สวัสดีสมาชิกชาวพันทิปทุกคนรวมถึงผู้ที่ผ่านมาเจอกระทู้คำถามนี้ก่อนนะครับ ก่อนอื่นเลยต้องขออภัยที่คำถามมาแนวดึงดราม่า แต่จำนวนคำที่ถูกจำกัดทำให้ต้องใช้คำพูดที่กระชับจริงๆเลยอาจดูใส่อารมณ์ไปเสียหน่อยนะครับ55555555 จึงอยากให้ทุกท่านได้อ่านรายละเอียดคำถามที่ผมกำลังจะพรรณามาต่อไปนี้ก่อนจะเริ่มการตอบคำถามและอภิปรายกันนะครับ และเนื่องจากนี่คือกระทู้แรกในชีวิตผม หากกระทำสิ่งใดเสียมารยาทและกฎระเบียบชาวพันทิปโดยไม่เจตนา ผมต้องขออภัยไว้ล่วงหน้านะครับ🙏 ถ้าพร้อมแล้ว มาเริ่มกันเลย!!
☘️
ก่อนอื่นผมจะขอแนะนำตัวคร่าวๆก่อนนะครับ เพราะอาจมีผลกับประเด็นคำถามและลักษณะของคำตอบ ผมเป็นนักศึกษาปี 4 ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ขณะนี้อายุ 22 ปี ภูมิลำเนาเดิมเป็นคนจังหวัดชลบุรี มาจากครอบครัวฐานะปานกลาง อาชีพค้าขายเล็กๆทั่วไป พ่อและแม่ดูแลผมอย่างดีมากเสมอมา ไม่ได้มีปัญหาครอบครัวและปัญหาทางการเงินใดๆ แต่ก็อยู่ในระดับทั่วไป ยังไม่ถึงขั้นอยากได้อะไรก็ซื้อสุรุ่ยสุร่ายได้เสียหมดทุกสิ่ง
ที่ผ่านมาตั้งแต่เด็กจนโต ผมเป็นคนประเภทไม่ฟุ้งเฟ้อหรือหรูหราโดยตัวเองอยู่แล้ว ถ้าให้พูดจริงๆคือเป็นคนมัธยัสแบบสุดๆเลยก็ว่าได้ อย่างโทรศัพท์เครื่องแรกในชีวิตผม ผมก็ได้มาเพราะพ่อบอกว่าจำเป็นต้องใช้(ตอนนั้นผมอยู่ช่วงมัธยมต้น) ทั้งที่ใจผมตอนนั้นคิดว่ามันเกินความจำเป็น บ้านเราไม่ได้มีเงินมากมาย และผมก็ไม่ได้สนเพื่อนคนอื่นๆด้วยว่าเค้ามีรุ่นอะไรยังไงกัน และก็ทู่ซี้ใช้มาจนมันไม่ไหวแล้วจริงๆ (ราว 5-6 ปี) เพราะตัวเราเองก็ไม่ได้อยากซื้อใหม่ แต่เนื่องจากตอนนี้ผมอยู่มหาลัยแล้ว ซึ่งถ้าใครมีลูกยังเรียนมหาลัยอยู่ ณ ตอนนี้จะรู้ดีว่าแม้จะมีไอแพดเป็นอุปกรณ์หลัก แต่สมาร์ทโฟนก็ถือเป็นอุปกรณ์ที่หากขาดไป การเรียนจะลำบากแบบคนละระดับกันเลย มือถือเก่าของผมที่แค่จะโทรออกหรือรับสายยังมีปัญหาแล้วจึงถึงคราวจากผมไปตามแก่เหตุอันควรแม้ผมจะยังไม่อยากไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น หลักๆคือตอนนี้อยากให้ทุกคนเข้าใจกันก่อนว่าผมตั้งกระทู้คำถามนี้ขึ้นมาในฐานะที่ผมไม่ใช่คนฟุ้งเฟ้อ ไม่ใช่ประเภทต้องมีตามคนอื่น ฯลฯ
แล้วก็อีกสิ่งที่จำเป็นต้องกล่าว คือเนื่องจากผมเกิดและใช้ชีวิตมาจนจบมัธยมปลายจากชลบุรีในโซนที่ไม่ได้เจริญอะไรนัก สิ่งแวดล้อมที่ผมเห็นก็จะเป็นวิถีชีวิตชาวบ้านทั่วไป รถยนต์ยี่ห้อแพงๆนี่ไม่ต้องพูดถึง นานๆทีจะได้เห็นที
🍃
ตัวผมเองก็เป็นเช่นนี้เรื่อยมา จนกระทั่งได้เข้ามาใช้ชีวิตมหาลัยในกรุงเทพ (การเรียนที่ผ่านมาของผมอยู่ในสายวิทย์ และคณะที่ผมเข้ามาก็เกี่ยวกับการแพทย์ จะเห็นได้ว่าที่ผ่านมาผมไม่ได้ศึกษาอะไรเกี่ยวกับเรื่องเงินๆทองๆมากนัก) จุดเริ่มต้นทั้งหมดทั้งมวลกว่าจะมาเป็นกระทู้คำถามมันเริ่มจากตรงนี้แหละครับ
🍂🌱🚙
เมื่อได้เข้ามาอยู่ในกรุงเทพ ผมเริ่มเห็นความฟุ้งเฟ้อต่างๆนานา ช่วงแรกก็ไม่เท่าไหร่ แต่เมื่ออยู่มาได้ปีกว่าๆ ผมก็ผูกพันขนาดสามารถยกให้กรุงเทพเป็นบ้านผมอีกที่ได้เลย แน่นอนว่ามาถึงตอนนี้ผมก็เริ่มมีของที่ต้นเองอยากได้บ้างแล้ว ประกอบกับคณะที่ผมเรียน จบออกไปจะเป็นวิชาชีพที่เรียกง่ายๆว่ามีหัวโขนแหละ ก็มีอารมณ์พาไปบ้าง (แต่ทุกคนอย่าเพิ่งมองผมว่าเป็นพวกลืมตัว หัวสูงนะครับ5555555 นิสัยทางการเงิน การใช้จ่ายก็ยังเหมือนเดิม ไม่ได้สนใจกระแสสังคมอะไรขนาดนั้น แค่เป็นความอยากจากการมองเห็นอยู่ทุกวี่วันเฉยๆ)
.
เมื่อมีของที่เราอยากได้ ซึ่งอยู่ในประเภทของที่ราคาแพง ฟุ้งเฟ้อ และเกินฐานะ ผมจึงเอาของที่อยากได้นั้นมาตั้งเป็นหนึ่งในเป้าหมายของผม และแน่นอนว่าผมจะลงมือทำมันด้วยตัวเองโดยไม่ขอความช่วยเหลือใดๆจากทางบ้านเนื่องจากมันเป็นความอยากของตัวผมเอง
ถึงจึดนี้ผมก็เริ่มศึกษาเรื่องการเงิน การลงทุน การประกอบกิจการ ฯลฯ อะไรก็ตามแต่ที่มันจะช่วยให้ผมไปถึงฝั่งฝันอันยาวไกลได้ (ของที่ผมต้องการ ต้องใช้เงินราว 20 ล้านบาทเพื่อซื้อ นิสัยของผมคือถ้าจะซื้อของฟุ้งเฟ้อ มันต้องไม่ส่งผมกระทบกับเงินผมมากนัก ผมจึงตั้งเป้าหมายไว้ที่ต้องมีเงินให้ได้ 100 ล้านบาท ซึ่งมันเป็นเป้าหมายระยะยาว) เนื่องจากเป้าหมายผมใหญ่และรู้อยู่แล้วว่าใช้เวลาพอสมควร ผมจึงหาความรู้แบบเยอะมาก ซึ่งรวมไปถึงการศึกษาชีวิตของคนต่างๆด้วย
.
ผมก็เดินทางมาระยะหนึ่ง มีความรู้เล็กน้อยพอให้สามารถประมวลผลอะไรบางอย่างได้ นั่นคือ ถ้าหากคนๆหนึ่งเกิดมาในฐานะที่ไม่พร้อม การจะได้มาซึ่งสิ่งอันตนเองปราถนา(กรณีมันต้องใช้เงินมหาศาลมาซื้ออ่ะนะ ไม่นับความปราถนาแบบอื่น) คนนั้นต้องพยายามมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
จากการประเมินตนเอง ณ ตอนนี้ ผมมีภารกิจหลักๆในชิวิตแล้วอย่างน้อย 2 อย่างได้แก่ 1.ดูแลพ่อแม่ให้เต็มที่ (ต้องใช้เงิน เวลา และหัวใจ) 2.มีชิวิตแบบที่ตนเองอยากจะมี (ต้องใช้ความพยายาม และเวลา) เมื่อผมมีเป้าหมาย 2 อย่างที่หากจะทำให้ครบทั้ง 2 อย่างได้ใน่วงชีวิตเดียวกัน ผมจะเหนื่อยกับเป้าหมายที่ 2 อย่างมาก จึงนำมาซึ่งความคิดสุดท้ายของผมก่อนจะมาสรุปคำถามกัน
.
สิ่งที่ผมคิดคือ หากคู่รักคู่หนึ่ง มีฐานะปานกลาง คิดจะมีลูก (กระทู้นี้ขอจำกัดเพียงการมีลูกเพราะอยาก จะไม่พูดถึงกรณีมีลูกโดยไม่ได้ตั้งใจ)
ไม่ว่าจะอยากมีลูกด้วยเหตุผลอันใดก็แล้วแต่ สิ่งแรกที่คู่รักนั้นต้องเจอคือความเหนื่อยเพิ่มขึ้นมหาศาลเพื่อหาเงินมาเลี้ยงดูลูกจนกว่าจะถึงจุดที่เขาดูแลตัวเองได้ (ใครมีลูกคงเข้าใจดีว่าความเหนื่อยเลือดตาแทบกระเด็นนี้มันทรมานขนาดไหน) มาถึงจุดนี้ ถ้าใครที่มีลูกเพื่อหวังให้เขากลับมาเลี้ยงในภายหลังยิ่งแล้วใหญ่ เพราะอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้ ลูกเกิดอุบัติเหตุ, ลูกทิ้งพ่อแม่, ลูกล้มละลาย ฯลฯ เอาแค่นี้ก่อน แค่ประเด็นตรงนี้ถ้าเทียบกับการที่คู่รักนั้นตัดสินใจไม่มีลูก หาเงินเพียงเพื่อใช้กันเอง เก็บเงินเพื่อใช้ยามเกษียณไปจนลมหายใจสุดท้าย มันง่ายกว่าการมีลูกเพื่อเหนื่อยเพิ่มขึ้นมาก และสุดท้ายลูกก็ต้องมีชีวิตของตัวเขาเองอยู่ดี ถึงจะกลับมาอยู่ด้วยกัน ดูแลใกล้ชิด เขาก็ยังต้องมีชีวิตของเขาอยู่ดี
สำหรับผม ถ้าผมเอาตัวเองไปนั่งตำแหน่งคู่รักฐานะปานกลางแล้วตัดสินใจมีลูกเพื่อให้มีผลลัพธ์คือเราเหนื่อยมากขึ้น ลูกเรากว่าจะไปถึงเป้าหมายในชีวิตก็เหนื่อยเพราะไม่มีทุนทรัพย์รองรับ ผมว่ามันไม่สมเหตุสมผลเลย
.
ทีนี้ ผมเอาตัวเองกลับมานั่ง ณ จุดที่ตัวเองเป็นจริงๆคืออยู่ในฐานะลูก แน่นอนว่าคนๆนึง เกิดมามีชีวิตบนโลกใบนี้ ย่อมมีความปราถนาและเป้าหมายของตนเองอยู่แล้ว (ไม่ว่าจะเป้าหมายที่เกี่ยวหรือไม่เกี่ยวกับเงิน เช่น บางคนอาจมีเป้าหมายชีวิตว่าอยากเป็นนักว่ายนำ้โอลิมปิกก็ได้)
การเกิดมาในครอบครัวฐานะปานกลาง แน่นอนว่าต้องใช้ความพยายามมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ในการไปถึงเป้าหมาย ยื่งถ้าเป็นเป้าหมายที่ใช้เงินมหาศาลยิ่งไม่ต้องพูดถึง ครั้นจะให้ล้มเลิกเป้าหมายชีวิตก็ใช่เรื่อง
ในความเห็นของผมเอง (ย้ำ! ว่าความเห็นส่วนตัวผมเองคนเดียวเท่านั้น) ถ้าให้เกิดมาเพื่อปราถนา แล้วเหนื่อยลากเลือดจากการไม่มีทุนทรัพย์รองรับแบบนี้ อย่าให้ผมเกิดมาเลยดีกว่า เป็นการตัดทุกอย่างตั้งแต่ยังไม่ต้องเริ่มต้น (ขอให้ทุกคนอย่าลืมว่าที่จุดเริ่มต้นกับเป้าหมายเดียวกัน คนที่มีทุนทรัพย์รองรับมากกว่าจะเดินทางง่ายกว่า ผมไม่ได้บอกว่าคนมีเงินไม่ต้องพยายามอะไร เพียงแต่ถ้าตัวแปรทุกตัวเหมือนกันเป้ะ คนที่มีทุนทรัพ์มากกว่าจะเดินทางง่ายกว่า)
.
จากทั้งสองมุมมองของผม ก็สรุปได้แล้วว่าสำหรับผม การที่คู่รักคู่หนึ่งที่มีฐานะปานกลางตัดสินใจจะมีลูก ทั้งฝ่ายพ่อแม่และฝ่ายลูกจะได้รับผลเสียกันทั้งคู่
ยิ่งค่านิยมของตัวผมเองคือเป็นคนที่รักสันโดษแบบมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ คือไม่อยากมีลูกแน่ๆ จะแต่งงานหรือเปล่ายังไม่มั่นใจเลย สำหรับผมการมีลูกทั้งที่ฐานะไม่พร้อมจึงหาข้อดีหรือเหตุผลที่ควรจะมีลูกแทบไม่ได้
🪴🌳☀️
ถึงตอนนี้ ผมจึงขอสรุปคำถามว่า:
การที่คู่รักฐานะปานกลางคู่หนึ่งมีลูก ฝ่ายคู่รักเองย่อมได้รับผลคือเหนื่อยมากขึ้น ฝ่ายลูกก็ต้องดิ้นรนอย่างมากเพื่อสร้างชีวิตของตนเอง
เมื่อพิจารณาแล้วได้รับผลเสียกันทั้งคู่เช่นนี้ เหตุใดจึงยังอยากมีลูกหรือยังตัดสินใจมีลูกอยู่
คำถามก็เป็นตามประการเช่นนี้แหละครับ.
😊😁
*หมายเหตุ
ตัวผมเองที่มาตั้งกระทู้คำถามนี้ก็มิได้ตั้งเพราะโกรธเคืองพ่อแม่ หรือน้อยใจโชคชะตาอะไรแต่อย่างใด อย่างที่ผมได้บอกไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่าพ่อกับแม่ดูแลผมดีมาก ไม่เคยขาดตกบกพร่อง ผมเองก็ดีใจที่เกิดมาอยู่ในครอบครับที่อบอุ่น ไม่มีปัญหาร้ายแรง และผมเองก็ยืนยันจะดูแล ตอบแทนพ่อกับแม่อย่างสุดความสามารถตามอัตภาพด้วย เพียงแต่นึกสงสัยและตั้งกระทู้ขึ้นมาเพราะมั่นใจว่ามีหลายคนคิดเรื่องเดียวกับผม ผมใช้เวลาไม่ตำ่กว่า 2 เดือนพยายามคิดหาคำตอบด้วยปัญญาน้อยนิดของตนเองแล้ว แต่ก็ยังมืดมนผลลัพธ์จริงๆ
แน่นอนว่ากระทู้คำถามแนวนี้ต้องมีคนจ้องจะด่าหรือดึงดราม่าแน่ๆ ดังนั้น กระทู้คำถามนี้ผมขอร้อง ถือซะว่ากราบเลยละกัน ไม่เอาดราม่านะครับ ขออธิบายแบบจรรโลงใจ ผมเองก็อยากเข้าใจเหมือนกันว่าในมุมคนที่ตัดสินใจมีลูกทั้งที่ยังไม่พร้อม เขาคิดอย่างไรกันจึงตัดสินใจเช่นนั้น และงดการด่าทุกชนิดทั้งตรงๆ อ้อมๆ คำหยาบ และงดการแซะบุคคลอื่นใดที่ส่งผลลบต่อบุคคลผู้นั้นนะครับ
และกระทู้คำถามนี้ ขอจำกัดขอบเขตเฉพาะครอบครัวที่มีลูกตามความตั้งใจและฐานะปานกลางเท่านั้น สำหรับครอบครัวที่มีลูกโดยมิได้เจตนาหรือครอบครัวที่พร้อมเสกทุกอย่างให้ลูก ผมรบกวนขอให้แสดงความเห็นตามขอบเขตที่ได้กล่าวไว้นะครับ
(ผมอาจไม่ได้เข้ามาตอบกระทู้แบบรวดเร็วเพราะมีภารกิจด้านการเรียนเช่นกัน ถ้าความคิดเห็นหรือคำตอบไหนต้องการการตอบกลับจากผม ผมต้องขออภัยไว้ล่วงหน้าหากปล่อยให้รอนานนะครับ🙏)
.
ขอบคุณทุกๆความคิดเห็นและความรู้ใหม่ๆจากทุกๆท่านนะครับ😊
คนไม่รวยแต่มีลูกมาแชร์กันหน่อยว่าทำไมยังมีทั้งที่รู้ว่าลูกจะไม่พร้อมในหลายด้าน(รบกวนอ่านรายละเอียดคำถามทั้งหมดก่อนตอบ)
☘️
ก่อนอื่นผมจะขอแนะนำตัวคร่าวๆก่อนนะครับ เพราะอาจมีผลกับประเด็นคำถามและลักษณะของคำตอบ ผมเป็นนักศึกษาปี 4 ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ขณะนี้อายุ 22 ปี ภูมิลำเนาเดิมเป็นคนจังหวัดชลบุรี มาจากครอบครัวฐานะปานกลาง อาชีพค้าขายเล็กๆทั่วไป พ่อและแม่ดูแลผมอย่างดีมากเสมอมา ไม่ได้มีปัญหาครอบครัวและปัญหาทางการเงินใดๆ แต่ก็อยู่ในระดับทั่วไป ยังไม่ถึงขั้นอยากได้อะไรก็ซื้อสุรุ่ยสุร่ายได้เสียหมดทุกสิ่ง
ที่ผ่านมาตั้งแต่เด็กจนโต ผมเป็นคนประเภทไม่ฟุ้งเฟ้อหรือหรูหราโดยตัวเองอยู่แล้ว ถ้าให้พูดจริงๆคือเป็นคนมัธยัสแบบสุดๆเลยก็ว่าได้ อย่างโทรศัพท์เครื่องแรกในชีวิตผม ผมก็ได้มาเพราะพ่อบอกว่าจำเป็นต้องใช้(ตอนนั้นผมอยู่ช่วงมัธยมต้น) ทั้งที่ใจผมตอนนั้นคิดว่ามันเกินความจำเป็น บ้านเราไม่ได้มีเงินมากมาย และผมก็ไม่ได้สนเพื่อนคนอื่นๆด้วยว่าเค้ามีรุ่นอะไรยังไงกัน และก็ทู่ซี้ใช้มาจนมันไม่ไหวแล้วจริงๆ (ราว 5-6 ปี) เพราะตัวเราเองก็ไม่ได้อยากซื้อใหม่ แต่เนื่องจากตอนนี้ผมอยู่มหาลัยแล้ว ซึ่งถ้าใครมีลูกยังเรียนมหาลัยอยู่ ณ ตอนนี้จะรู้ดีว่าแม้จะมีไอแพดเป็นอุปกรณ์หลัก แต่สมาร์ทโฟนก็ถือเป็นอุปกรณ์ที่หากขาดไป การเรียนจะลำบากแบบคนละระดับกันเลย มือถือเก่าของผมที่แค่จะโทรออกหรือรับสายยังมีปัญหาแล้วจึงถึงคราวจากผมไปตามแก่เหตุอันควรแม้ผมจะยังไม่อยากไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น หลักๆคือตอนนี้อยากให้ทุกคนเข้าใจกันก่อนว่าผมตั้งกระทู้คำถามนี้ขึ้นมาในฐานะที่ผมไม่ใช่คนฟุ้งเฟ้อ ไม่ใช่ประเภทต้องมีตามคนอื่น ฯลฯ
แล้วก็อีกสิ่งที่จำเป็นต้องกล่าว คือเนื่องจากผมเกิดและใช้ชีวิตมาจนจบมัธยมปลายจากชลบุรีในโซนที่ไม่ได้เจริญอะไรนัก สิ่งแวดล้อมที่ผมเห็นก็จะเป็นวิถีชีวิตชาวบ้านทั่วไป รถยนต์ยี่ห้อแพงๆนี่ไม่ต้องพูดถึง นานๆทีจะได้เห็นที
🍃
ตัวผมเองก็เป็นเช่นนี้เรื่อยมา จนกระทั่งได้เข้ามาใช้ชีวิตมหาลัยในกรุงเทพ (การเรียนที่ผ่านมาของผมอยู่ในสายวิทย์ และคณะที่ผมเข้ามาก็เกี่ยวกับการแพทย์ จะเห็นได้ว่าที่ผ่านมาผมไม่ได้ศึกษาอะไรเกี่ยวกับเรื่องเงินๆทองๆมากนัก) จุดเริ่มต้นทั้งหมดทั้งมวลกว่าจะมาเป็นกระทู้คำถามมันเริ่มจากตรงนี้แหละครับ
🍂🌱🚙
เมื่อได้เข้ามาอยู่ในกรุงเทพ ผมเริ่มเห็นความฟุ้งเฟ้อต่างๆนานา ช่วงแรกก็ไม่เท่าไหร่ แต่เมื่ออยู่มาได้ปีกว่าๆ ผมก็ผูกพันขนาดสามารถยกให้กรุงเทพเป็นบ้านผมอีกที่ได้เลย แน่นอนว่ามาถึงตอนนี้ผมก็เริ่มมีของที่ต้นเองอยากได้บ้างแล้ว ประกอบกับคณะที่ผมเรียน จบออกไปจะเป็นวิชาชีพที่เรียกง่ายๆว่ามีหัวโขนแหละ ก็มีอารมณ์พาไปบ้าง (แต่ทุกคนอย่าเพิ่งมองผมว่าเป็นพวกลืมตัว หัวสูงนะครับ5555555 นิสัยทางการเงิน การใช้จ่ายก็ยังเหมือนเดิม ไม่ได้สนใจกระแสสังคมอะไรขนาดนั้น แค่เป็นความอยากจากการมองเห็นอยู่ทุกวี่วันเฉยๆ)
.
เมื่อมีของที่เราอยากได้ ซึ่งอยู่ในประเภทของที่ราคาแพง ฟุ้งเฟ้อ และเกินฐานะ ผมจึงเอาของที่อยากได้นั้นมาตั้งเป็นหนึ่งในเป้าหมายของผม และแน่นอนว่าผมจะลงมือทำมันด้วยตัวเองโดยไม่ขอความช่วยเหลือใดๆจากทางบ้านเนื่องจากมันเป็นความอยากของตัวผมเอง
ถึงจึดนี้ผมก็เริ่มศึกษาเรื่องการเงิน การลงทุน การประกอบกิจการ ฯลฯ อะไรก็ตามแต่ที่มันจะช่วยให้ผมไปถึงฝั่งฝันอันยาวไกลได้ (ของที่ผมต้องการ ต้องใช้เงินราว 20 ล้านบาทเพื่อซื้อ นิสัยของผมคือถ้าจะซื้อของฟุ้งเฟ้อ มันต้องไม่ส่งผมกระทบกับเงินผมมากนัก ผมจึงตั้งเป้าหมายไว้ที่ต้องมีเงินให้ได้ 100 ล้านบาท ซึ่งมันเป็นเป้าหมายระยะยาว) เนื่องจากเป้าหมายผมใหญ่และรู้อยู่แล้วว่าใช้เวลาพอสมควร ผมจึงหาความรู้แบบเยอะมาก ซึ่งรวมไปถึงการศึกษาชีวิตของคนต่างๆด้วย
.
ผมก็เดินทางมาระยะหนึ่ง มีความรู้เล็กน้อยพอให้สามารถประมวลผลอะไรบางอย่างได้ นั่นคือ ถ้าหากคนๆหนึ่งเกิดมาในฐานะที่ไม่พร้อม การจะได้มาซึ่งสิ่งอันตนเองปราถนา(กรณีมันต้องใช้เงินมหาศาลมาซื้ออ่ะนะ ไม่นับความปราถนาแบบอื่น) คนนั้นต้องพยายามมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
จากการประเมินตนเอง ณ ตอนนี้ ผมมีภารกิจหลักๆในชิวิตแล้วอย่างน้อย 2 อย่างได้แก่ 1.ดูแลพ่อแม่ให้เต็มที่ (ต้องใช้เงิน เวลา และหัวใจ) 2.มีชิวิตแบบที่ตนเองอยากจะมี (ต้องใช้ความพยายาม และเวลา) เมื่อผมมีเป้าหมาย 2 อย่างที่หากจะทำให้ครบทั้ง 2 อย่างได้ใน่วงชีวิตเดียวกัน ผมจะเหนื่อยกับเป้าหมายที่ 2 อย่างมาก จึงนำมาซึ่งความคิดสุดท้ายของผมก่อนจะมาสรุปคำถามกัน
.
สิ่งที่ผมคิดคือ หากคู่รักคู่หนึ่ง มีฐานะปานกลาง คิดจะมีลูก (กระทู้นี้ขอจำกัดเพียงการมีลูกเพราะอยาก จะไม่พูดถึงกรณีมีลูกโดยไม่ได้ตั้งใจ)
ไม่ว่าจะอยากมีลูกด้วยเหตุผลอันใดก็แล้วแต่ สิ่งแรกที่คู่รักนั้นต้องเจอคือความเหนื่อยเพิ่มขึ้นมหาศาลเพื่อหาเงินมาเลี้ยงดูลูกจนกว่าจะถึงจุดที่เขาดูแลตัวเองได้ (ใครมีลูกคงเข้าใจดีว่าความเหนื่อยเลือดตาแทบกระเด็นนี้มันทรมานขนาดไหน) มาถึงจุดนี้ ถ้าใครที่มีลูกเพื่อหวังให้เขากลับมาเลี้ยงในภายหลังยิ่งแล้วใหญ่ เพราะอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้ ลูกเกิดอุบัติเหตุ, ลูกทิ้งพ่อแม่, ลูกล้มละลาย ฯลฯ เอาแค่นี้ก่อน แค่ประเด็นตรงนี้ถ้าเทียบกับการที่คู่รักนั้นตัดสินใจไม่มีลูก หาเงินเพียงเพื่อใช้กันเอง เก็บเงินเพื่อใช้ยามเกษียณไปจนลมหายใจสุดท้าย มันง่ายกว่าการมีลูกเพื่อเหนื่อยเพิ่มขึ้นมาก และสุดท้ายลูกก็ต้องมีชีวิตของตัวเขาเองอยู่ดี ถึงจะกลับมาอยู่ด้วยกัน ดูแลใกล้ชิด เขาก็ยังต้องมีชีวิตของเขาอยู่ดี
สำหรับผม ถ้าผมเอาตัวเองไปนั่งตำแหน่งคู่รักฐานะปานกลางแล้วตัดสินใจมีลูกเพื่อให้มีผลลัพธ์คือเราเหนื่อยมากขึ้น ลูกเรากว่าจะไปถึงเป้าหมายในชีวิตก็เหนื่อยเพราะไม่มีทุนทรัพย์รองรับ ผมว่ามันไม่สมเหตุสมผลเลย
.
ทีนี้ ผมเอาตัวเองกลับมานั่ง ณ จุดที่ตัวเองเป็นจริงๆคืออยู่ในฐานะลูก แน่นอนว่าคนๆนึง เกิดมามีชีวิตบนโลกใบนี้ ย่อมมีความปราถนาและเป้าหมายของตนเองอยู่แล้ว (ไม่ว่าจะเป้าหมายที่เกี่ยวหรือไม่เกี่ยวกับเงิน เช่น บางคนอาจมีเป้าหมายชีวิตว่าอยากเป็นนักว่ายนำ้โอลิมปิกก็ได้)
การเกิดมาในครอบครัวฐานะปานกลาง แน่นอนว่าต้องใช้ความพยายามมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ในการไปถึงเป้าหมาย ยื่งถ้าเป็นเป้าหมายที่ใช้เงินมหาศาลยิ่งไม่ต้องพูดถึง ครั้นจะให้ล้มเลิกเป้าหมายชีวิตก็ใช่เรื่อง
ในความเห็นของผมเอง (ย้ำ! ว่าความเห็นส่วนตัวผมเองคนเดียวเท่านั้น) ถ้าให้เกิดมาเพื่อปราถนา แล้วเหนื่อยลากเลือดจากการไม่มีทุนทรัพย์รองรับแบบนี้ อย่าให้ผมเกิดมาเลยดีกว่า เป็นการตัดทุกอย่างตั้งแต่ยังไม่ต้องเริ่มต้น (ขอให้ทุกคนอย่าลืมว่าที่จุดเริ่มต้นกับเป้าหมายเดียวกัน คนที่มีทุนทรัพย์รองรับมากกว่าจะเดินทางง่ายกว่า ผมไม่ได้บอกว่าคนมีเงินไม่ต้องพยายามอะไร เพียงแต่ถ้าตัวแปรทุกตัวเหมือนกันเป้ะ คนที่มีทุนทรัพ์มากกว่าจะเดินทางง่ายกว่า)
.
จากทั้งสองมุมมองของผม ก็สรุปได้แล้วว่าสำหรับผม การที่คู่รักคู่หนึ่งที่มีฐานะปานกลางตัดสินใจจะมีลูก ทั้งฝ่ายพ่อแม่และฝ่ายลูกจะได้รับผลเสียกันทั้งคู่
ยิ่งค่านิยมของตัวผมเองคือเป็นคนที่รักสันโดษแบบมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ คือไม่อยากมีลูกแน่ๆ จะแต่งงานหรือเปล่ายังไม่มั่นใจเลย สำหรับผมการมีลูกทั้งที่ฐานะไม่พร้อมจึงหาข้อดีหรือเหตุผลที่ควรจะมีลูกแทบไม่ได้
🪴🌳☀️
ถึงตอนนี้ ผมจึงขอสรุปคำถามว่า:
การที่คู่รักฐานะปานกลางคู่หนึ่งมีลูก ฝ่ายคู่รักเองย่อมได้รับผลคือเหนื่อยมากขึ้น ฝ่ายลูกก็ต้องดิ้นรนอย่างมากเพื่อสร้างชีวิตของตนเอง
เมื่อพิจารณาแล้วได้รับผลเสียกันทั้งคู่เช่นนี้ เหตุใดจึงยังอยากมีลูกหรือยังตัดสินใจมีลูกอยู่
คำถามก็เป็นตามประการเช่นนี้แหละครับ.
😊😁
*หมายเหตุ
ตัวผมเองที่มาตั้งกระทู้คำถามนี้ก็มิได้ตั้งเพราะโกรธเคืองพ่อแม่ หรือน้อยใจโชคชะตาอะไรแต่อย่างใด อย่างที่ผมได้บอกไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่าพ่อกับแม่ดูแลผมดีมาก ไม่เคยขาดตกบกพร่อง ผมเองก็ดีใจที่เกิดมาอยู่ในครอบครับที่อบอุ่น ไม่มีปัญหาร้ายแรง และผมเองก็ยืนยันจะดูแล ตอบแทนพ่อกับแม่อย่างสุดความสามารถตามอัตภาพด้วย เพียงแต่นึกสงสัยและตั้งกระทู้ขึ้นมาเพราะมั่นใจว่ามีหลายคนคิดเรื่องเดียวกับผม ผมใช้เวลาไม่ตำ่กว่า 2 เดือนพยายามคิดหาคำตอบด้วยปัญญาน้อยนิดของตนเองแล้ว แต่ก็ยังมืดมนผลลัพธ์จริงๆ
แน่นอนว่ากระทู้คำถามแนวนี้ต้องมีคนจ้องจะด่าหรือดึงดราม่าแน่ๆ ดังนั้น กระทู้คำถามนี้ผมขอร้อง ถือซะว่ากราบเลยละกัน ไม่เอาดราม่านะครับ ขออธิบายแบบจรรโลงใจ ผมเองก็อยากเข้าใจเหมือนกันว่าในมุมคนที่ตัดสินใจมีลูกทั้งที่ยังไม่พร้อม เขาคิดอย่างไรกันจึงตัดสินใจเช่นนั้น และงดการด่าทุกชนิดทั้งตรงๆ อ้อมๆ คำหยาบ และงดการแซะบุคคลอื่นใดที่ส่งผลลบต่อบุคคลผู้นั้นนะครับ
และกระทู้คำถามนี้ ขอจำกัดขอบเขตเฉพาะครอบครัวที่มีลูกตามความตั้งใจและฐานะปานกลางเท่านั้น สำหรับครอบครัวที่มีลูกโดยมิได้เจตนาหรือครอบครัวที่พร้อมเสกทุกอย่างให้ลูก ผมรบกวนขอให้แสดงความเห็นตามขอบเขตที่ได้กล่าวไว้นะครับ
(ผมอาจไม่ได้เข้ามาตอบกระทู้แบบรวดเร็วเพราะมีภารกิจด้านการเรียนเช่นกัน ถ้าความคิดเห็นหรือคำตอบไหนต้องการการตอบกลับจากผม ผมต้องขออภัยไว้ล่วงหน้าหากปล่อยให้รอนานนะครับ🙏)
.
ขอบคุณทุกๆความคิดเห็นและความรู้ใหม่ๆจากทุกๆท่านนะครับ😊