สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 12
ตอนช่วง 20+ เราใช้ชีวิตตามฝัน
*ทำงานเพื่อสังคมในฝัน แต่งานไม่มั่นคง เป็นสัญญาๆไป (แต่ที่สุดท้ายก็ทำมา 10ปีจนตอนนี้ วนไปครบทุกสาขาที่เคยอยากทำ ตั้งแต่ลงพื้นที่ชายแดน งานประชุม+ทำโปรเจ็ก งานช่วยเหลือคนโดยตรง จนปัจจุบันเป็นนักวิเคราะห์ในส่วนthink tankขององค์กร)
*เดินทางเยอะทั้งในไทยและต่างประเทศ 1.แบ็คแพ็คเที่ยวคนเดียว 2.เดินทางไปที่แปลกๆเพราะงาน 3.ไปเที่ยวกับครอบครัวพร้อมหน้า
*ได้ทุนไปเรียนต่อต่างประเทศตามฝันตอนจบอายุเลข2พอดี
*ไม่มีแฟน (อันนี้ไม่ได้ตั้งใจ แต่หาไม่ได้จริงๆ 555)
*เริ่มปฏิบัติวิปัสสนาตอน20ปลายๆ
*ซื้อคอนโดตอนใกล้30 ย่นระยะเดินทางไปทำงาน เพราะบ้านไกลมาก และค่าผ่อนถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับรายได้
ช่วงอายุ30+ ความจริงชีวิตเข้ามาเร็ว ตอนเลข2เหมือนยังเป็นเด็ก เรียนจบ ลืมตามาเหมือนโลกเปลี่ยนไป
*เรากลับมาทำงานองค์กรเดิม ตำแหน่งสูงขึ้น
*ปฏิบัติธรรมต่อ
*จากที่ไปเรียนต่างประเทศ ได้เห็นโลกและเห็นคนหลากหลาย เห็นคนที่มีอิสรภาพทางการเงิน เข้าใจแผนการเงินมากขึ้น .. อันนี้สำคัญมาก เหมือนเปิดโลกเลย พอกลับมาเห็นชัดเลยว่าเงินสำคัญมากๆ มันคือความปลอดภัยในชีวิต เราเก็บเงินจริงจังทั้งเงินเดือนและค่าเบี้ยเลี้ยงเดินทาง ศึกษาและเริ่มลงทุนหุ้น
*เห็นชัดว่า ไม่ควรซื้อคอนโด เราซื้อตอนไม่มีความรู้การเงิน คอนโดมีค่าใช้จ่ายแฝงเยอะ และจ่ายต่อเนื่อง ขายก็ไม่ง่าย ให้เช่าก็ต้องดูแล ถ้าจำเป็นต้องอยู่ใกล้ออฟฟิศ เราแนะนำน้องๆที่รู้จักให้เช่าอยู่
*เก็บเงินมาพักนึง อยู่ๆเราป่วยเป็นโรคแพ้ภูมิตัวเองที่หายาก(MS) ร้ายแรงและไม่มีทางรักษา ค่ายากดภูมิที่หมอแนะนำให้ใช้ต่อเนื่องนี่แพงชนิดที่เหนือจินตนาการ และสุขภาพเราก็จะแย่มากทั้งโรคMSและผลข้างเคียงยา
*เราเลือกไม่ใช้ยากดภูมิ แต่หันมาดูแลสุขภาพจริงจัง (กินอาหารออแกนิค น้ำผักผลไม้สกัดเย็นทำเองเยอะๆ ตากแดดรับวิตามินดี นอนเร็วขึ้น ออกกำลังกาย ลดความเครียด) เราทำตามข้อมูลการศึกษาของฝรั่ง เราสุขภาพดีขึ้น จนไม่มีอาการ ตรวจร่างกายพบว่าปกติดี
*พอร์ตหุ้นโตขึ้นระดับนึง เราจะทำงานอีกไม่กี่วัน ลาออกมาเป็น full time trader เพื่อที่จะใช้เวลายืดหยุ่นขึ้น ได้ดูแลกาย ใจ รวมทั้งคนรอบข้าง
ถึงเราจะไม่มีอาการMSแล้วแต่ก็ไม่วางใจถ้าทำงานหนัก งานเราเยอะ ทำให้เรามีอาการออฟฟิศซินโดรม และด้วยตำแหน่งเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เครียด
ที่อยากบอกคือ เงินกับความรู้สำคัญมากนะคะ สิ่งไม่คาดคิด คือสิ่งไม่คาดคิดนั่นล่ะ ถ้าเราไม่ได้มีเงินก้อนนึง หนทางที่ผ่านมาคงลำบากกับเราและครอบครัวกว่านี้มากๆ ทั้งตอนเข้าโรงพยาบาล และตอนที่เปลี่ยนมากินอาหารออแกนิค (แพงแต่คุ้มค่ามาก หายป่วย และถูกกว่าค่ายาแบบเทียบไม่ได้เลย) และถ้าไม่มีเงินสำรอง+ความรู้+ประสบการณ์อีกด้านไว้ เราคงติดอยู่ในชีวิตที่ไม่มีทางเลือก ลาออกไม่ได้ ถึงงานที่ทำจะเคยเป็นงานในฝัน แต่เราเดินตามฝันมาพอแล้ว และวันนี้สถานการณ์ชีวิตเปลี่ยนไป ถึงเวลาที่เราต้องเปลี่ยนเหมือนกัน เราไม่รู้ว่าการลาออกจะดีกว่าเดิมไหม แต่เราตัดสินใจดีที่สุดแล้วในตอนนี้ ชีวิตมีความสุขดีค่ะ ต้องขอบคุณการปฏิบัติธรรมที่ช่วยรักษาใจไว้
นอกจากเงินและความรู้แล้ว ลงทุนด้านสุขภาพตั้งแต่ตอนนี้ จะดีทั้งกับตัวเองและคนที่รักเราค่ะ
*ทำงานเพื่อสังคมในฝัน แต่งานไม่มั่นคง เป็นสัญญาๆไป (แต่ที่สุดท้ายก็ทำมา 10ปีจนตอนนี้ วนไปครบทุกสาขาที่เคยอยากทำ ตั้งแต่ลงพื้นที่ชายแดน งานประชุม+ทำโปรเจ็ก งานช่วยเหลือคนโดยตรง จนปัจจุบันเป็นนักวิเคราะห์ในส่วนthink tankขององค์กร)
*เดินทางเยอะทั้งในไทยและต่างประเทศ 1.แบ็คแพ็คเที่ยวคนเดียว 2.เดินทางไปที่แปลกๆเพราะงาน 3.ไปเที่ยวกับครอบครัวพร้อมหน้า
*ได้ทุนไปเรียนต่อต่างประเทศตามฝันตอนจบอายุเลข2พอดี
*ไม่มีแฟน (อันนี้ไม่ได้ตั้งใจ แต่หาไม่ได้จริงๆ 555)
*เริ่มปฏิบัติวิปัสสนาตอน20ปลายๆ
*ซื้อคอนโดตอนใกล้30 ย่นระยะเดินทางไปทำงาน เพราะบ้านไกลมาก และค่าผ่อนถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับรายได้
ช่วงอายุ30+ ความจริงชีวิตเข้ามาเร็ว ตอนเลข2เหมือนยังเป็นเด็ก เรียนจบ ลืมตามาเหมือนโลกเปลี่ยนไป
*เรากลับมาทำงานองค์กรเดิม ตำแหน่งสูงขึ้น
*ปฏิบัติธรรมต่อ
*จากที่ไปเรียนต่างประเทศ ได้เห็นโลกและเห็นคนหลากหลาย เห็นคนที่มีอิสรภาพทางการเงิน เข้าใจแผนการเงินมากขึ้น .. อันนี้สำคัญมาก เหมือนเปิดโลกเลย พอกลับมาเห็นชัดเลยว่าเงินสำคัญมากๆ มันคือความปลอดภัยในชีวิต เราเก็บเงินจริงจังทั้งเงินเดือนและค่าเบี้ยเลี้ยงเดินทาง ศึกษาและเริ่มลงทุนหุ้น
*เห็นชัดว่า ไม่ควรซื้อคอนโด เราซื้อตอนไม่มีความรู้การเงิน คอนโดมีค่าใช้จ่ายแฝงเยอะ และจ่ายต่อเนื่อง ขายก็ไม่ง่าย ให้เช่าก็ต้องดูแล ถ้าจำเป็นต้องอยู่ใกล้ออฟฟิศ เราแนะนำน้องๆที่รู้จักให้เช่าอยู่
*เก็บเงินมาพักนึง อยู่ๆเราป่วยเป็นโรคแพ้ภูมิตัวเองที่หายาก(MS) ร้ายแรงและไม่มีทางรักษา ค่ายากดภูมิที่หมอแนะนำให้ใช้ต่อเนื่องนี่แพงชนิดที่เหนือจินตนาการ และสุขภาพเราก็จะแย่มากทั้งโรคMSและผลข้างเคียงยา
*เราเลือกไม่ใช้ยากดภูมิ แต่หันมาดูแลสุขภาพจริงจัง (กินอาหารออแกนิค น้ำผักผลไม้สกัดเย็นทำเองเยอะๆ ตากแดดรับวิตามินดี นอนเร็วขึ้น ออกกำลังกาย ลดความเครียด) เราทำตามข้อมูลการศึกษาของฝรั่ง เราสุขภาพดีขึ้น จนไม่มีอาการ ตรวจร่างกายพบว่าปกติดี
*พอร์ตหุ้นโตขึ้นระดับนึง เราจะทำงานอีกไม่กี่วัน ลาออกมาเป็น full time trader เพื่อที่จะใช้เวลายืดหยุ่นขึ้น ได้ดูแลกาย ใจ รวมทั้งคนรอบข้าง
ถึงเราจะไม่มีอาการMSแล้วแต่ก็ไม่วางใจถ้าทำงานหนัก งานเราเยอะ ทำให้เรามีอาการออฟฟิศซินโดรม และด้วยตำแหน่งเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เครียด
ที่อยากบอกคือ เงินกับความรู้สำคัญมากนะคะ สิ่งไม่คาดคิด คือสิ่งไม่คาดคิดนั่นล่ะ ถ้าเราไม่ได้มีเงินก้อนนึง หนทางที่ผ่านมาคงลำบากกับเราและครอบครัวกว่านี้มากๆ ทั้งตอนเข้าโรงพยาบาล และตอนที่เปลี่ยนมากินอาหารออแกนิค (แพงแต่คุ้มค่ามาก หายป่วย และถูกกว่าค่ายาแบบเทียบไม่ได้เลย) และถ้าไม่มีเงินสำรอง+ความรู้+ประสบการณ์อีกด้านไว้ เราคงติดอยู่ในชีวิตที่ไม่มีทางเลือก ลาออกไม่ได้ ถึงงานที่ทำจะเคยเป็นงานในฝัน แต่เราเดินตามฝันมาพอแล้ว และวันนี้สถานการณ์ชีวิตเปลี่ยนไป ถึงเวลาที่เราต้องเปลี่ยนเหมือนกัน เราไม่รู้ว่าการลาออกจะดีกว่าเดิมไหม แต่เราตัดสินใจดีที่สุดแล้วในตอนนี้ ชีวิตมีความสุขดีค่ะ ต้องขอบคุณการปฏิบัติธรรมที่ช่วยรักษาใจไว้
นอกจากเงินและความรู้แล้ว ลงทุนด้านสุขภาพตั้งแต่ตอนนี้ จะดีทั้งกับตัวเองและคนที่รักเราค่ะ
แสดงความคิดเห็น
ขอรีวิวการใช้ชีวิตของคนช่วงอายุ30-40+