copy..มาจาก👉
https://ppantip.com/topic/40420218
๖. สาสปสูตร
[๔๓๑] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี
ครั้งนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ฯลฯ
ครั้น ภิกษุนั้นนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กัปหนึ่งนานเพียงไร หนอแล ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ กัปหนึ่งนานแล มิใช่ง่ายที่จะนับกัปนั้นว่า เท่านี้ปี ฯลฯ
หรือว่าเท่านี้ ๑๐๐,๐๐๐ ปี ฯ
ภิ. ก็พระองค์อาจจะอุปมาได้ไหม พระเจ้าข้า ฯ
[๔๓๒] พ. อาจอุปมาได้ ภิกษุ แล้วจึงตรัสต่อไปว่า
ดูกรภิกษุเหมือนอย่างว่า นคร ที่ทำด้วยเหล็ก ยาวโยชน์ ๑ กว้างโยชน์ ๑ สูงโยชน์ ๑
เต็มด้วยเมล็ดพันธุ์ผักกาด มีเมล็ดพันธุ์ ผักกาดรวมกันเป็นกลุ่มก้อน
บุรุษพึงหยิบเอาเมล็ดพันธุ์ผักกาดเมล็ดหนึ่งๆ ออกจากนครนั้น โดยล่วงไปหนึ่งร้อยปีต่อเมล็ด
เมล็ดพันธุ์ผักกาดกองใหญ่นั้น พึงถึงความสิ้นไป หมดไป เพราะความพยายามนี้ ยังเร็วกว่าแล
ส่วนกัปหนึ่งยังไม่ถึงความสิ้นไป หมดไป
กัปนานอย่างนี้แล
บรรดากัปที่นานอย่างนี้ พวกเธอท่องเที่ยวไปแล้วมิใช่หนึ่งกัป มิใช่ร้อยกัป มิใช่พันกัป มิใช่ แสนกัป
ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่า สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯ
พอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้ ฯ
จบสูตรที่ ๖
https://etipitaka.com/read/thai/16/180/
สรุป... <----อันนี้เป็นความเข้าใจของผม...หากมีคำแนะนำ-หรือ-เห็นต่าง..นำหลักฐานมาแสดง...ก็ยินดีเลยครับ
1. จากพระสูตร เรา..หรือ..." สัตว์ "...ได้ท่องเที่ยวไปแล้วในสัวสารวัฏไม่รูกี่แสนกี่ล้านกัป
แต่เราจะมาคำนวนดูว่าการหยิบเมล็ดพันธ์ผักกาดออกจากกล่องขนาด 1 คิวบิกโยชน์...นั้น นานกี่ปี ดังนี้
1 โยชน์ = 16 กิโลเมตร = 16,000 เมตร
ขนาดเมล็ดผักกาดเรากำหนดที่ 2mm = 0.002m <----ตามข้อมูลนี้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ดังนั้น...1 คิวบิกโยชน์ก็จะสามารถบรรจุเมล็ดผักกาดได้ด้านละ 16,000 m / 0.002m = 8,000,000 เมล็ด
เมื่อคูณทั้ง 3 ด้าน... ก็จะบรรจุใน 1 คิวบิกโยชน์ได้ 8,000,000 x 8,000,000 x 8,000,000 = 5.12x1020
คราวนี้จะหยิบเมล็ดออกทุกๆ 100ปี มันจึงใช้เวลาทั้งสิ้น 100 x 5.12x1018 = 5.12x1022 ปี
สรุปว่า 1 กัปนั้น...นานมากกว่า 512,000,000,000 ล้านล้านปี... <-----ตายเกิดไปกี่รอบแล้วนี่
ปล. อาจจะมีการคำนวณที่ต่างกันเพราะกำหนดเมล็ดผักกาดกันคนละขนาด
2. ดูเวลาแค่ 1 กัป แล้ว....คำว่า " เพิ่มพูลปถพี "...นี้เห็นภาพเลย ซากจากการตายทับถมกันจนเป็นแผ่นดินที่สูงขึ้น...
พระองค์จึงกล่าวว่า " แค่นี้ก็พอแล้วที่เธอควรจะเบื่อหน่ายในการเกิด--และ--ตาย..อย่างไม่สิ้นสุด "
3. จากทิฏฐิ62...ที่พระศาสดาท่านทรงอธิบายว่า....มีสมณพราหมณ์บางพวกเขาบรรลุเจโตสมาธิแล้วสามารถรู้ถึงขันธ์
ในอดีตได้ เขาก็เลยบัญญัติว่าโลกเที่ยง...เขาเองเนั้นที่ยง... ทางพุทธศาสนาเลยบอกว่า...พวกนี้เห็นจริง...
แต่รู้ไม่จริง... ตัวเขาที่ทางพุทธจะเรียกว่า " สัตว์ " นะมันเกิดตายไปตามภพใหญ่น้อยมาช้านาน..จนไม่สามารถ...
หาเบื้องตน-เบื้องปลาย..ก็จริง แต่ " สัตว์...มันก็ไม่เที่ยง "...เพราะอะไร?
ก็เพราะพระผู้มีพระภาคท่านตรัสรู้ในหนทางที่จะทำให้ " สัตว์ "...มันหมดไป...
นี่หละ " สัตว์มันไม่เที่ยงเพราะเหตุนี้ "...
ดังนั้น...การเห็นว่าเรา(สัตว์)เที่ยง...มันจึงเป็นมิจฉาทิฏฐิ...เป็นสัสสตทิฏฐิ
เพราะถ้าคิดแบบนี้...ก็เท่ากับปฏิเสธในหนทางที่จะทำให้หลุดพ้น..เพราะเชื่อว่าเที่ยง
".... [๑๕๑] ดูกรมาลุงกยบุตร เมื่อมีทิฏฐิว่า โลกเที่ยง ดังนี้
จักได้มีการอยู่ประพฤติ พรหมจรรย์หรือ ก็ไม่ใช่อย่างนั้น.."
{ [๑๕๑] สสฺสโต โลโกติ มาลุงฺกฺยปุตฺต ทิฏฺฐิยา สติ พฺรหฺมจริยวาโส อภวิสฺสาติ เอวํ โน.... }
https://etipitaka.com/read/thai/13/120/
" สัตว์ "---ตอนที่ 3 :...สัตว์..เกิด-ตาย...มานานแค่ไหน กัน? อย่างนี้..สัตว์มันเที่ยงหรือไม่เที่ยง?
๖. สาสปสูตร
[๔๓๑] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี
ครั้งนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ฯลฯ
ครั้น ภิกษุนั้นนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กัปหนึ่งนานเพียงไร หนอแล ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ กัปหนึ่งนานแล มิใช่ง่ายที่จะนับกัปนั้นว่า เท่านี้ปี ฯลฯ
หรือว่าเท่านี้ ๑๐๐,๐๐๐ ปี ฯ
ภิ. ก็พระองค์อาจจะอุปมาได้ไหม พระเจ้าข้า ฯ
[๔๓๒] พ. อาจอุปมาได้ ภิกษุ แล้วจึงตรัสต่อไปว่า
ดูกรภิกษุเหมือนอย่างว่า นคร ที่ทำด้วยเหล็ก ยาวโยชน์ ๑ กว้างโยชน์ ๑ สูงโยชน์ ๑
เต็มด้วยเมล็ดพันธุ์ผักกาด มีเมล็ดพันธุ์ ผักกาดรวมกันเป็นกลุ่มก้อน
บุรุษพึงหยิบเอาเมล็ดพันธุ์ผักกาดเมล็ดหนึ่งๆ ออกจากนครนั้น โดยล่วงไปหนึ่งร้อยปีต่อเมล็ด
เมล็ดพันธุ์ผักกาดกองใหญ่นั้น พึงถึงความสิ้นไป หมดไป เพราะความพยายามนี้ ยังเร็วกว่าแล
ส่วนกัปหนึ่งยังไม่ถึงความสิ้นไป หมดไป
กัปนานอย่างนี้แล
บรรดากัปที่นานอย่างนี้ พวกเธอท่องเที่ยวไปแล้วมิใช่หนึ่งกัป มิใช่ร้อยกัป มิใช่พันกัป มิใช่ แสนกัป
ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่า สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯ
พอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้ ฯ
จบสูตรที่ ๖
https://etipitaka.com/read/thai/16/180/
สรุป... <----อันนี้เป็นความเข้าใจของผม...หากมีคำแนะนำ-หรือ-เห็นต่าง..นำหลักฐานมาแสดง...ก็ยินดีเลยครับ
1. จากพระสูตร เรา..หรือ..." สัตว์ "...ได้ท่องเที่ยวไปแล้วในสัวสารวัฏไม่รูกี่แสนกี่ล้านกัป
แต่เราจะมาคำนวนดูว่าการหยิบเมล็ดพันธ์ผักกาดออกจากกล่องขนาด 1 คิวบิกโยชน์...นั้น นานกี่ปี ดังนี้
1 โยชน์ = 16 กิโลเมตร = 16,000 เมตร
ขนาดเมล็ดผักกาดเรากำหนดที่ 2mm = 0.002m <----ตามข้อมูลนี้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ดังนั้น...1 คิวบิกโยชน์ก็จะสามารถบรรจุเมล็ดผักกาดได้ด้านละ 16,000 m / 0.002m = 8,000,000 เมล็ด
เมื่อคูณทั้ง 3 ด้าน... ก็จะบรรจุใน 1 คิวบิกโยชน์ได้ 8,000,000 x 8,000,000 x 8,000,000 = 5.12x1020
คราวนี้จะหยิบเมล็ดออกทุกๆ 100ปี มันจึงใช้เวลาทั้งสิ้น 100 x 5.12x1018 = 5.12x1022 ปี
สรุปว่า 1 กัปนั้น...นานมากกว่า 512,000,000,000 ล้านล้านปี... <-----ตายเกิดไปกี่รอบแล้วนี่
ปล. อาจจะมีการคำนวณที่ต่างกันเพราะกำหนดเมล็ดผักกาดกันคนละขนาด
2. ดูเวลาแค่ 1 กัป แล้ว....คำว่า " เพิ่มพูลปถพี "...นี้เห็นภาพเลย ซากจากการตายทับถมกันจนเป็นแผ่นดินที่สูงขึ้น...
พระองค์จึงกล่าวว่า " แค่นี้ก็พอแล้วที่เธอควรจะเบื่อหน่ายในการเกิด--และ--ตาย..อย่างไม่สิ้นสุด "
3. จากทิฏฐิ62...ที่พระศาสดาท่านทรงอธิบายว่า....มีสมณพราหมณ์บางพวกเขาบรรลุเจโตสมาธิแล้วสามารถรู้ถึงขันธ์
ในอดีตได้ เขาก็เลยบัญญัติว่าโลกเที่ยง...เขาเองเนั้นที่ยง... ทางพุทธศาสนาเลยบอกว่า...พวกนี้เห็นจริง...
แต่รู้ไม่จริง... ตัวเขาที่ทางพุทธจะเรียกว่า " สัตว์ " นะมันเกิดตายไปตามภพใหญ่น้อยมาช้านาน..จนไม่สามารถ...
หาเบื้องตน-เบื้องปลาย..ก็จริง แต่ " สัตว์...มันก็ไม่เที่ยง "...เพราะอะไร?
ก็เพราะพระผู้มีพระภาคท่านตรัสรู้ในหนทางที่จะทำให้ " สัตว์ "...มันหมดไป...
นี่หละ " สัตว์มันไม่เที่ยงเพราะเหตุนี้ "...
ดังนั้น...การเห็นว่าเรา(สัตว์)เที่ยง...มันจึงเป็นมิจฉาทิฏฐิ...เป็นสัสสตทิฏฐิ
เพราะถ้าคิดแบบนี้...ก็เท่ากับปฏิเสธในหนทางที่จะทำให้หลุดพ้น..เพราะเชื่อว่าเที่ยง
".... [๑๕๑] ดูกรมาลุงกยบุตร เมื่อมีทิฏฐิว่า โลกเที่ยง ดังนี้
จักได้มีการอยู่ประพฤติ พรหมจรรย์หรือ ก็ไม่ใช่อย่างนั้น.."
{ [๑๕๑] สสฺสโต โลโกติ มาลุงฺกฺยปุตฺต ทิฏฺฐิยา สติ พฺรหฺมจริยวาโส อภวิสฺสาติ เอวํ โน.... }
https://etipitaka.com/read/thai/13/120/