มารีวิวชีวิตคู่ (แฟน, สามี, ภรรยา LGBTQ+) ในตอนนี้กันค่ะ

ขอเป็นกระทัจักรวาลคู่ขนานกับกระทู้  รีวิวชีวิตแต่งงาน 20 ปี ++ ของพี่ธาราสินธุ์นะคะ เชื่อว่าหลายคนอ่านแล้วคงนึกไหลย้อนกลับมาถึงชีวิตตัวเองกันบ้างสักฮุ๊คสองฮุ๊ค มาค่ะ จังหวะดีๆแบบนี้ เรามานินทาชีวิตคู่ของตัวเองกัน



คิสรู้ คุณรู้ โลกรู้ คิสเจอคุณสามีจากในพันทิปนะคะ เรียกว่าเป็นของดีประจำเวบเลยทีเดียว(อินโทรมาปุ๊บก็อวยเลย ไม่ใช่อะไร เดี๋ยวเจ้าตัวมาเห็นค่ะ)

- ส่งข้อความหลังไมล์กันวันแรก ย้ายมาคุยต่อในไลน์
- คุยกันในไลน์ได้ 3 วันนัดเจอกัน
- คุยกันได้ 1 อาทิตย์คุยกันเรื่องแต่งงาน
- คบกันได้ 1 เดือนตัดสินใจคุยกับที่บ้านเรื่องการคบหาและเริ่มดูแบบแหวน คุยเรื่องจดทะเบียนสมรส

ผ่านมาจนถึงวันนี้ก็อยู่ด้วยกันมาปีกว่าๆ น่าจะจับกรองมารีวิวผลงานได้แบบเบลอๆ เป็นชีวิตการอยู่ก่อนการแต่งงานในวัย 38 นะคะ




1. สื่อสารสำคัญที่สุด
สิ่งที่คิสสัมผัสได้ว่าเป็น issue สำคัญที่สุดที่คิสมองว่า "เป็นปัญหา" ในขณะที่พี่แพทไม่รู้สึกเลยว่า "นี่คือปัญหา" คือเราสื่อสารต่างกัน ทุกคนรู้ว่าผู้ชายผู้หญิงมาจากดาวคนละดวง คุยกันก็คนละเรื่องบ้าง

ถ้าคิสบอกว่าเราสองคนคือคู่แท้ฟ้าประทาน อยู่ด้วยกันมาไม่มีปัญหาใดๆเลย นั่นคือ "คิสไม่ได้เรียนรู้อะไรเลยจากการอยู่ร่วมกัน" เป็น 0 ค่ะ คือไม่มีประโยชน์ใดๆที่มาอยู่ด้วยกันก่อนแต่งงาน โง่เท่าเดิมว่างั้นเถอะ การที่มีปัญหากันและจัดการร่วมกันเป็น "ส่วนหนึ่งของความสัมพันธ์"

"ปัญหาชีวิตคู่ เป็นส่วนหนึ่งของความสัมพันธ์ ไม่ใช่ความล้มเหลว เป็นของคู่กันเสมอระหว่างความสุขและความทุกข์"

การหัดเรียนรู้จักอีกฝ่าย ข้อบกพร่องของตัวเองเป็นสิ่งที่จะทำให้ความสัมพันธ์เติบโต พัฒนาขึ้น คิสตั้งคำถามตัวเองหลังจากอ่านหนังสือ "กล้าที่จะถูกเกลียด" (คิสไปหยิบมาจากกองหนังสือบ้านพี่แพท หนังสือสองเล่มนี้ดีมาก แนะนำค่ะ) หลังจากที่เกิดความรู้สึกไม่พอใจว่า "แล้วเราจะทำยังไงกันต่อไปดี"

...

เราควรจะจัดการเรื่องนี้กันต่อไปยังไงดีนะ??

...
นี่คือสิ่งที่คิสมองว่าเราควรปรับจุดโฟกัสเสมอเมื่อเกิดจุด dead pixel ขึ้นระหว่างคนสองคน ไม่ว่าจะกับเพื่อน พี่น้องหรือคนรัก

มองหา "ขั้นตอนต่อไป" หรือสิ่งที่เราจัดการต่อไปได้ในอนาคต ไม่มัวแต่จมในการคาดคั้นเอาผิดของอีกฝ่าย

อะไรที่จำเป็นต้องพูดคุย "จงพูด" อาจจะไม่ใช่เดี๋ยวนั้นตอนนั้น อาจจะเป็น "อีก 20 นาที เราค่อยคุยกันเรื่องนี้ได้มั๊ยที่รัก" ก็อาจจะเป็นฟองน้ำชั้นดีที่ช่วยให้เรากลั่นกรองคำพูดก่อนการพูด/ปะทะจริงๆได้

อย่าคิดว่าการเบลอๆ ปล่อยผ่านไปอีก 1 วัน 1 เดือน 1 ปี จะช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้น ถ้าคุณไม่พูดมันวันนี้ คุณต้องพูดถึงมันในวันใดวันนึง แต่วันนั้นความจริงและเวลาจะเอาคืนทุกอย่างแบบทบต้นทบดอก ยิ่งกว่าโดนเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง

...

เราไม่จำเป็นต้องเป็นนักพูด หรืออินฟลูเอนเซอร์ ดาวติ๊กตอกเพื่อภารกิจนี้ พี่แพทผู้รักษาสถิติไม่มีเพื่อนสนิทเลยมาตลอดชีวิตยังสื่อสารได้ดีกว่าคิสมาก เค้าไม่เคยหลบเรื่องพวกนี้และพร้อมจะพูดคุยมากๆ จากกระทู้ของพี่ธาราสินธุ์ คิสเองก็มี "ชั่วโมงโฮมรูม" ที่คิสกับพี่แพทจะคุยกันก่อนนอน

โฮมรูมของคิสอาจจะไม่ได้นาน ไม่กี่นาที แต่นั่นคือช่วงเวลาที่พี่แพทตั้งใจรับฟังจริงๆ หลายครั้งที่คิสพูดถึงเรื่องเดิมๆ เรื่องเก่าๆงี่เง่าในชีวิต หลายครั้งที่คุยเรื่องของครอบครัวของเรา ไปยันเรื่องเบาสมอง เรื่องแมว หรือแม้แต่เรื่องซีเรียสอย่างการเรียนของคิส เรื่องโรคซึมเศร้า เรื่องหมูหมากาไก่ เราจับมาพูดกันในช่วงนี้ ซึ่งมันดีมากๆที่เราตั้งใจพูดคุยกันจริงๆ เป็นธรรมเนียมที่คิสรู้สึกดีกับตัวเอง คงทำไปเรื่อยๆ

นั่นร่วมถึงการสื่อสารแบบ non-verbal อย่างการกอด หอมแก้ม หอมหัว คิสยังคงดันทุรังจะแสดงออกมาเสมอ บางทีเรานั่งอยู่คนละมุมในร้านกาแฟแต่คิสก็จะเดินไปหอมหัวพี่แพทก่อนจะเดินไปห้องน้ำ หรือไปไหนสักแห่ง ตอนเช้าก่อนพี่แพทจะไปทำงาน เรายังกอดกันตอนเช้า หอมแก้ม ทั้งๆที่เราไม่ได้เป็นฝรั่ง เราไม่รีรอให้เราต้องไปเกิดใหม่เพื่อเปลี่ยนวัฒนธรรม เราทำรูปแบบที่เราสบายใจในวันนี้ เพื่อความอบอุ่นใจที่ได้เลยทันทีในเวลาปัจจุบันกาล

นั่นทำให้คิสไม่มีอะไรต้องเสียดายหรือเสียใจเลยถ้ามีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นในนาทีถัดไปค่ะ

...

ชีวิตคู่ หรือชีวิตคี่ ต่อให้อยู่คนเดียว คุณก็ต้องมีเพื่อนมีสังคมมีพี่น้อง การสื่อสารที่ดีทำให้คุณมี "คู่หู" หรือ "หุ้นส่วนชีวิต" ที่มีคุณภาพ คิสเรียนรู้จากความสัมพันธ์ครั้งนี้ว่า การสื่อสารสำคัญที่สุด คิดเหมือนกันมั๊ยคะ ยิ้ม

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่