐานชุดสายพ่วง มอก. 2432 – 2555 ที่ได้กำหนดให้สายไฟฟ้าที่ใช้ต้องเป็นไปตาม มอก.11-2553 ซึ่งเป็นมาตรฐานบังคับ ส่วนเต้าเสียบและเต้ารับต้องเป็นไปตาม มอก.166-2547 อย่าลืมสังเกต มอก. ก่อนการเลือกซื้อด้วยนะครับ
2. ความยาวของสายไฟพอเหมาะกับการใช้งาน
ยิ่งยาวยิ่งดี นั่นคือ คติประจำใจของ วิธีเลือกซื้อปลั๊กไฟ หรือเปล่าครับ? แต่ในความเป็นจริงแล้วควรเลือกใช้ปลั๊กไฟที่มีความยาวพอเหมาะหรือความยาวกำลังดีกับการใช้งาน หรือก่อนการไปเลือกซื้อ แนะนำให้วัดความยาวที่คิดว่ากำลังพอดีกับการใช้งาน เพราะ หากซื้อปลั๊กไฟที่มีความยาวของสายไฟมากเกินไป จนสายไฟกองรวมๆ กัน ขณะใช้งาน จะทำให้เกิดความยุ่งยากในการใช้งาน และทำให้บริเวณจุดวางตั้งปลั๊กไฟไม่สวยงาม หรือบางครั้งอาจเกิดอันตรายแก่เด็ก หรือผู้สูงวัยภายในบ้านที่เดินผ่านไปมาให้สะดุดล้มได้
3. เลือกเต้ารับและม่านนิรภัยให้ปลอดภัย
อีกหนึ่ง วิธีเลือกซื้อปลั๊กไฟ ที่ควรคำนึงถึงคือ การเลือกดูเต้ารับที่ดี โดยเลือกวัสดุคุณภาพที่ไม่ติดไฟ หรือคุณภาพสูง ทนความร้อนได้ ไม่ควรเลือกใช้ ปลั๊กไฟราคาถูก อีกทั้งยังควรพิจารณาในส่วนของม่านนิรภัย หรือม่านปลั๊กไฟ เพื่อช่วยป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับเด็ก ๆ ในบ้าน ที่อาจจะใช้นิ้วแหย่ หรือจิ้มลงที่ปลั๊กไฟได้ครับ
4. จำนวนเต้ารับ และสวิตซ์เปิด-ปิด
จำนวนเต้ารับมาก ไม่ได้หมายความว่าจะได้กำลังไฟที่มากขึ้นนะครับ เพราะหากเลือกซื้อปลั๊กไฟ 3 ช่อง ที่มีกำลังไฟ 2,300 วัตต์ กำลังไฟจะถูกเฉลี่ยในการใช้งานเมื่อมีการใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าหลายเครื่องในที่เดียว เช่น ปลั๊กไฟสามารถรองรับกำลังไฟ 2,300 วัตต์ ในขณะที่ใช้กับหม้อทอดไฟฟ้าที่ใช้กำลังไฟ 1,500 วัตต์และเครื่องปิ้งขนมปังที่ใช้กำลังไฟ 800 – 1,000 วัตต์ เมื่อลองคำนวณการใช้กำลังไฟฟ้าดูแล้ว อาจจะสูงกว่า 2,300 วัตต์ที่ปลั๊กไฟจะรองรับไว้ได้ครับ
และอีกหนึ่งสิ่งสำคัญในการ ใช้ปลั๊กไฟอย่างถูกวิธี คือ การเลือกสวิตซ์เปิด-ปิดปลั๊กไฟ แบบแยกหรือแบบรวม เพราะหากบ้านไหนที่ใช้ไฟไม่เยอะ หรือใช้งานบ่อย ๆ แนะนำให้เลือกสวิตซ์เปิด-ปิดแบบรวมจะเหมาะสมกว่า แต่หากใช้ในออฟฟิศหรือคอมพิวเตอร์ทำงาน แนะนำให้เลือกใช้สวิตซ์แบบแยก เพราะอุปกรณ์พ่วงบางอย่างไม่ได้ใช้งานเป็นประจำ การปิดสวิตซ์ในส่วนที่ไม่ได้ใช้งานจะช่วยเซฟค่าไฟได้ครับ
5. ระบบตัดไฟ หรือ เซอร์กิตเบรกเกอร์
อีกหนึ่งจุดสำคัญในการเลือกซื้อปลั๊กไฟที่ได้คุณภาพ ไม่ใช่ ปลั๊กไฟราคาถูก นั้น จำเป็นต้องสังเกต หรือเช็คก่อนว่าปลั๊กไฟตัวนั้น มีเซอร์กิตเบรกเกอร์ หรือระบบตัดไฟให้หรือไม่ เพราะหากมีการใช้กระแสไฟฟ้าที่สูงเกินกว่าสายไฟจะรับไหว อาจทำให้เกิดความร้อนสะสมและสร้างความเสียหายต่อสายไฟได้ รวมไปถึงอุปกรณ์ เครื่องใช้ไฟฟ้าที่กำลังใช้งานอยู่อาจเกิดความเสียหายทันที ซึ่งหากตัวปลั๊กไฟมีเซอร์กิตเบรกเกอร์จะช่วยลดความกังวลใจเรื่องไฟไหม้ ไฟลัดวงจรลงได้ เพราะตัวเซอร์กิตเบรกเกอร์จะทำหน้าที่ตัดกระแสไฟฟ้าออกจากระบบโดยอัตโนมัติ หรือฟิวส์จะขาดเพื่อตัดกระแสไฟครับ
6. การรับประกันสินค้า
ถึงแม้ปลั๊กไฟจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถใช้ได้ยาวนาน มีมอก. แต่หนึ่ง วิธีเลือกซื้อปลั๊กไฟ ที่ไม่ควรมองข้ามอีกหนึ่งเรื่อง คือ การรับประกันสินค้า เพราะหากวันหนึ่งปลั๊กเกิดใช้งานไม่ได้ ทุกบ้านสามารถแจ้ง เคลมสินค้าให้ทางบริษัทตรวจสอบถึงปัญหาที่เกิดขึ้นได้ทันที หรือสามารถเปลี่ยนหรือได้รับสินค้าตัวใหม่มาใช้งานทดแทนก็เป็นได้ ซึ่งในปัจจุบันระยะเวลาในการรับประกันปลั๊กไฟในแต่ละแบรนด์มีไม่เท่ากันนะครับ ระยะเวลาต่ำสุดจะอยู่ที่ 1 ปี หรือรับประกันสูงสุดถึง 10 ปี แล้วแต่รุ่น และแบรนด์ของปลั๊กไฟที่คุณเลือกใช้
7. ฟังก์ชันเสริมพิเศษกับช่อง USB
การพัฒนาสินค้าในกลุ่มของปลั๊กไฟ ในปัจจุบันมีการนำเอานวัตกรรมใหม่เข้ามาเพื่อเป็นฟีเจอร์เสริมเพื่ออำนวยความสะดวกสบายให้กับการใช้งานของทุกคนในครอบครัว และเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคนในยุคปัจจุบันเป็นอย่างมากครับ ที่เห็นได้ชัดเจนคือ มีการเพิ่มช่องชาร์จไฟ USB ที่สามารถเสียบชาร์จโทรศัพท์มือถือได้เลย โดยไม่ต้องหาหัวปลั๊กไฟมาเสียบให้ยุ่งยาก ส่วนใหญ่แล้วจะสามารถเสียบโทรศัพท์ใช้งานได้ประมาณ 2-4 เครื่องกำลังดีครับ
HomeGuru by HomePro
อุ่นใจทุกเรื่องบ้านไปกับโฮมโปร และติดตามเคล็ดลับดีๆ เพื่อบ้านได้ทาง http://bit.ly/HomeGuru_Homepro
และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นปัญหาเรื่องบ้านกับ HomeGuru เพิ่มเติมได้ทาง https://bit.ly/3dQm4XE