สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 4
โจผีมีความสามารถด้านบุ๋นเป็นกวีชำนาญอักษรศาสตร์ ด้านบู๊ชำนาญกระบี่ขี่ม้ายิงธนู แต่มีข้อเสียคือนิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้น ดื้อรั้นเอาแต่ใจไม่ค่อยฟังคำทัดทานคน เมื่อเป็นใหญ่แล้วก็หาเหตุกำจัดคนที่เคยผิดใจกันมาก่อนหลายคน จนมีบันทึกว่าหลายคนมองว่าโจผีปฏิบัติต่อคนเหล่านี้อย่างไม่เป็นธรรม และการที่โจผีจำกัดอำนาจราชวงศ์สายตรงมากเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สกุลโจไม่มีความเข้มแข็งพอจะทานอำนาจสกุลสุมาช่วงหลังได้
แต่ตามประวัติศาสตร์ โจผีไว้ใจสุมาอี้มากและนับสุมาอี้เป็นหนึ่งในสี่สหายสนิท ร่วมกับตันกุ๋น ง่อสิด จูซั่ว และดูจะไม่ได้ระแวงสุมาอี้เลย มีบันทึกว่าโจโฉเคยเตือนโจผีว่าสุมาอี้ไม่ใช่คนที่จะเป็นข้ารับใช้และจะเข้ามายุ่งกับเรื่องในครอบครัว แต่เนื่องจากโจผีสนิทสนมกับสุมาอี้ จึงพูดปกป้องสุมาอี้เสมอ
เดิมในสมัยโจโฉสุมาอี้ตำแหน่งไม่ได้สูงเท่าไหร่ พอโจผีขึ้นเป็นวุยอ๋องควบตำแหน่งเฉิงเซี่ยง (อัครมหาเสนาบดี) จึงเลื่อนตำแหน่งสุมาอี้เป็นจ๋างสื่อ (長史) หรือหัวหน้าขุนนางในทำเนียบสังกัดเฉิงเซี่ยงทั้งหมด
พอโจผีขึ้นเป็นฮ่องเต้ให้ย้ายสุมาอี้ไปรับผิดชอบราชการในซ่างซูไถ (尚書臺 สำนักราชเลขาธิการ) ที่เป็นหน่วยงานฝ่ายบริหารร่วมกับตันกุ๋น โดยสุมาอี้ได้รับตำแหน่งซ่างซู (尚書) หนึ่งในหัวหน้าแผนกของซ่างซูไถ แล้วย้ายไปเป็นผู้ตรวจการทัพ (督軍) ควบตำแหน่งอวี้สื่อจงเฉิง (御史中丞) รองอาลักษณ์ฝ่ายพระราชวังซึ่งเป็นผู้ตรวจการราชสำนัก แล้วย้ายกลับมาซ่างซูไถให้มีตำแหน่งเป็นซ่างซูโย่วผูเช่อ (尚書右僕射) คือรองราชเลขาธิการฝ่ายขวา ควบตำแหน่งซื่อจง (侍中) ขุนนางใกล้ชิดจักรพรรดิ ทำงานกับตันกุ๋นที่ป็นซ่างซูลิ่ง (尚書令) คือสมุหราชเลขาธิการผู้บัญชาการซ่างซูไถ ควบตำแหน่งซื่อจงเช่นเดียวกัน
ในสมัยฮั่นตะวันออกและสามก๊ก อำนาจบริหารราชการแผ่นดินอยู่ที่ซ่างซูไถ ขุนนางที่ได้กุมอำนาจเหนือซ่างซูไถจึงไม่ต่างจากอัครมหาเสนาบดี การที่โจผีตั้งตันกุ๋นเป็นราชเลขาธิการและสุมาอี้เป็นรอง คุมอำนาจฝ่ายบริหาร สะท้อนให้เห็นว่าโจผีไว้ใจสองคนนี้มากครับ
ในช่วงที่โจผียกทัพบุกง่อก๊ก โจผียังเพิ่มตำแหน่งทางทหารระดับสูงให้ทั้งสอง โดยให้ตันกุ๋นเป็นมหาขุนพลพิทักษ์ทัพ (鎮軍大將軍) ติดตามไปทำศึก ให้สุมาอี้เป็นมหาขุนพลประโลมทัพ (撫軍大將軍) บัญชาการทหาร 5,000 นายรักษาเมืองสวี่ชาง (ฮูโต๋) พร้อมเพิ่มตำแหน่ง จี่ซื่อจง (給事中) ที่ปรึกษาราชสำนัก รวมทั้งให้มีอำนาจว่าราชการซ่างซู (錄尚書事) คือให้สุมาอี้คุมอำนาจบริหารเหนือซ่างซูไถทั้งหมดในช่วงนั้น สุมาอี้ขอปฏิเสธไม่รับตำแหน่ง แต่โจผีไม่ยอมและกล่าวว่าต้องการให้สุมาอี้ช่วยแบ่งเบาภาระ
เมื่อก่อนโจผีจะตาย ยังสั่งเสียให้สุมาอี้ ร่วมกับ โจจิ๋น ตันกุ๋น (บางแห่งระบุว่ามีโจฮิวและคนอื่นด้วย) ช่วยอุปถัมภ์ค้ำชูโจยอย และยังสั่งโจยอยด้วยว่า ถ้ามีคนทำให้โจยอยแปลกแยกทั้งสาม จงระวังอย่าได้ระแวงพวกเขา
ส่วนตัวผมคิดว่าถ้าโจผีอายุยืนยาว สุมาอี้น่าจะมีสถานภาพมั่นคงพอสมควรเพราะได้รับความไว้วางใจจากโจผีมาก อาจจะไม่ได้มีแรงจูงใจให้ต้องก่อการยึดอำนาจ แต่หน้าที่การงานของสุมาอี้น่าจะอยู่ในสายงานบริหารเป็นหลัก มากกว่าจะไปเป็นสายทหารอย่างที่จะเกิดขึ้นในสมัยโจยอย
สุมาอี้เพิ่งถูกย้ายไปมีตำแหน่งสายทหารเต็มตัวเมื่อโจยอยครองราชย์ โดยได้เลื่อนเป็น เพี่ยวจี้ต้าเจียงจวิน (驃騎大將軍) มหาขุนพลทหารม้าทะยาน มีตำแหน่งเป็นตูตูผู้บัญชาการทหารมณฑลจิงโจว (เกงจิ๋ว) และอวี้โจว (อิจิ๋ว) ประจำการที่เมืองหว่าน (อ้วนเสีย) ดูแลทางใต้ของวุยก๊ก ตำแหน่งทางทหารของสุมาอี้เวลานั้นเป็นรองแค่โจฮิวกับโจจิ๋น
จดหมายเหตุสามก๊กบันทึกว่า ในช่วงแรกโจยอยทำตามคำสั่งเสียของโจผีให้เสนาบดีผู้ใหญ่ช่วยราชการ แต่ต่อมาก็ส่งออกไปรับตำแหน่งอื่น เพราะต้องการบริหารราชการเอง การที่สุมาอี้ถูกย้ายออกจากเมืองหลวงไปเป็นผู้บัญชาการทหารมณฑลก็คงเป็นด้วยเหตุนี้ครับ
พิจารณาร่วมกับคนอื่นก็ใกล้เคียงกัน โจฮิวได้เลื่อนยศเป็นต้าซือหม่า (大司馬) จอมพลสูงสุด แต่ยังมีตำแหน่งเดิมในสมัยโจผีคือเป็นผู้ว่าราชการและผู้บัญชาการทหารมณฑลหยางโจว คอยรับศึกง่อก๊กทางตะวันออก
โจจิ๋นได้เป็นต้าเจียงจวิน (大將軍) ตำแหน่งมหาขุนพลรองลงมาจากโจฮิว แต่มีอำนาจบัญชาการทหารทั้งในและนอกตั้งแต่สมัยโจผี ในช่วงที่ขงเบ้งบุกจึงได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการกวนโย่วประจำการรับศึกจ๊กก๊กทางตะวันตกที่ฉางอันเป็นหลัก แล้วได้เลื่อนเป็นต้าซือหม่าหลังจากโจฮิวตาย สุมาอี้ได้เลื่อนเป็นต้าเจียงจวินแทน พอโจจิ๋นตาย สุมาอี้จึงถูกย้ายขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการทหารมณฑลยงโจวและเหลียงโจวเพื่อรับศึกขงเบ้งแทน
มีแต่ตันกุ๋นที่ยังคงดูแลฝ่ายบริหารในราชธานี ได้เลื่อนขึ้นเป็นซือคง ตำแหน่งซานกง (สามมหาเสนาบดี) โดยให้มีอำนาจว่าราชการซ่างซูตามเดิม
แต่การย้ายสุมาอี้มาคุมอำนาจทหารแบบเต็มตัวก็เปิดโอกาสให้สุมาอี้ได้สร้างความดีความชอบและอิทธิพลมากขึ้น จนกระทั่งหลังโจจิ๋นตาย สุมาอี้ที่เป็นมหาขุนพล และควบตำแหน่งต้าตูตู (大都督) ผู้บัญชาการทหารใหญ่ จึงกลายเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดของวุยก๊กในทางปฏิบัติ
หลังจากขงเบ้งตายแล้ว โจยอยเลื่อนสุมาอี้เป็นไท่เว่ย (太尉) หรือสมุหพระกลาโหมตำแหน่งสูงสุดของซานกง ตามหลักเกณฑ์ยุคนั้นต้าเจียงจวินมีศักดิ์สูงกว่าซานกง แต่ในสมัยที่สุมาอี้เป็นไท่เว่ย ราชสำนักยกให้ไท่เว่ยมีศักดิ์สูงกว่าต้าเจียงจวินเป็นกรณีพิเศษ แล้วปล่อยต้าเจียงจวินว่างไว้
ซานกงสมัยฮั่นตะวันออกและสามก๊กมักเป็นเพียงตำแหน่งกิตติมศักดิ์ ทำนองที่ปรึกษาราชการผู้ใหญ่ดูแลราชการฝ่ายทหาร แต่ไม่ได้มีอำนาจบัญชาการทหารโดยตรงเหมือนกับต้าซือหม่าและต้าเจียงจวิน อาจเป็นเพราะโจยอยไม่ได้ไว้วางใจให้สุมาอี้ที่เป็นคนนอกตระกูลดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด เพราะก่อนหน้านั้นคนที่ได้ตำแหน่งต้าซือหม่าและต้าเจียงจวินล้วนเป็นคนในสกุลโจหรือแฮหัวทั้งหมด คือ แฮหัวตุ้น โจหยิน โจฮิว โจจิ๋น แต่เนื่องจากวุยก๊กต้องรับศึกขงเบ้งหลายปีและหาแม่ทัพคนอื่นที่มีความสามารถไม่ได้ จึงต้องให้สุมาอี้คุมอำนาจทหารสูงสุดเพื่อรับศึก พอขงเบ้งตายแล้วจึงย้ายไปเป็นไท่เว่ยแทน
อย่างที่กล่าวคือ ต้าเจียงจวินสูงกว่าซานกง หากให้สุมาอี้ไปเป็นไท่เว่ยเท่ากับลดตำแหน่งลงมา สันนิษฐานว่าด้วยเหตุนี้โจยอยเลยยกสถานะให้ไท่เว่ยของสุมาอี้ให้สูงกว่าต้าเจียงจวินเป็นกรณีพิเศษ และยังปูนบำเหน็จเพิ่มศักดินาให้ด้วย ทำให้เหมือนว่าเป็นการเลื่อนตำแหน่งแทน เพราะสุมาอี้มีแต่ความชอบไม่มีความผิดจะถอดยศโดยไม่มีเหตุคงไม่ได้ ส่วนตัวผมคิดว่าสุมาอี้น่าจะตระหนักในจุดนี้ดี และน่าจะต้องยอมรับเอาไว้
แม้สุมาอี้แม้จะถูกเพิกถอนตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด แต่เข้าใจว่ายังคุมอำนาจทหารส่วนกลางอยู่ด้วย เพราะมีบันทึกว่าในสมัยวุยก๊ก ไท่เว่ยและต้าเจียงจวินบัญชาการทหารส่วนกลาง และสุมาอี้ยังคงอำนาจเป็นผู้บัญชาการทหารยงโจว-เหลียงโจวอยู่ตามเดิม เพราะหลังจากเสร็จศึกกับขงเบ้ง สุมาอี้ยังบัญชาการทหารประจำการอยู่ที่เมืองฉางอันศูนย์กลางของมณฑลยงโจวมาอีกหลายปี เข้าใจว่าเพื่อเฝ้าระวังจ๊กก๊กทางตะวันตก เนื่องจากยงโจวและเหลียงโจวเป็นพรมแดนติดต่อกับจ๊กก๊ก ซึ่งขงเบ้งพยายามรุกรานเข้ามาอยู่เสมอ
ส่วนโจยอยคงจะประเมินว่าจ๊กก๊กไม่น่ายกมารุกรานอีกหลังจากขงเบ้งตายแล้ว เลยหันไปสนใจแต่การบูรณะซ่อมสร้างพระราชวังเป็นโครงการใหญ่โตอลังการ สิ้นเปลืองงบประมาณและสร้างความเดือดร้อนให้กับขุนนางและราษฎรที่ถูกเกณฑ์แรงงานมาก ในช่วงปลายรัชกาลก็หันไปขยายอำนาจพิชิตเหลียวตงของตระกูลกงซุนมากกว่า จึงเรียกสุมาอี้จากฉางอันให้เป็นแม่ทัพยกไปตีเหลียวตง ไม่ได้สนใจทำศึกตีจ๊กก๊ก ยังเห็นได้ว่าโจยอยยังคงไว้ใจให้สุมาอี้บัญชาการทหารเป็นแม่ทัพอยู่ และยังแต่งตั้งสุมาอี้เป็นผู้สำเร็จราชการร่วมกับโจซองด้วย
นโยบายสร้างปราสาทราชวังของโจยอยก็ส่งผลกระทบต่อขุนนางกับราษฎรมากพอสมควร และปรากฏว่าสุมาอี้เป็นคนผลักดันให้เลิกนโยบายนี้ในสมัยโจฮองด้วย จึงตอบได้ยากเหมือนกันว่าถ้าโจยอยครองราชย์นานมากขึ้นจะมีนโยบายที่ส่งผลกระทบต่อสุมาอี้หรือไม่
แต่ทั้งนี้ตามประวัติศาสตร์บันทึกว่าโจยอยเป็นคนที่ลึกซึ้ง ตัดสินใจดี ปรีชา ปฏิบัติต่อเสนาบดีผู้ใหญ่ด้วยความเคารพมาก มีความอดทนอดกลั้นต่อคำวิพากษ์วิจารณ์สูง แม้จะมีผู้ทัดทานคัดค้านอย่างแรงก็ไม่เคยประหารหรือลงโทษ สุมาอี้เองภายนอกก็ปฏิบัติตัวด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตนรับราชการตามหน้าที่ไม่แสดงออกถึงความทะเยอทะยาน โจยอยคงจะไม่มีเหตุให้ถอดถอนสุมาอี้ได้ถ้าไม่มีความผิด
สถานะของสุมาอี้ในสมัยโจยอยโดยรวมก็นับว่ามั่นคงและใหญ่โตตามความชอบ (ตามประวัติศาสตร์สุมาอี้ไม่เคยถูกโจยอยสั่งปลดเพราะแผนของขงเบ้งอย่างในวรรณกรรม) ถ้าโจยอยไม่ได้ทำอะไรที่กระทบต่อสถานะของสุมาอี้ ผมคิดว่าสุมาอี้คงไม่มีเหตุผลที่จะต้องลุกขึ้นมายึดอำนาจโจยอย และถ้าโจยอยอายุยืนยาวมากขึ้นสักสิบกว่าปี สุมาอี้ก็คงจะตายไปก่อน การที่โจยอยตายไปเร็วโดยทายาทยังเล็ก ทำให้สุมาอี้ได้ขึ้นมาเป็นผู้สำเร็จราชการร่วมกับโจซอง ทำให้มีอำนาจอิทธิพลสูงขึ้นตามไปด้วยในช่วงแรก แม้ว่าช่วงหลังจะต้องถูกฝ่ายโจซองบีบให้ปลีกตัวออกจากการเมืองไปก็ตาม
ส่วนตัวผมมองว่าสาเหตุที่ทำให้สุมาอี้ลุกขึ้นมายึดอำนาจเป็นด้วยเรื่องความขัดแย้งกับโจซองเป็นสำคัญมากกว่าเพราะสุมาอี้มีความทะเยอทะยานอยากครองอำนาจตั้งแต่แรก การรวบอำนาจทางการเมืองของโจซองกับพรรคพวกสร้างความขัดแย้งภายในราชสำนักวุยก๊กมาก บวกกับมีเรื่องพฤติกรรมที่ไม่ค่อยดีอีกหลายเรื่อง ทำให้ขุนนางผู้ใหญ่ของวุยก๊กหลายคนให้การสนับสนุนสุมาอี้ยึดอำนาจโจซองด้วย สุมาอี้จึงได้โอกาสถอนรากถอนโคนฝ่ายโจซองจนแทบไม่เหลือและขึ้นมากุมอำนาจนำในวุยก๊กได้สำเร็จ
ส่วนเรื่องโจซองจัดแจงยกสุมาอี้ขึ้นเป็นไท่ฟู่ (มหาราชครู) ผมเห็นว่าตัวตำแหน่งไม่ได้เป็นประเด็นขนาดนั้นครับ
เป็นธรรมเนียมตั้งแต่สมัยฮั่นที่จะตั้งเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่เป็นไท่ฟู่เมื่อเริ่มรัชกาลใหม่เพื่อเป็นที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน โดยมักเลือกจากผู้เป็นซานกงขึ้นมา ตำแหน่งซานกงทั้งสามนั้นมักเลื่อนชั้นขึ้นไปตามลำดับอยู่แล้ว และบ่อยครั้งที่ไท่เว่ยซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุดของซานกงจะได้เลื่อนเป็นไท่ฟู่ในรัชกาลใหม่ มีตัวอย่างคือเมื่อโจยอยครองราชย์ จงฮิวที่เป็นไท่เว่ยได้เลื่อนเป็นไท่ฟู่ ฮัวหิมที่เป็นซือถูได้เลื่อนเป็นไท่เว่ย อองลองที่เป็นซือคงได้เป็นซือถู แล้วเลื่อนตันกุ๋นที่เป็นซ่างซูลิ่งมาเป็นซือคง
สุมาอี้ที่เป็นไท่เว่ยเรียกได้ว่าสูงสุดของวุยก๊กแล้วในตอนนั้น การได้เลื่อนขึ้นไปเป็นไท่ฟู่ก็นับว่าเหมาะสมตามธรรมเนียมลำดับศักดิ์และความอาวุโสครับ
ประเด็นอยู่ที่อำนาจของไท่ฟู่ที่จะได้รับมากกว่า เพราะส่วนใหญ่แล้วไท่ฟู่ในสมัยฮั่นจะได้รับอำนาจว่าราชการซ่างซู (錄尚書事) มาด้วย ทำให้ไท่ฟู่สามารถควบคุมอำนาจบริหารราชการแผ่นดินไว้ได้ จึงมีการเปรียบว่าไท่ฟู่มีสถานะไม่ต่างจากอัครมหาเสนาบดี แต่บางสมัยไท่ฟู่ก็ไม่ได้รับอำนาจนี้ เช่น จงฮิวในสมัยโจยอย เพราะอำนาจว่าราชการซ่างซูอยู่ที่ตันกุ๋นซึ่งได้รับอำนาจนี้มาตั้งแต่สมัยโจผี ตันกุ๋นจึงมีอำนาจบริหารสูงกว่าแม้ว่าตำแหน่งจะต่ำกว่าจงฮิว
เมื่อโจฮองครองราชย์ สุมาอี้ที่เป็นไท่เว่ย กับโจซองที่เป็นต้าเจียงจวิน ได้รับตำแหน่งซื่อจงเพิ่ม มีอำนาจว่าราชการซ่างซูร่วมกัน สำเร็จราชการทหารทั้งในและนอกราชธานี บัญชาการทหารคนละ 3,000 นายผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาเป็นทหารรักษาพระองค์ในพระราชวัง แต่โจซองอยากจะควบคุมราชการซ่างซูคนเดียว เลยอ้างความชอบให้เลื่อนตำแหน่งสุมาอี้สูงขึ้น โดยเพิกถอนอำนาจว่าราชการซ่างซูไป
ตามประวัติศาสตร์สุมาอี้ไม่ได้ถูกริบอำนาจทหารไปด้วย แม้เป็นไท่ฟู่ก็ยังมีอำนาจบัญชาการทหารดังเดิม และยังได้เป็นแม่ทัพไปทำศึกกับง่อก๊กอยู่ แต่สุมาอี้ไม่สามารถใช้อำนาจทหารเป็นสิทธิขาดเพราะต้องแบ่งอำนาจร่วมกับโจซองด้วย และการที่ฝ่ายโจซองกุมอำนาจบริหารทั้งหมดรวมถึงการแต่งตั้งโยกย้ายถอดถอนขุนนางไว้ในมือ ทำสุมาอี้ยากจะต่อกรได้ ประกอบกับความขัดแย้งทางการเมือง ทำให้สุมาอี้ปลีกตัวไปและกลับมาก่อการยึดอำนาจในที่สุดครับ
แต่ตามประวัติศาสตร์ โจผีไว้ใจสุมาอี้มากและนับสุมาอี้เป็นหนึ่งในสี่สหายสนิท ร่วมกับตันกุ๋น ง่อสิด จูซั่ว และดูจะไม่ได้ระแวงสุมาอี้เลย มีบันทึกว่าโจโฉเคยเตือนโจผีว่าสุมาอี้ไม่ใช่คนที่จะเป็นข้ารับใช้และจะเข้ามายุ่งกับเรื่องในครอบครัว แต่เนื่องจากโจผีสนิทสนมกับสุมาอี้ จึงพูดปกป้องสุมาอี้เสมอ
เดิมในสมัยโจโฉสุมาอี้ตำแหน่งไม่ได้สูงเท่าไหร่ พอโจผีขึ้นเป็นวุยอ๋องควบตำแหน่งเฉิงเซี่ยง (อัครมหาเสนาบดี) จึงเลื่อนตำแหน่งสุมาอี้เป็นจ๋างสื่อ (長史) หรือหัวหน้าขุนนางในทำเนียบสังกัดเฉิงเซี่ยงทั้งหมด
พอโจผีขึ้นเป็นฮ่องเต้ให้ย้ายสุมาอี้ไปรับผิดชอบราชการในซ่างซูไถ (尚書臺 สำนักราชเลขาธิการ) ที่เป็นหน่วยงานฝ่ายบริหารร่วมกับตันกุ๋น โดยสุมาอี้ได้รับตำแหน่งซ่างซู (尚書) หนึ่งในหัวหน้าแผนกของซ่างซูไถ แล้วย้ายไปเป็นผู้ตรวจการทัพ (督軍) ควบตำแหน่งอวี้สื่อจงเฉิง (御史中丞) รองอาลักษณ์ฝ่ายพระราชวังซึ่งเป็นผู้ตรวจการราชสำนัก แล้วย้ายกลับมาซ่างซูไถให้มีตำแหน่งเป็นซ่างซูโย่วผูเช่อ (尚書右僕射) คือรองราชเลขาธิการฝ่ายขวา ควบตำแหน่งซื่อจง (侍中) ขุนนางใกล้ชิดจักรพรรดิ ทำงานกับตันกุ๋นที่ป็นซ่างซูลิ่ง (尚書令) คือสมุหราชเลขาธิการผู้บัญชาการซ่างซูไถ ควบตำแหน่งซื่อจงเช่นเดียวกัน
ในสมัยฮั่นตะวันออกและสามก๊ก อำนาจบริหารราชการแผ่นดินอยู่ที่ซ่างซูไถ ขุนนางที่ได้กุมอำนาจเหนือซ่างซูไถจึงไม่ต่างจากอัครมหาเสนาบดี การที่โจผีตั้งตันกุ๋นเป็นราชเลขาธิการและสุมาอี้เป็นรอง คุมอำนาจฝ่ายบริหาร สะท้อนให้เห็นว่าโจผีไว้ใจสองคนนี้มากครับ
ในช่วงที่โจผียกทัพบุกง่อก๊ก โจผียังเพิ่มตำแหน่งทางทหารระดับสูงให้ทั้งสอง โดยให้ตันกุ๋นเป็นมหาขุนพลพิทักษ์ทัพ (鎮軍大將軍) ติดตามไปทำศึก ให้สุมาอี้เป็นมหาขุนพลประโลมทัพ (撫軍大將軍) บัญชาการทหาร 5,000 นายรักษาเมืองสวี่ชาง (ฮูโต๋) พร้อมเพิ่มตำแหน่ง จี่ซื่อจง (給事中) ที่ปรึกษาราชสำนัก รวมทั้งให้มีอำนาจว่าราชการซ่างซู (錄尚書事) คือให้สุมาอี้คุมอำนาจบริหารเหนือซ่างซูไถทั้งหมดในช่วงนั้น สุมาอี้ขอปฏิเสธไม่รับตำแหน่ง แต่โจผีไม่ยอมและกล่าวว่าต้องการให้สุมาอี้ช่วยแบ่งเบาภาระ
เมื่อก่อนโจผีจะตาย ยังสั่งเสียให้สุมาอี้ ร่วมกับ โจจิ๋น ตันกุ๋น (บางแห่งระบุว่ามีโจฮิวและคนอื่นด้วย) ช่วยอุปถัมภ์ค้ำชูโจยอย และยังสั่งโจยอยด้วยว่า ถ้ามีคนทำให้โจยอยแปลกแยกทั้งสาม จงระวังอย่าได้ระแวงพวกเขา
ส่วนตัวผมคิดว่าถ้าโจผีอายุยืนยาว สุมาอี้น่าจะมีสถานภาพมั่นคงพอสมควรเพราะได้รับความไว้วางใจจากโจผีมาก อาจจะไม่ได้มีแรงจูงใจให้ต้องก่อการยึดอำนาจ แต่หน้าที่การงานของสุมาอี้น่าจะอยู่ในสายงานบริหารเป็นหลัก มากกว่าจะไปเป็นสายทหารอย่างที่จะเกิดขึ้นในสมัยโจยอย
สุมาอี้เพิ่งถูกย้ายไปมีตำแหน่งสายทหารเต็มตัวเมื่อโจยอยครองราชย์ โดยได้เลื่อนเป็น เพี่ยวจี้ต้าเจียงจวิน (驃騎大將軍) มหาขุนพลทหารม้าทะยาน มีตำแหน่งเป็นตูตูผู้บัญชาการทหารมณฑลจิงโจว (เกงจิ๋ว) และอวี้โจว (อิจิ๋ว) ประจำการที่เมืองหว่าน (อ้วนเสีย) ดูแลทางใต้ของวุยก๊ก ตำแหน่งทางทหารของสุมาอี้เวลานั้นเป็นรองแค่โจฮิวกับโจจิ๋น
จดหมายเหตุสามก๊กบันทึกว่า ในช่วงแรกโจยอยทำตามคำสั่งเสียของโจผีให้เสนาบดีผู้ใหญ่ช่วยราชการ แต่ต่อมาก็ส่งออกไปรับตำแหน่งอื่น เพราะต้องการบริหารราชการเอง การที่สุมาอี้ถูกย้ายออกจากเมืองหลวงไปเป็นผู้บัญชาการทหารมณฑลก็คงเป็นด้วยเหตุนี้ครับ
พิจารณาร่วมกับคนอื่นก็ใกล้เคียงกัน โจฮิวได้เลื่อนยศเป็นต้าซือหม่า (大司馬) จอมพลสูงสุด แต่ยังมีตำแหน่งเดิมในสมัยโจผีคือเป็นผู้ว่าราชการและผู้บัญชาการทหารมณฑลหยางโจว คอยรับศึกง่อก๊กทางตะวันออก
โจจิ๋นได้เป็นต้าเจียงจวิน (大將軍) ตำแหน่งมหาขุนพลรองลงมาจากโจฮิว แต่มีอำนาจบัญชาการทหารทั้งในและนอกตั้งแต่สมัยโจผี ในช่วงที่ขงเบ้งบุกจึงได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการกวนโย่วประจำการรับศึกจ๊กก๊กทางตะวันตกที่ฉางอันเป็นหลัก แล้วได้เลื่อนเป็นต้าซือหม่าหลังจากโจฮิวตาย สุมาอี้ได้เลื่อนเป็นต้าเจียงจวินแทน พอโจจิ๋นตาย สุมาอี้จึงถูกย้ายขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการทหารมณฑลยงโจวและเหลียงโจวเพื่อรับศึกขงเบ้งแทน
มีแต่ตันกุ๋นที่ยังคงดูแลฝ่ายบริหารในราชธานี ได้เลื่อนขึ้นเป็นซือคง ตำแหน่งซานกง (สามมหาเสนาบดี) โดยให้มีอำนาจว่าราชการซ่างซูตามเดิม
แต่การย้ายสุมาอี้มาคุมอำนาจทหารแบบเต็มตัวก็เปิดโอกาสให้สุมาอี้ได้สร้างความดีความชอบและอิทธิพลมากขึ้น จนกระทั่งหลังโจจิ๋นตาย สุมาอี้ที่เป็นมหาขุนพล และควบตำแหน่งต้าตูตู (大都督) ผู้บัญชาการทหารใหญ่ จึงกลายเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดของวุยก๊กในทางปฏิบัติ
หลังจากขงเบ้งตายแล้ว โจยอยเลื่อนสุมาอี้เป็นไท่เว่ย (太尉) หรือสมุหพระกลาโหมตำแหน่งสูงสุดของซานกง ตามหลักเกณฑ์ยุคนั้นต้าเจียงจวินมีศักดิ์สูงกว่าซานกง แต่ในสมัยที่สุมาอี้เป็นไท่เว่ย ราชสำนักยกให้ไท่เว่ยมีศักดิ์สูงกว่าต้าเจียงจวินเป็นกรณีพิเศษ แล้วปล่อยต้าเจียงจวินว่างไว้
ซานกงสมัยฮั่นตะวันออกและสามก๊กมักเป็นเพียงตำแหน่งกิตติมศักดิ์ ทำนองที่ปรึกษาราชการผู้ใหญ่ดูแลราชการฝ่ายทหาร แต่ไม่ได้มีอำนาจบัญชาการทหารโดยตรงเหมือนกับต้าซือหม่าและต้าเจียงจวิน อาจเป็นเพราะโจยอยไม่ได้ไว้วางใจให้สุมาอี้ที่เป็นคนนอกตระกูลดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด เพราะก่อนหน้านั้นคนที่ได้ตำแหน่งต้าซือหม่าและต้าเจียงจวินล้วนเป็นคนในสกุลโจหรือแฮหัวทั้งหมด คือ แฮหัวตุ้น โจหยิน โจฮิว โจจิ๋น แต่เนื่องจากวุยก๊กต้องรับศึกขงเบ้งหลายปีและหาแม่ทัพคนอื่นที่มีความสามารถไม่ได้ จึงต้องให้สุมาอี้คุมอำนาจทหารสูงสุดเพื่อรับศึก พอขงเบ้งตายแล้วจึงย้ายไปเป็นไท่เว่ยแทน
อย่างที่กล่าวคือ ต้าเจียงจวินสูงกว่าซานกง หากให้สุมาอี้ไปเป็นไท่เว่ยเท่ากับลดตำแหน่งลงมา สันนิษฐานว่าด้วยเหตุนี้โจยอยเลยยกสถานะให้ไท่เว่ยของสุมาอี้ให้สูงกว่าต้าเจียงจวินเป็นกรณีพิเศษ และยังปูนบำเหน็จเพิ่มศักดินาให้ด้วย ทำให้เหมือนว่าเป็นการเลื่อนตำแหน่งแทน เพราะสุมาอี้มีแต่ความชอบไม่มีความผิดจะถอดยศโดยไม่มีเหตุคงไม่ได้ ส่วนตัวผมคิดว่าสุมาอี้น่าจะตระหนักในจุดนี้ดี และน่าจะต้องยอมรับเอาไว้
แม้สุมาอี้แม้จะถูกเพิกถอนตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด แต่เข้าใจว่ายังคุมอำนาจทหารส่วนกลางอยู่ด้วย เพราะมีบันทึกว่าในสมัยวุยก๊ก ไท่เว่ยและต้าเจียงจวินบัญชาการทหารส่วนกลาง และสุมาอี้ยังคงอำนาจเป็นผู้บัญชาการทหารยงโจว-เหลียงโจวอยู่ตามเดิม เพราะหลังจากเสร็จศึกกับขงเบ้ง สุมาอี้ยังบัญชาการทหารประจำการอยู่ที่เมืองฉางอันศูนย์กลางของมณฑลยงโจวมาอีกหลายปี เข้าใจว่าเพื่อเฝ้าระวังจ๊กก๊กทางตะวันตก เนื่องจากยงโจวและเหลียงโจวเป็นพรมแดนติดต่อกับจ๊กก๊ก ซึ่งขงเบ้งพยายามรุกรานเข้ามาอยู่เสมอ
ส่วนโจยอยคงจะประเมินว่าจ๊กก๊กไม่น่ายกมารุกรานอีกหลังจากขงเบ้งตายแล้ว เลยหันไปสนใจแต่การบูรณะซ่อมสร้างพระราชวังเป็นโครงการใหญ่โตอลังการ สิ้นเปลืองงบประมาณและสร้างความเดือดร้อนให้กับขุนนางและราษฎรที่ถูกเกณฑ์แรงงานมาก ในช่วงปลายรัชกาลก็หันไปขยายอำนาจพิชิตเหลียวตงของตระกูลกงซุนมากกว่า จึงเรียกสุมาอี้จากฉางอันให้เป็นแม่ทัพยกไปตีเหลียวตง ไม่ได้สนใจทำศึกตีจ๊กก๊ก ยังเห็นได้ว่าโจยอยยังคงไว้ใจให้สุมาอี้บัญชาการทหารเป็นแม่ทัพอยู่ และยังแต่งตั้งสุมาอี้เป็นผู้สำเร็จราชการร่วมกับโจซองด้วย
นโยบายสร้างปราสาทราชวังของโจยอยก็ส่งผลกระทบต่อขุนนางกับราษฎรมากพอสมควร และปรากฏว่าสุมาอี้เป็นคนผลักดันให้เลิกนโยบายนี้ในสมัยโจฮองด้วย จึงตอบได้ยากเหมือนกันว่าถ้าโจยอยครองราชย์นานมากขึ้นจะมีนโยบายที่ส่งผลกระทบต่อสุมาอี้หรือไม่
แต่ทั้งนี้ตามประวัติศาสตร์บันทึกว่าโจยอยเป็นคนที่ลึกซึ้ง ตัดสินใจดี ปรีชา ปฏิบัติต่อเสนาบดีผู้ใหญ่ด้วยความเคารพมาก มีความอดทนอดกลั้นต่อคำวิพากษ์วิจารณ์สูง แม้จะมีผู้ทัดทานคัดค้านอย่างแรงก็ไม่เคยประหารหรือลงโทษ สุมาอี้เองภายนอกก็ปฏิบัติตัวด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตนรับราชการตามหน้าที่ไม่แสดงออกถึงความทะเยอทะยาน โจยอยคงจะไม่มีเหตุให้ถอดถอนสุมาอี้ได้ถ้าไม่มีความผิด
สถานะของสุมาอี้ในสมัยโจยอยโดยรวมก็นับว่ามั่นคงและใหญ่โตตามความชอบ (ตามประวัติศาสตร์สุมาอี้ไม่เคยถูกโจยอยสั่งปลดเพราะแผนของขงเบ้งอย่างในวรรณกรรม) ถ้าโจยอยไม่ได้ทำอะไรที่กระทบต่อสถานะของสุมาอี้ ผมคิดว่าสุมาอี้คงไม่มีเหตุผลที่จะต้องลุกขึ้นมายึดอำนาจโจยอย และถ้าโจยอยอายุยืนยาวมากขึ้นสักสิบกว่าปี สุมาอี้ก็คงจะตายไปก่อน การที่โจยอยตายไปเร็วโดยทายาทยังเล็ก ทำให้สุมาอี้ได้ขึ้นมาเป็นผู้สำเร็จราชการร่วมกับโจซอง ทำให้มีอำนาจอิทธิพลสูงขึ้นตามไปด้วยในช่วงแรก แม้ว่าช่วงหลังจะต้องถูกฝ่ายโจซองบีบให้ปลีกตัวออกจากการเมืองไปก็ตาม
ส่วนตัวผมมองว่าสาเหตุที่ทำให้สุมาอี้ลุกขึ้นมายึดอำนาจเป็นด้วยเรื่องความขัดแย้งกับโจซองเป็นสำคัญมากกว่าเพราะสุมาอี้มีความทะเยอทะยานอยากครองอำนาจตั้งแต่แรก การรวบอำนาจทางการเมืองของโจซองกับพรรคพวกสร้างความขัดแย้งภายในราชสำนักวุยก๊กมาก บวกกับมีเรื่องพฤติกรรมที่ไม่ค่อยดีอีกหลายเรื่อง ทำให้ขุนนางผู้ใหญ่ของวุยก๊กหลายคนให้การสนับสนุนสุมาอี้ยึดอำนาจโจซองด้วย สุมาอี้จึงได้โอกาสถอนรากถอนโคนฝ่ายโจซองจนแทบไม่เหลือและขึ้นมากุมอำนาจนำในวุยก๊กได้สำเร็จ
ส่วนเรื่องโจซองจัดแจงยกสุมาอี้ขึ้นเป็นไท่ฟู่ (มหาราชครู) ผมเห็นว่าตัวตำแหน่งไม่ได้เป็นประเด็นขนาดนั้นครับ
เป็นธรรมเนียมตั้งแต่สมัยฮั่นที่จะตั้งเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่เป็นไท่ฟู่เมื่อเริ่มรัชกาลใหม่เพื่อเป็นที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน โดยมักเลือกจากผู้เป็นซานกงขึ้นมา ตำแหน่งซานกงทั้งสามนั้นมักเลื่อนชั้นขึ้นไปตามลำดับอยู่แล้ว และบ่อยครั้งที่ไท่เว่ยซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุดของซานกงจะได้เลื่อนเป็นไท่ฟู่ในรัชกาลใหม่ มีตัวอย่างคือเมื่อโจยอยครองราชย์ จงฮิวที่เป็นไท่เว่ยได้เลื่อนเป็นไท่ฟู่ ฮัวหิมที่เป็นซือถูได้เลื่อนเป็นไท่เว่ย อองลองที่เป็นซือคงได้เป็นซือถู แล้วเลื่อนตันกุ๋นที่เป็นซ่างซูลิ่งมาเป็นซือคง
สุมาอี้ที่เป็นไท่เว่ยเรียกได้ว่าสูงสุดของวุยก๊กแล้วในตอนนั้น การได้เลื่อนขึ้นไปเป็นไท่ฟู่ก็นับว่าเหมาะสมตามธรรมเนียมลำดับศักดิ์และความอาวุโสครับ
ประเด็นอยู่ที่อำนาจของไท่ฟู่ที่จะได้รับมากกว่า เพราะส่วนใหญ่แล้วไท่ฟู่ในสมัยฮั่นจะได้รับอำนาจว่าราชการซ่างซู (錄尚書事) มาด้วย ทำให้ไท่ฟู่สามารถควบคุมอำนาจบริหารราชการแผ่นดินไว้ได้ จึงมีการเปรียบว่าไท่ฟู่มีสถานะไม่ต่างจากอัครมหาเสนาบดี แต่บางสมัยไท่ฟู่ก็ไม่ได้รับอำนาจนี้ เช่น จงฮิวในสมัยโจยอย เพราะอำนาจว่าราชการซ่างซูอยู่ที่ตันกุ๋นซึ่งได้รับอำนาจนี้มาตั้งแต่สมัยโจผี ตันกุ๋นจึงมีอำนาจบริหารสูงกว่าแม้ว่าตำแหน่งจะต่ำกว่าจงฮิว
เมื่อโจฮองครองราชย์ สุมาอี้ที่เป็นไท่เว่ย กับโจซองที่เป็นต้าเจียงจวิน ได้รับตำแหน่งซื่อจงเพิ่ม มีอำนาจว่าราชการซ่างซูร่วมกัน สำเร็จราชการทหารทั้งในและนอกราชธานี บัญชาการทหารคนละ 3,000 นายผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาเป็นทหารรักษาพระองค์ในพระราชวัง แต่โจซองอยากจะควบคุมราชการซ่างซูคนเดียว เลยอ้างความชอบให้เลื่อนตำแหน่งสุมาอี้สูงขึ้น โดยเพิกถอนอำนาจว่าราชการซ่างซูไป
ตามประวัติศาสตร์สุมาอี้ไม่ได้ถูกริบอำนาจทหารไปด้วย แม้เป็นไท่ฟู่ก็ยังมีอำนาจบัญชาการทหารดังเดิม และยังได้เป็นแม่ทัพไปทำศึกกับง่อก๊กอยู่ แต่สุมาอี้ไม่สามารถใช้อำนาจทหารเป็นสิทธิขาดเพราะต้องแบ่งอำนาจร่วมกับโจซองด้วย และการที่ฝ่ายโจซองกุมอำนาจบริหารทั้งหมดรวมถึงการแต่งตั้งโยกย้ายถอดถอนขุนนางไว้ในมือ ทำสุมาอี้ยากจะต่อกรได้ ประกอบกับความขัดแย้งทางการเมือง ทำให้สุมาอี้ปลีกตัวไปและกลับมาก่อการยึดอำนาจในที่สุดครับ
แสดงความคิดเห็น
ถ้าโจผี โจยอย ไม่ตายก่อนวัยอันควรซะก่อน คิดว่าตระกูลสุมาจะรวมแผ่นดินได้ไหมครับ