JJNY : สินค้าพาเหรดปรับราคารอบ2│พท.ชวนจับตาตีความ 8ปี│กมธ.หั่นงบกลาโหมสูงสุด 2.7พันล.│เวียดนามเล็งสร้างรถไฟความเร็วสูง

สินค้าพาเหรดปรับราคารอบ2 ซีอิ๊วหวานขึ้นขวดละ 20 นมสดคาร์เนชั่น ขยับกระป๋องละ 3 บาท
https://www.matichon.co.th/economy/news_3506147

เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม แหล่งข่าวจากร้านค้าส่งและค้าปลีกในย่านกรุงเทพฯ เปิดเผยว่า ในช่วงต้นเดือนสิงหาคม 2565 มีสินค้าอุปโภคบริโภคหลายรายการ  ได้ทยอยปรับราคาขึ้นตามต้นทุนขนส่งที่สูงขึ้น อาทิ นมสดคาร์เนชั่นขึ้นราคารอบ 2 อีก 3 บาท/กระป๋อง( 380 กรัม) จาก 25 บาท เป็น 28 บาท/กระป๋อง,ซีอิ๊วหวานตรา “ง่วนเชียง” ขึ้น 20 บาท/ขวด จาก 55 บาท เป็น 75 บาท/ขวด (800 กรัม) ,น้ำตาลทรายยี่ห้อ “มิตรผล” ขึ้น 1 บาทต่อถุง( 1 กก.) ,ผงชูรสยี่ห้อ “อายิโนะโมะโต๊ะ” ขึ้น 10 บาท/ถุง (1 กก.) จาก 98 บาท เป็น 108 บาท/ถุง , ผลไม้กระป๋องยี่ห้อ “มาลี” ขึ้น 12% หรือ 11 บาท/กระป๋อง จาก 85 บาท เป็น 96 บาท/กระป๋อง

๐ “นมสดคาร์เนชั่น”ขึ้นรอบ2 “ผงชูรส”ขยับ 10 บาท

นายสมชาย พรรัตนเจริญ นายกสมาคมค้าส่งและปลีกไทย กล่าวว่า สินค้าที่ขึ้นราคาในเดือนสิงหาคมนี้มีหลายรายการ อาทิ นมสดคาร์เนชั่นที่ขึ้นราคาอีกรอบ ผงชูรสอายิโนะโมะโต๊ะขึ้นอีก 200 บาท/ลัง(20 กก.) หรือขึ้นอีก10 บาท/กก. ส่วนน้ำตาลและซีอิ๊วหวานที่ร้านยังขายสต๊อกเก่า ยังไม่ได้ซื้อใหม่ จึงยังไม่ได้รับแจ้งราคาใหม่

๐ “ปาล์มขวด”ขาลง”ถั่วเหลือง”ราคายังติดดอย

นายสมชายกล่าวว่า สำหรับความเคลื่อนไหวราคาน้ำมันพืชขวด 1 ลิตร ปัจจุบันราคาน้ำมันปาล์มปรับลงค่อนข้างมาก จากก่อนหน้านี้เคยขายอยู่ที่ 70 บาท/ขวด เหลือ 55 บาท/ขวด มีแนวโน้มจะลดลงอีก คาดว่าอาจจะอยู่ที่ 50 บาท/ขวด ขณะที่น้ำมันถั่วเหลืองราคายังปรับลดลงไม่มากยังอยู่ที่ 68-70 บาท/ขวด แต่หลังคนไปบริโภคน้ำมันปาล์มกันมากขึ้น น่าจะทำให้ราคาน้ำมันถั่วเหลืองปรับลงมาอีก เพราะหากราคาสูงมาก ทำให้ร้านค้าขายลำบาก
 
“ปัจจุบันภาพรวมกำลังซื้อในตลาดไม่ค่อยดี เพราะคนรายได้ลดลง ทำให้ยอดขายสินค้าหายไปค่อนข้างมาก ยิ่งภาครัฐมีนโยบายจะปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำและค่าไฟฟ้าด้วย อาจจะส่งผลให้ราคาสินค้าปรับขึ้นอีก แต่ถ้าค่าแรงขึ้นไม่มาก อาจจะไม่ส่งผลต่อราคาสินค้ามากนัก เพราะที่ผ่านมาผู้ผลิตน่าจะเผื่อไว้แล้ว” นายสมชายกล่าว



เพื่อไทยชวนจับตาตีความนายกฯ 8 ปี ย้ำแคนดิเดต มีแค่ 5 ชื่อเท่านั้น
https://www.thairath.co.th/news/politic/2472276
 
โฆษกเพื่อไทย ยัน 17 ส.ค.นี้ ยื่นคำร้องปมวาระนายกฯ 8 ปีของ “พล.อ.ประยุทธ์” ย้ำ “พล.อ.ประวิตร” ไม่ใช่แคนดิเดตของพรรคไหน มีแค่ 5 ชื่อเท่านั้น
 
เมื่อเวลาประมาณ 10.20 น. วันที่ 14 ส.ค. 2565 น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ ส.ส.กรุงเทพมหานคร และโฆษกพรรคเพื่อไทย ตอบคำถามสื่อมวลชนในช่วงท้ายของการแถลงข่าวถึงกรณีที่พรรคร่วมฝ่ายค้านเตรียมจะยื่นศาลรับฐธรรมนูญตีความวาระดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 8 ปี ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่า พรรคร่วมฝ่ายค้านจะมีตัวแทนฝ่ายกฎหมายทำงานร่วมกันเป็นคณะ โดยจะมีการร่างคำร้องเพื่อยื่นต่อ นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา รวมถึงองค์กรอิสระ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบในคำร้องว่าชัดเจนครบถ้วนทุกประเด็นหรือไม่ แต่เป็นการทำงานร่วมกันของทุกพรรคการเมืองที่จะมีการลงชื่อร่วมกันของ ส.ส. เพื่อยื่นในวันที่ 17 ส.ค. นี้
 
ส่วนคำถามมั่นใจมากแค่ไหนว่าจะสามารถทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ลงจากตำแหน่งได้นั้น โฆษกพรรคเพื่อไทย ตอบว่า ตอนนี้สื่อมวลชนต่างมีการนำเสนอเรื่องวาระ 8 ปีของ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งมีความเห็นออกมา 2 ทาง คือ ในทางกฎหมายชัดเจนว่าตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ไม่สามารถยืดไปกว่า 8 ปีได้ แต่ด้วยการดิ้นของ พล.อ.ประยุทธ์ ยังมีความพยายามที่จะให้ตนเองได้อยู่ในตำแหน่งต่อ โดยเราเองมีความมั่นใจว่าถ้าหากศาลมีความยุติธรรมและตีความตามบทกฎหมายจริง พล.อ.ประยุทธ์ จะต้องหลุดจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก่อนวันที่ 24 ส.ค. นี้แน่นอน แต่ผลจะเป็นอย่างไรขอให้พี่น้องประชาชนร่วมกันจับตามอง อาจจะได้เห็นความพิลึกพิลั่นของการตีความ หรืออาจจะได้ดีที่ประเทศไทยยังมีความยุติธรรมอยู่
 
น.ส.ธีรรัตน์ ระบุต่อไปว่า พล.อ.ประยุทธ์ เป็นผู้สร้างความขัดแย้งให้สังคมไทย มาด้วยวิธีที่ไม่ชอบธรรมตั้งแต่ต้น พร้อมตั้งคำถามด้วยว่าทำไมวันที่กล่าวคำถวายสัตย์ปฏิญาณ พล.อ.ประยุทธ์ จึงพูดไม่ครบทั้งหมด จะด้วยความตั้งใจหรือไม่นั้น วันนี้เห็นชัดว่า พล.อ.ประยุทธ์ กำลังจะทำตนอยู่เหนือรัฐธรรมนูญ กำลังไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญที่พวกเขาและองคาพยพเขียนกันขึ้นมา พร้อมมองว่าในวันที่เขียนรัฐธรรมนูญฉบับนี้ตั้งใจที่จะเอาไว้ทิ่มแทงพรรคการเมืองฝั่งตรงข้าม แต่วันนี้กฎหมายฉบับนั้นกลับมาใช้กับตัวของ พล.อ.ประยุทธ์ เองแล้ว ซึ่งก็ยังไม่ยอมที่จะปฏิบัติตาม
 
กรณีที่ถามว่ายื่นคำร้องในวันที่ 17 ส.ค. จะช้าไปหรือไม่ ความจริงประเทศไทยเสียโอกาสมามากแล้ว 8 ปีที่ผ่านมาประเทศถอยหลังมาโดยตลอด ในขณะที่เทคโนโลยี เศรษฐกิจต่างๆ ควรที่จะเดินหน้าไปมากกว่านี้ คุณภาพชีวิตคนไทยกลับตกต่ำลง อีกทั้งไทยยังกลายเป็นประเทศที่ถูกมองข้ามจากนานาอารยประเทศ นอกจากนี้ สิ่งที่พวกเราอดทนมาโดยตลอด เป็นความอดทนของพี่น้องประชาชนที่ต้องยอมรับและนับถือ ถามว่า พล.อ.ประยุทธ์ ควรจะออกไปตั้งแต่วันนี้เลยหรือไม่ ถ้าประชาชนเลือกได้ก็คงบอกว่าอยาก หรืออยากให้ออกไปตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว แต่ในเมื่อทนมาถึงตรงนี้ ด้วยองคาพยพและอำนาจทางการเมืองที่ พล.อ.ประยุทธ์ มี จึงต้องอาศัยช่องทางนี้ที่จะทำให้ออกไปโดยเร็วที่สุด สิ่งนี้เป็นความตั้งใจและความพยายามของพรรคร่วมฝ่ายค้านที่จะทำให้ประเทศชาติและประชาชน ขอให้ร่วมกันติดตามสถานการณ์จากนี้ว่าจะเป็นอย่างไร ฝากความหวังไว้หลังการตีความทางกฎหมาย
 
อย่างไรก็ตาม เมื่อถามถึงชื่อของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นนายกรัฐมนตรีรักษาการหาก พล.อ.ประยุทธ์ หลุดจากตำแหน่งจริงนั้น โฆษกพรรคเพื่อไทยตอบชัดว่า 
 
“ต้องเข้าใจกฎหมายรัฐธรรมนูญ ถ้าหากว่า พล.อ.ประยุทธ์ หลุดออกจากตำแหน่งจริง ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ชัดเจนว่า แคนดิเดตหรือผู้ที่มีรายชื่อเป็นนายกฯ จากพรรคการเมืองคือใครบ้าง พล.อ.ประวิตร ไม่เป็นหนึ่งในนั้น ไม่มี พล.อ.ประวิตร 
 
พรรคเพื่อไทยมี มีท่านชัยเกษม นิติสิริ, ท่านชัชชาติ สิทธิพันธุ์, คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ 
พรรคภูมิใจไทยมี อนุทิน ชาญวีรกูล 
พรรคประชาธิปัตย์มี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เท่านี้ที่จะสามารถเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป 
 
ะนั้น พล.อ.ประวิตร ไม่ได้อยู่ในสมการนี้ 5 ท่านนี้ทุกคนก็ยังมีชีวิต ยังไม่ได้หายไปไหน ยังสามารถที่จะเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีได้ ถ้าหากว่าได้รับเสียงข้างมากจากรัฐสภา ต้องเข้าใจว่าไม่มีชื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อยู่ในรายชื่อของการถูกเสนอชื่อจากพรรคการเมืองให้เป็นนายกรัฐมนตรีเลยสักพรรคการเมืองเดียว”


 
กมธ.หั่นงบ กลาโหม สูงสุด 2.7 พันล้าน จับตาสภา ถกงบ66 วาระ 2-3 เริ่ม 17 ส.ค.
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7211823

กมธ. หั่นงบ กลาโหม สูงสุด 2.7 พันล้าน ด้าน ‘กรมการข้าว’ ได้งบคืนสูงสุด 2.2 พันล้าน เปิดข้อสังเกตงบ 66 จับตาสภา ถกงบฯ วาระ 2-3 วันที่ 17-19 ส.ค.นี้
 
เมื่อวันที่ 14 ส.ค. 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้นัดประชุมวันที่ 17-19 ส.ค.นี้ เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ  (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 วงเงิน 3.185 ล้านล้านบาท วาระ 2 และ 3 ซึ่งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญฯ พิจารณาเสร็จแล้ว
 
โดยในรายงานของกมธ. มีสาระสำคัญ คือ งบประมาณที่ตั้งไว้ 3.185 ล้านล้านบาท มีรายการปรับลด และรายการเพิ่ม ในรายการที่เท่ากัน คือ 7,644 ล้านบาท ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่าในการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบฯ 66 ไม่มีรายการปรับลดที่นำไปแปรเพิ่มให้ในส่วนของงบกลาง ทำให้ปี 66 มียอดงบกลางที่จัดสรรรวม 5.9 แสนล้านบาท สำหรับรายการของกระทรวงที่ถูกปรับ และเพิ่มขึ้น ที่น่าสนใจ อาทิ กระทรวงกลาโหม ถูกปรับลดสูงสุด ถึง 2,778 ล้านบาท
กระทรวงในกลุ่มของพรรคร่วมรัฐบาล ถูกปรับลดเช่นกัน อาทิ กลุ่มของพรรคภูมิใจไทยเป็นเจ้ากระทรวง คือ กระทรวงสาธารณสุข ปรับลด 42 ล้านบาท กระทรวงคมนาคม ปรับลด 89 ล้านบาท และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ปรับลด 32 ล้านบาท
 
กลุ่มพรรคชาติไทยพัฒนา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปรับลด 182 ล้านบาท และกลุ่มพรรคประชาธิปัตย์ คือ กระทรวงพาณิชย์ ปรับลด 44 ล้านบาท กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ปรับลด 9 ล้านบาท
 
ทั้งนี้ มีความน่าสนใจในการปรับลด และแปรเพิ่มของบบประมาณ ในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พบว่า มติกมธ. ปรับลด 205 ล้านบาท แต่กลับถูกการแปรงบเพิ่มเติมคืนให้สูงสุดถึง 2,277 ล้านบาท โดยจัดสรรให้กับกรมการข้าว เพียงหน่วยงานเดียว ซึ่งระบุในโครงการที่ได้งบเพิ่มเกี่ยวกับโครงการส่งเสริมการเปลี่ยนเมล็ดพันธุ์ข้าว และปรับปรุงระบบผลิตเมล็ดพันธุ์ชั้นพันธุ์คัด-พันธุ์หลัก ซึ่งเป็นการติดตั้งเครื่องจักร และอุปกรณ์ปรับปรุงสภาพเมล็ดพันธุ์
กระทรวงมหาดไทย ถูกลดงบประมาณ 336 ล้านบาท แต่พบว่าได้รับงบกลับคืน 24 ล้านบาท ให้กับกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ขณะที่กระทรวงศึกษาธิการ ถูกปรับลดงบประมาณ 737 ล้านบาท แต่ในรายการปรับเพิ่มพบว่าได้รับงบคืนถึง 2,219 ล้านบาท ให้กับสำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และสำนักปลัดฯ ในยุทธศาสตร์ความเสมอภาคทางการศึกษา
 
ด้านกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ถูกปรับลดงบประมาณ 168 ล้านบาท แต่ได้รับงบคืน 18 ล้านบาท ให้กับมหาวิทยาลัยต่างๆ ในยุทธศาสตร์ความเสมอภาคทางการศึกษา และกระทรวงวัฒนธรรม ถูกปรับลดงบประมาณ 14 ล้านบาท แต่ได้รับงบคืน 1.8 ล้านบาท ให้กับสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์
 
ขณะที่ข้อสังเกตของกมธ. มีสาระสำคัญ คือ การจัดทำงบประมาณไม่สอดคล้องกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศในปัจจุบัน เนื่องจากมีภาระชดเชยหนี้ภาครัฐจำนวนมาก และเพิ่มงบให้รัฐวิสาหกิจสูงถึง 1.62 แสนล้านบาท เพื่อใช้หนี้กว่า 1.18 แสนล้านบาท นอกจากนี้ งบประมาณรายจ่ายส่วนใหญ่เป็นรายจ่ายตามกฎหมายหรืองบผูกพัน หากต้องการงบเพิ่มเพื่อแก้ปัญหาแต่ละปีจำเป็นต้องหารายได้เพิ่ม และปรับโครงสร้างงบประมาณ รวมถึงควรปรับปรุงการใช้เงินนอกงบประมาณให้มีประสิทธิภาพ
 
โดยปี 66 คาดว่ารัฐบาลมีเงินนอกงบประมาณสูงถึง 4.5 ล้านล้านบาท และใช้เงินนอกงบประมาณเพื่อสมทบโครงการต่างๆ สูงถึง 1.05 แสนล้านบาท ทั้งนี้ กมธ.ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่ามีโครงการใดที่ใช้เงินนอกงบประมาณซ้ำซ้อนกัน ดังนั้น หากมีการใช้เงินนอกงบประมาณจำนวนมาก ปีต่อไปกมธ.จะขอตั้งอนุกมธ.พิจารณาเงินนอกงบประมาณของหน่วยงานต่างๆ เป็นการเฉพาะ
  
นอกจากนี้ ยังมีข้อสังเกตไปยังหน่วยงานต่างๆ โดยความน่าสนใจอยู่ที่กระทรวงกลาโหม อาทิ ควรหาแนวทางปกป้องอธิปไตยของไทยแนวใหม่ เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า เพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี และประเทศมีฐานะการเงินที่ดี และจะสนับสนุนให้หน่วยงานจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ได้ตามที่หน่วยงานต้องการ ทบทวนระบบเกณฑ์ทหารแบบภาคบังคับ ควรวางตัวเป็นกลางท่ามกลางสถานการณ์ขัดแย้ง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่