นาทีนี้ความขยันของผู้ว่าชัชชาติ ทำให้ผู้ที่ชอบท่านอยู่แล้วก็ยิ่งทับทวีความชอบท่านยิ่งขึ้นไปอีก
ส่วนผู้ที่เดิมเฉยๆกับท่านตอนนี้ก็เริ่มกลับมาชอบท่าน ส่วนผู้ที่เดิมไม่ชอบท่าน ตอนนี้ก็เริ่มกลับมาเฉยๆ
คงจะมีส่วนน้อยที่ ยังคงความไม่ชอบท่านที่ยังหลงเหลืออยู่ ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดา
ใครจะไปทำให้คนทั้งหมดชอบได้ล่ะ
ที่เป็นเช่นนี้ ทั้งนี้เพราะท่านขยันในการทำงานทำงานทำงาน เพื่อประโยชน์ของมวลชน กทม.ในทุกมิติ
ตาม 216 นโยบายของท่าน อีกทั้งขยันในการแสดงความโอบอ้อมอารี มีน้ำใจต่อ เพื่อนร่วมงานลูกน้องบริวาร
และประชาชนทั่วไป
ในขณะที่สิบต.ตรีหญิง พรรคพวกเธอโชคดีแล้วที่เธอไม่ขยันเท่าผู้ว่า เพราะมันเป็นการขยันกันคงละทาง
มิฉะนั้นเธอแล้วพรรคพวกเธอจะยิ่งโดนหนักกว่านี้ เพราะยิ่งเธอขยัน ก็จะยิ่งสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจอึดอัดใจน้อยเนื้อต่ำใจใน
โชคชะตาของคนรายรอบเธอ ที่ต้องมาเจอคนอย่างเธอ อีกทั้งยังต้องคอยเดือดร้อนตอบปัญหาสังคมเมื่อเรื่องที่เธอทำ พาดพิงเข้ามา
เราลองย้อนเวลากลับไปทีละจังหวะได้เลยครับ จังหวะแรกเป็นจังหวะที่เธอลงมือทำร้ายร่างกายและจิตใจคนรับใช้
ซึ่งถ้าเธอขยันมากกว่านี้ อดีตทหารหญิงรับใช้ของเธอ ก็จะยิ่งถูกเธอทำร้ายร่างกายทารุณจิตใจข่มเหงรังแกมากยิ่งขึ้นกว่านี้
อาจถึงขั้นพิการ เสียชีวิต ซึ่งก็ยิ่งทำให้คนรับใช้ของเธอโดนหนักกว่านี้ และตัวเธอก็อาจต้องรับโทษทัณฑ์นานกว่านี้
แต่ถ้าเรื่องนี้เธอขี้เกียจ (หมายถึงขี้เกียจทำร้ายคนอื่น ชีวิตเธออาจไม่ต้องมาถึงทางตันแบบนี้)
ย้อนไปก่อนหน้านั้น เป็นจังหวะที่เธอได้รับการแต่งตั้งเป็นทั้งที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ ทั้งสนช. และวุฒิสภา และได้เป็นนักวิชาการ
ซึ่งนักวิชาการนี่จะได้เงินเดือนเดือนละ 6 พันบาทด้วย สะสมมาตั้งแต่ปี 62 จนถึงตอนนี้ ได้ไปแล้ว 2 แสนกว่าบาท
(ยังไม่ได้นับเงินเดือนตำรวจที่ได้ต่างหาก) ได้ไปทำงานภาคใต้ แต่ไม่ได้ไปจริง ซึ่งก็จะได้เบี้ยเลี้ยงเสี่ยงภัยเพิ่มอีกด้วย
ถ้าเธอขยันรับตำแหน่งพิเศษต่างๆ มากกว่านี้ คิดว่า คนรายรอบเธอ ย่อมเดือดร้อนทุกข์ใจกว่านี้ ทั้งคนที่ทำงานรอบข้าง
ที่ย่อมยิ่งอึดอัดว่าทำไมโลกไม่ยุติธรรม เพราะเธอแทบไม่เข้าประชุม แต่กลับได้รับตำแหน่งกินแรงคนอื่น และต่อมาเมื่อถูกจับได้
หากเธอมีตำแหน่งมากกว่านี้ พวกพรรคพวกที่สนับสนุนอนุมัติให้เธอเข้าเป็นที่ปรึกษา เป็นนักวิชาการในตำแหน่งต่างๆ ก็ย่อมเดือดร้อน
ตอบคำถามสังคมที่ตอนนี้ มีถามไปแล้วทุกๆ สื่อ และในโลกโซเชียล หนักยิ่งกว่านี้
ย้อนไปก่อนหน้านั้น เป็นจังหวะที่เธอมีข่าวว่า จ่ายทีก็จบ คือ จ่ายเงินซื้อปริญญา ถ้าเธอขยันกว่านี้ คือ คิดซื้อปริญญาโท ปริญญาเอก
ไปเลย หรือซื้อหลายๆ ปริญญาไปเลย นี่ย่อมทำให้มหาวิทยาลัยที่เธอเรียน ต้องเดือดร้อนตอบคำถามสังคมหนักยิ่งกว่านี้ ตอนนี้
แม้จะชี้แจงแล้ว แต่ก็มีแต่คำถามคาใจว่า เรียนยังไง เรียนช่วงไหน เรียนออนไลน์โดยยังไม่มีโควิดได้ไง เป็นต้น
ย้อนไปก่อนหน้านั้น เป็นจังหวะที่เธอเข้ามียศตำรวจ สิบตรี ถ้าเธอขยันกว่านี้ ต้องการขอมียศเป็น ร้อยเอก เลย
(ทั้งนี้เพราะมีข่าวตอนช่วงเธอไปอบรม เธอบอกเพื่อนร่วมรุ่นไปว่า เธอมียศร้อยเอก หรือผู้กอง) นั่นย่อมจะต้องทำให้ผู้ที่ให้ยศเธอ
ต้องเดือนร้อนตอบคำถามสังคม หนักยิ่งกว่านี้
ดีแล้วครับ ที่เธอไม่ขยันเท่าผู้ว่าคนใหม่ของเรา พรรคพวกเธอจะได้ไม่เดือนร้อนมากไปกว่านี้
ปล. มีผู้หวังดี บอกให้ผมเบาๆ เรื่องนี้ งั้นวันนี้ ผมก็โพสเบาๆ แค่นี้ก็แล้วกัน
พรรคพวกสิบต.ตรีหญิง และตัวเธอเองโชคดี ที่เธอไม่ขยันเท่าผู้ว่าฯ
ส่วนผู้ที่เดิมเฉยๆกับท่านตอนนี้ก็เริ่มกลับมาชอบท่าน ส่วนผู้ที่เดิมไม่ชอบท่าน ตอนนี้ก็เริ่มกลับมาเฉยๆ
คงจะมีส่วนน้อยที่ ยังคงความไม่ชอบท่านที่ยังหลงเหลืออยู่ ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดา
ใครจะไปทำให้คนทั้งหมดชอบได้ล่ะ
ที่เป็นเช่นนี้ ทั้งนี้เพราะท่านขยันในการทำงานทำงานทำงาน เพื่อประโยชน์ของมวลชน กทม.ในทุกมิติ
ตาม 216 นโยบายของท่าน อีกทั้งขยันในการแสดงความโอบอ้อมอารี มีน้ำใจต่อ เพื่อนร่วมงานลูกน้องบริวาร
และประชาชนทั่วไป
ในขณะที่สิบต.ตรีหญิง พรรคพวกเธอโชคดีแล้วที่เธอไม่ขยันเท่าผู้ว่า เพราะมันเป็นการขยันกันคงละทาง
มิฉะนั้นเธอแล้วพรรคพวกเธอจะยิ่งโดนหนักกว่านี้ เพราะยิ่งเธอขยัน ก็จะยิ่งสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจอึดอัดใจน้อยเนื้อต่ำใจใน
โชคชะตาของคนรายรอบเธอ ที่ต้องมาเจอคนอย่างเธอ อีกทั้งยังต้องคอยเดือดร้อนตอบปัญหาสังคมเมื่อเรื่องที่เธอทำ พาดพิงเข้ามา
เราลองย้อนเวลากลับไปทีละจังหวะได้เลยครับ จังหวะแรกเป็นจังหวะที่เธอลงมือทำร้ายร่างกายและจิตใจคนรับใช้
ซึ่งถ้าเธอขยันมากกว่านี้ อดีตทหารหญิงรับใช้ของเธอ ก็จะยิ่งถูกเธอทำร้ายร่างกายทารุณจิตใจข่มเหงรังแกมากยิ่งขึ้นกว่านี้
อาจถึงขั้นพิการ เสียชีวิต ซึ่งก็ยิ่งทำให้คนรับใช้ของเธอโดนหนักกว่านี้ และตัวเธอก็อาจต้องรับโทษทัณฑ์นานกว่านี้
แต่ถ้าเรื่องนี้เธอขี้เกียจ (หมายถึงขี้เกียจทำร้ายคนอื่น ชีวิตเธออาจไม่ต้องมาถึงทางตันแบบนี้)
ย้อนไปก่อนหน้านั้น เป็นจังหวะที่เธอได้รับการแต่งตั้งเป็นทั้งที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ ทั้งสนช. และวุฒิสภา และได้เป็นนักวิชาการ
ซึ่งนักวิชาการนี่จะได้เงินเดือนเดือนละ 6 พันบาทด้วย สะสมมาตั้งแต่ปี 62 จนถึงตอนนี้ ได้ไปแล้ว 2 แสนกว่าบาท
(ยังไม่ได้นับเงินเดือนตำรวจที่ได้ต่างหาก) ได้ไปทำงานภาคใต้ แต่ไม่ได้ไปจริง ซึ่งก็จะได้เบี้ยเลี้ยงเสี่ยงภัยเพิ่มอีกด้วย
ถ้าเธอขยันรับตำแหน่งพิเศษต่างๆ มากกว่านี้ คิดว่า คนรายรอบเธอ ย่อมเดือดร้อนทุกข์ใจกว่านี้ ทั้งคนที่ทำงานรอบข้าง
ที่ย่อมยิ่งอึดอัดว่าทำไมโลกไม่ยุติธรรม เพราะเธอแทบไม่เข้าประชุม แต่กลับได้รับตำแหน่งกินแรงคนอื่น และต่อมาเมื่อถูกจับได้
หากเธอมีตำแหน่งมากกว่านี้ พวกพรรคพวกที่สนับสนุนอนุมัติให้เธอเข้าเป็นที่ปรึกษา เป็นนักวิชาการในตำแหน่งต่างๆ ก็ย่อมเดือดร้อน
ตอบคำถามสังคมที่ตอนนี้ มีถามไปแล้วทุกๆ สื่อ และในโลกโซเชียล หนักยิ่งกว่านี้
ย้อนไปก่อนหน้านั้น เป็นจังหวะที่เธอมีข่าวว่า จ่ายทีก็จบ คือ จ่ายเงินซื้อปริญญา ถ้าเธอขยันกว่านี้ คือ คิดซื้อปริญญาโท ปริญญาเอก
ไปเลย หรือซื้อหลายๆ ปริญญาไปเลย นี่ย่อมทำให้มหาวิทยาลัยที่เธอเรียน ต้องเดือดร้อนตอบคำถามสังคมหนักยิ่งกว่านี้ ตอนนี้
แม้จะชี้แจงแล้ว แต่ก็มีแต่คำถามคาใจว่า เรียนยังไง เรียนช่วงไหน เรียนออนไลน์โดยยังไม่มีโควิดได้ไง เป็นต้น
ย้อนไปก่อนหน้านั้น เป็นจังหวะที่เธอเข้ามียศตำรวจ สิบตรี ถ้าเธอขยันกว่านี้ ต้องการขอมียศเป็น ร้อยเอก เลย
(ทั้งนี้เพราะมีข่าวตอนช่วงเธอไปอบรม เธอบอกเพื่อนร่วมรุ่นไปว่า เธอมียศร้อยเอก หรือผู้กอง) นั่นย่อมจะต้องทำให้ผู้ที่ให้ยศเธอ
ต้องเดือนร้อนตอบคำถามสังคม หนักยิ่งกว่านี้
ดีแล้วครับ ที่เธอไม่ขยันเท่าผู้ว่าคนใหม่ของเรา พรรคพวกเธอจะได้ไม่เดือนร้อนมากไปกว่านี้
ปล. มีผู้หวังดี บอกให้ผมเบาๆ เรื่องนี้ งั้นวันนี้ ผมก็โพสเบาๆ แค่นี้ก็แล้วกัน