สวัสดีครับ พึ่งเข้ามาเล่น pantip ครั้งแรก อยากจะรบกวนเพื่อนๆนักอ่าน นักเขียน ช่วยลองอ่านบทนำนิยายของผมและติชมหน่อยนะครับ ว่าควรปรับปรุงตรงไหนบ้างหรือเปล่าครับ
ดวงจิตแห่งนิฟเทอร์ยาเรียร์ และดวงไฟเซเลซาร์
ปกรณัมนี้เริ่มต้นโดยย้อนกลับไปเนิ่นนาน ณ ห้วงก่อนการถือกำเนิดของทุกสรรพสิ่ง ท่ามกลางสุญญากาศและความว่างเปล่า ไร้ซึ่งกาลเวลา ปราศจากสรรพสิ่ง และสิ่งมีชีวิตใดๆ ทั้งแสงสว่าง และความมืด คงมีแต่เพียงความว่างเปล่าอันอื้ออึง เงียบงันเสียจนชวนให้รู้สึกวาบโหวงอ้างว้าง ตามคำบอกเล่าของเหล่าทวยเทพความเวิ้งว้างเช่นว่านี้ไม่ได้สลายหายไป หากแต่ยังคงดำรงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน ที่ท่ามกลางความว่างเปล่านั้น หลังผ่านห้วงเวลาอันเนิ่นนานก็บังเกิดเศษละอองสสารขนาดเล็กย่อยเสียยิ่งกว่าสรรพสิ่งใดจำนวนมหาศาลลอยเคว้งคว้างกระจัดกระจาย และคงต้องอาศัยระยะเวลายาวนานเกินกว่าที่ใครจะคาดคิดก่อนที่จะทำให้ละอองพลังงานเหล่านี้เริ่มเคลื่อนไหวทีละเล็กทีละน้อย
กาลเวลาผ่านไปนับล้านปี บรรดาละอองพลังงานก็เริ่มขยับเข้าใกล้กันทุกขณะ เมื่อเข้าใกล้กันในระยะที่กระชั้นชิดมากพอละอองสสารหนึ่งก็ผนวกรวมเข้ากับอีกละอองหนึ่ง ดำเนินเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เป็นเท่าทวีจนละอองสสารที่เคยมีขนาดเล็กจิ๋วจนไม่อาจมองเห็นได้ ก็เริ่มรวมตัวขยายขนาดมากขึ้นจนมีขนาดเท่าเศษธุลีที่แม้แต่มนุษย์ก็อาจจะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และคงต้องอาศัยห้วงเวลาอีกนานนับโกฏิปีกว่าที่พวกมันจะรวมตัวกันจนใหญ่โตขึ้นกว่าเดิม ทว่ากระบวนการเหล่านี้ก็ยังดำเนินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง
จนกระทั่งเมื่อถึง ณ จุดหนึ่งละอองธุลีทั้งหลายก็ควบรวมตัวกันเข้าจนกลายเป็นปฐมวัตถุขนาดมหึมา จากเศษละอองพลังงานที่ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า บัดนี้ได้ควบรวมกันเข้าจนกลายไปเป็นกลุ่มก้อนที่ยิ่งใหญ่เสียยิ่งกว่าระบบสุริยจักรวาล เจ้าวัตถุที่ว่านี้มีพลังงานในตนเองและสามารถเปล่งแสงออกมาได้ กล่าวขานกันว่านี่คือแสงแรกที่ปรากฏขึ้นในห้วงประวัติศาสตร์แห่งจักรวาล
หากทว่าแสงสว่างจากปฐมวัตถุนี้ก็มิใช่แสงสว่างดังที่เราชาวมนุษย์เคยได้พานพบ และอันที่จริงคงไม่มีสิ่งใดเคยพานพบแสงสว่างแรกนี้ เล่าลือกันว่าแสงสว่างของมันส่องแสงสว่างรุนแรงเสียยิ่งกว่าแสงอาทิตย์ที่เราคุ้นเคย แต่กลับแผ่ละอองสัมผัสนวลนุ่มเสียยิ่งกว่าแสงจันทร์ และสีของมันที่สะท้อนส่องแสดงออกมาก็แปรเปลี่ยนไปทุกห้วงขณะ ทั้งยังมีลำดับแสงสีอันนุ่มลึกชวนให้หลงใหล ปฐมวัตถุแห่งจักรวาลลอยเคว้งอยู่ยาวนานพอๆ กับห้วงเวลาก่อนที่มันจะกำเนิด จนกระทั่งเมื่อถึงห้วงเวลาที่เหมาะสม วัตถุหนึ่งเดียวแห่งจักรวาลนี้ก็แตกดับลง เพื่อจะให้กำเนิดสิ่งใหม่ขึ้นมาในจักรวาล
สิ่งแรกที่ถือกำเนิดออกมานั้น คือดวงจิตอันทรงพลังแก่กล้ายิ่งกว่าสิ่งใดในจักรวาล ไร้ซึ่งรูปร่างที่แน่นอนชัดเจน เป็นเสมือนกลุ่มก้อนพลังงานที่มีความรู้สึกและความสำนึกคิดได้ในตัวเอง ดวงจิตอันแก่กล้านี้มีชื่อเรียกว่า นิฟเทอร์ ซึ่งภายหลังจะได้ถูกสรรเสริญและขนานนามจากเหล่าเทพและผองชนแห่งแสงว่า นิฟเทอร์ยาเรียร์ อันหมายถึง พระผู้สร้าง พระบิดาผู้ให้กำเนิดทุกสรรพสิ่ง
ส่วนสิ่งที่สองซึ่งถือกำเนิดไล่ตามกันมานั้น คือขุมพลังงานที่ปราศจากสำนึกคิดในตนเอง หากแต่ตัวมันได้รวบรวมเอาแสงสว่างของปฐมวัตถุมาไว้ในตัวเอง สิ่งนี้ถูกขนานนามว่า เซเลซาร์ หรือ ดวงไฟเซเลซาร์ หรืออีกชื่อที่รู้จักกันทั่วไปคือดวงไฟอมตะ อันทรงฤทธิ์ที่ดลบันดาลมอบชีวิตให้สรรพสิ่งทั้งหลายในจักรวาล
และสิ่งสุดท้ายซึ่งในเบื้องแรกไม่มีผู้ใดล่วงรู้ถึงการกำเนิดของมัน เนื่องด้วยเมื่อปฐมวัตถุแตกดับลงตัวมันเองซึ่งถือกำเนิดขึ้นเป็นสิ่งสุดท้ายจากการแตกดับนั้นลอยเคว้งออกไปไกลในห้วงสุญญภพ ท่ามกลางความเวิ้งว้างและความกดดันแห่งห้วงสุญญากาศนัน พลังอำนาจส่วนสุดท้ายแห่งปฐมวัตถุนี้กลายเป็นศูนย์กลางของพลังอำนาจอันหิวกระหาย และความมืดมิดทั้งปวงในจักรวาล สิ่งนี้จะเป็นที่รู้จักในภายหลังในชื่อ เซเนรัสร์ ดวงจิตและพลังอำนาจแห่งความมืดมิดของจักรวาล
เมื่อถือกำเนิดขึ้นแล้ว องค์นิฟเทอร์ยาเรียร์ ได้สถิตอยู่เคียงข้างกับดวงไฟเซลาซาร์ ทรงทอดพระเนตรเฝ้ามองดวงไฟอมตะนี้ด้วยความหลงใหล กล่าวกันว่าทรงใช้เวลานานนับหมื่นปีเฝ้ามองดวงไฟอมตะ ทว่าการเฝ้ามองนี้ก็ไม่ใช่แต่เพียงการเฝ้ามองอันไร้แก่นสาร เพราะเมื่อเฝ้ามองมันดวงจิตของพระผู้สร้างก็ยิ่งกล้าแข็งขึ้น จากที่ทรงเป็นเพียงกลุ่มพลังงานไร้รูปขาดร่าง พระองค์ก็เริ่มประกอบสร้างพระวรกายจำแลงขึ้น พร้อมๆ กับพละกำลัง และสติปัญญาของพระองค์ที่ยิ่งปราดเปรื่องและลุ่มลึกยิ่งกว่าเดิมจนเกินที่ผู้ใดจะหยั่งถึงได้
เมื่อดวงจิตของพระองค์ก่อรูปขึ้นจนชัดเจนแล้ว พระองค์ก็ละสายพระเนตรออกจากดวงไฟอมตะเบื้องหน้า พิศมองออกไปยังความเวิ้งว้างว่างเปล่ารอบพระวรกาย จึงทรงตระหนักว่าทั่วทั้งความว่างเปล่านี้ดูจะไร้ซึ่งขอบเขตและปราศจากสรรพสิ่งอื่นใดนอกจากพระองค์เองกับดวงไฟอมตะ ดินแดงแห่งนี้ช่างเปลี่ยวร้างและปราศจากแสงสว่างอื่น เว้นแต่เพียงแสงจากดวงไฟเซเลซาร์ เมื่อนั้นองค์นิฟเทอร์ยาเรียร์จึงใช้พละกำลังอันทรงอำนาจของพระองค์ย่นย่อดวงไฟแห่งเซเลาซาร์ลงจนมีขนาดเท่าอัญมณีชิ้นย่อยๆ แล้วจึงนำดวงไฟนี้มาประดับไว้บนมงกุฎของพระองค์
จากนั้นพระผู้สร้างจึงเสด็จออกไปยังความเวิ้งว้างว่างเปล่าทั้งหลาย โดยมีแสงสว่างจากดวงไฟอมตะบนพระมงกุฏส่องแสงสว่างตลอดเส้นทางเสด็จ พระองค์เสด็จเยือนไปในดินแดนอันว่างเปล่าอย่างไร้จุดหมาย ราวกับทรงค้นหาอะไรบางอย่างที่ดวงจิตของพระองค์เองนั้นก็ยังไม่ทราบได้ว่าทรงกำลังตามหาอะไร หากแต่ในห้วงคำนึงนั้นทรงรับรู้ว่ามีบางสิ่งกำลังเพรียกหาพระองค์อยู่
เมื่อเสด็จไปจนกระทั่งถึงสุดขอบของความเวิ้งว้างนี้องค์นิฟเฟอร์ก็ทรงพบกับจุดสิ้นสุดแห่งห้วงแห่งความว่างเปล่า ณ ที่นั้นไกลออกไปจากความว่างเปล่าคือมหาสมุทรแห่งความมืดมิด มันคือความมืดที่ลึกลับและดำมืดเสียยิ่งกว่าราตรีกาลใด ดำขลับมืดมนเสียยิ่งกว่าทุ่งแห่งความว่างเปล่าที่พระองค์เสด็จผ่านมาทั้งหมด มันคือมหาสมุทรแห่งความมืดที่พยายามดูดกลืนทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้าใกล้มันเข้าไป เพียงแค่จ้องมองก็ราวกับว่าความมืดนี้ช่างดำดิ่งลึกเสียยิ่งกว่าหุบเหวใดและราวกับว่ามันพยายามเชิญชวนทุกคนให้ก้าวเท้าเข้าไปหามัน พระผู้สร้างทรงค้นพบที่นั่นเองว่าเสียงเพรียกที่พระองค์ได้สดับอยู่ในห้วงคำนึงนั้นคือเสียงเพรียกที่ดังมาจากมหาสมุทรแห่งมืดนี้เอง
ระหว่างที่องค์นิฟเทอร์ยาเรียร์ ทรงเพ่งพินิจพิจารณาความมืดมิดเบื้องหน้า พลันก็ปรากฏกลุ่มก้อนพลังงานดำมืดหนึ่งลอยขึ้นเหนือห้วงมหาสมุทรแห่งความมืด มันก่อรูปขึ้นในลักษณะที่ราวกับจะเลียนแบบรูปลักษณ์ของพระผู้สร้าง หากแต่กายนั้นก็ยังไม่ทรงรูปร่างชัดเจน คลื่นพลังงานสีดำขลับหมุนวนอยู่ล้อมรอบตัวมัน พร้อมกับแผ่ขยายดวงจิตแห่งความกระหายหิวที่น่าสะอิดสะเอียน ตลอดจนสร้างบรรยากาศชวนอึดอัดขึ้นด้วยแรงกดดันจากจิตสังหารขนาดมหาศาล
ฉับพลันนั้นเอง ตลื่นพลังงานสีดำขลับก็พุ่งเป็นเส้นสายตรงเข้าหมายจะทำร้ายเทพผู้อยู่เหนือทุกสรรพสิ่ง เมื่อเห็นเช่นนั้นองค์นิฟเทอร์ยาเรียร์มิได้มีท่าทีกริ่งเกรงแต่อย่างใด ทรงยกพระหัตถ์ซ้ายขึ้นเล็กน้อย พลันดวงไฟอมตะบนพระมงกุฎก็เปล่งแสงสว่างสาดทำลายคลื่นพลังสีดำทมิฬให้สลายหายไปราวกับควันที่ถูกลมแรงพัดพาไปหายไปในบันดล
ทว่ากลุ่มก้อนพลังมืดนั้นยังมิได้หยุดยั้งความพยายาม มันซัดคลื่นพลังสีดำใส่พระผู้สร้างอีกระลอกใหญ่ และส่งคลื่นพลังนั้นต่อเนื่องระลอกแล้ว ระลอกเล่า ทว่าทุกความพยายามนั้นก็ไม่บังเกิดผล เพราะเมื่อคลื่นพลังแย้มเข้าใกล้รัศมีแห่งแสงเมื่อใด ก็มีอันต้องสลายตัวไปในฉับพลันทันทีนั้นเอง
เมื่อทรงเห็นว่าเจ้าขุมพลังมืดมิได้ยินยอมลดละความพยายาม องค์นิฟเทอร์ยาเรียร์ จึงยกพระหัตถ์ขวาขึ้น คราวนี้ดวงไฟเซเลซาร์ส่องแสงสว่างจ้ายิ่งกว่าครั้งได้ ปัดเป่าให้กลุ่มพลังมืดมิดนั้นหายไปจนหมดเกลี้ยง ทิ้งไว้แต่เพียงแก่นภายในคลื่นพลังงาน มันคือแก่นแห่งความมืดที่พยายามเลียนแบบรูปลักษณ์ของพระองค์ แม้ว่าจะมีรูปร่างพิกลพิการอัปลักษณ์อยู่มาก และเมื่อไร้ซึ่งกลุ่มพลังงานมืดปกคลุมกาย แก่นแท้ของมันยิ่งส่งคลื่นความกระหายและความโกรธาออกมาเสียยิ่งกว่าก่อน องค์นิฟเทอร์ยาเรียร์รับทราบได้ในทันทีว่าแม้พระองค์อาจเอาชนะสิ่งอัปลักษณ์เบื้องหน้าได้ แต่ก็ไม่อาจทำลายมันให้สลายหายไปได้ ห้วงความคิดอันปราดเปรื่องและรอบรู้ในสรรพสิ่งทั้งหลายร้องบอกแก่พระองค์ถึงต้นกำเนิดแห่งความมืดมิดเบื้องหน้านั้นว่าคือสิ่งสร้างอันกำเนิดร่วมกันมาจากปฐมวัตถุ เมื่อนั้นจึงทรงแย้มพระโอษฐ์แล้วตรัสว่า
“เจ้าผู้เป็นดวงจิตแห่งความมืด เจ้ามิอาจเอาชนะเรา และมิอาจย่างกรายเข้ามายังดินแดนขอบเขตแห่งเราได้ และเราก็ไม่อาจทำลายเจ้าลงได้ ด้วยเจ้าคือส่วนหนึ่งอันเกิดจากแหล่งกำเนิดเดียวกันกับเรา และดวงไฟเซเลซาร์ แม้เจ้าจะเป็นแต่เพียงเศษส่วนเล็กน้อยเท่านั้น”
เมื่อตรัสจบแล้ว พระองค์ได้ยกพระหัตถ์ทั้งสองข้างขึ้นแล้วกวาดพระกรทั้งสองข้างออกไป พร้อมตรัสรับสั่งอีกคราว่า “นี่คือเขตแดนแห่งเรา เบื้องหน้านี้คือเส้นแบ่งที่เจ้ามิอาจย่างกรายเข้ามาได้ จงสถิตอยู่แต่ในดินแดนของเจ้า และจงอยู่เช่นนั้นต่อไป หากเมื่อใดที่เจ้าอาจย่างกรายเข้ามาได้จงรับรู้ไว้ว่านั่นเป็นเพราะความประสงค์แห่งเรา ตอนนี้จงกลับไปยังดินแดนแห่งความมืดมิดของเจ้าเสีย เจ้าผู้ไร้ชื่อขนานนาม”
เมื่อสิ้นรับสั่งนั้น พลันก็ปรากฏกำแพงที่ส่องแสงสว่างวาบขึ้นเบื้องหน้าของพระองค์ กล่าวกันว่ากำแพงนี้ทอดยาวออกไปครอบคลุมปกปิดมหาสมุทรแห่งความมืดเบื้องหน้าเอาไว้ ตัดขาดมันออกจากดินแดนอันว่างเปล่าที่เหลือทั้งหมด แก่นแห่งความมืดที่อยู่ภายในนั้นได้แต่จ้องมองพระผู้สร้างด้วยความโกรธาและอาฆาตอย่างที่สุด ทว่ามันก็ไม่อาจจะกระทำสิ่งใดได้อีก ในที่สุดมันจึงยอมรามือสลายตัวหลบหายไปในคลื่นทะเลแห่งความมืดมิดนั้น แก่นแห่งความมืดนี้ภายหลังถูกเรียกขานจากผองชนแห่งแสงว่า เซเนรัสร์ ซึ่งส่งต่อกันมาในภาษาเอลฟ์ว่าหมายถึงความมืดอันไร้ที่สิ้นสุดและต้นกำเนิดแห่งความชั่วร้ายทั้งมวล ที่เราจะได้กล่าวถึงต่อไปในภายหน้า
(มีต่อ)
ขอคำวิจารณ์บทนำนิยาย High fantasy ด้วยครับ
ปกรณัมนี้เริ่มต้นโดยย้อนกลับไปเนิ่นนาน ณ ห้วงก่อนการถือกำเนิดของทุกสรรพสิ่ง ท่ามกลางสุญญากาศและความว่างเปล่า ไร้ซึ่งกาลเวลา ปราศจากสรรพสิ่ง และสิ่งมีชีวิตใดๆ ทั้งแสงสว่าง และความมืด คงมีแต่เพียงความว่างเปล่าอันอื้ออึง เงียบงันเสียจนชวนให้รู้สึกวาบโหวงอ้างว้าง ตามคำบอกเล่าของเหล่าทวยเทพความเวิ้งว้างเช่นว่านี้ไม่ได้สลายหายไป หากแต่ยังคงดำรงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน ที่ท่ามกลางความว่างเปล่านั้น หลังผ่านห้วงเวลาอันเนิ่นนานก็บังเกิดเศษละอองสสารขนาดเล็กย่อยเสียยิ่งกว่าสรรพสิ่งใดจำนวนมหาศาลลอยเคว้งคว้างกระจัดกระจาย และคงต้องอาศัยระยะเวลายาวนานเกินกว่าที่ใครจะคาดคิดก่อนที่จะทำให้ละอองพลังงานเหล่านี้เริ่มเคลื่อนไหวทีละเล็กทีละน้อย
กาลเวลาผ่านไปนับล้านปี บรรดาละอองพลังงานก็เริ่มขยับเข้าใกล้กันทุกขณะ เมื่อเข้าใกล้กันในระยะที่กระชั้นชิดมากพอละอองสสารหนึ่งก็ผนวกรวมเข้ากับอีกละอองหนึ่ง ดำเนินเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เป็นเท่าทวีจนละอองสสารที่เคยมีขนาดเล็กจิ๋วจนไม่อาจมองเห็นได้ ก็เริ่มรวมตัวขยายขนาดมากขึ้นจนมีขนาดเท่าเศษธุลีที่แม้แต่มนุษย์ก็อาจจะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และคงต้องอาศัยห้วงเวลาอีกนานนับโกฏิปีกว่าที่พวกมันจะรวมตัวกันจนใหญ่โตขึ้นกว่าเดิม ทว่ากระบวนการเหล่านี้ก็ยังดำเนินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง
จนกระทั่งเมื่อถึง ณ จุดหนึ่งละอองธุลีทั้งหลายก็ควบรวมตัวกันเข้าจนกลายเป็นปฐมวัตถุขนาดมหึมา จากเศษละอองพลังงานที่ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า บัดนี้ได้ควบรวมกันเข้าจนกลายไปเป็นกลุ่มก้อนที่ยิ่งใหญ่เสียยิ่งกว่าระบบสุริยจักรวาล เจ้าวัตถุที่ว่านี้มีพลังงานในตนเองและสามารถเปล่งแสงออกมาได้ กล่าวขานกันว่านี่คือแสงแรกที่ปรากฏขึ้นในห้วงประวัติศาสตร์แห่งจักรวาล
หากทว่าแสงสว่างจากปฐมวัตถุนี้ก็มิใช่แสงสว่างดังที่เราชาวมนุษย์เคยได้พานพบ และอันที่จริงคงไม่มีสิ่งใดเคยพานพบแสงสว่างแรกนี้ เล่าลือกันว่าแสงสว่างของมันส่องแสงสว่างรุนแรงเสียยิ่งกว่าแสงอาทิตย์ที่เราคุ้นเคย แต่กลับแผ่ละอองสัมผัสนวลนุ่มเสียยิ่งกว่าแสงจันทร์ และสีของมันที่สะท้อนส่องแสดงออกมาก็แปรเปลี่ยนไปทุกห้วงขณะ ทั้งยังมีลำดับแสงสีอันนุ่มลึกชวนให้หลงใหล ปฐมวัตถุแห่งจักรวาลลอยเคว้งอยู่ยาวนานพอๆ กับห้วงเวลาก่อนที่มันจะกำเนิด จนกระทั่งเมื่อถึงห้วงเวลาที่เหมาะสม วัตถุหนึ่งเดียวแห่งจักรวาลนี้ก็แตกดับลง เพื่อจะให้กำเนิดสิ่งใหม่ขึ้นมาในจักรวาล
สิ่งแรกที่ถือกำเนิดออกมานั้น คือดวงจิตอันทรงพลังแก่กล้ายิ่งกว่าสิ่งใดในจักรวาล ไร้ซึ่งรูปร่างที่แน่นอนชัดเจน เป็นเสมือนกลุ่มก้อนพลังงานที่มีความรู้สึกและความสำนึกคิดได้ในตัวเอง ดวงจิตอันแก่กล้านี้มีชื่อเรียกว่า นิฟเทอร์ ซึ่งภายหลังจะได้ถูกสรรเสริญและขนานนามจากเหล่าเทพและผองชนแห่งแสงว่า นิฟเทอร์ยาเรียร์ อันหมายถึง พระผู้สร้าง พระบิดาผู้ให้กำเนิดทุกสรรพสิ่ง
ส่วนสิ่งที่สองซึ่งถือกำเนิดไล่ตามกันมานั้น คือขุมพลังงานที่ปราศจากสำนึกคิดในตนเอง หากแต่ตัวมันได้รวบรวมเอาแสงสว่างของปฐมวัตถุมาไว้ในตัวเอง สิ่งนี้ถูกขนานนามว่า เซเลซาร์ หรือ ดวงไฟเซเลซาร์ หรืออีกชื่อที่รู้จักกันทั่วไปคือดวงไฟอมตะ อันทรงฤทธิ์ที่ดลบันดาลมอบชีวิตให้สรรพสิ่งทั้งหลายในจักรวาล
และสิ่งสุดท้ายซึ่งในเบื้องแรกไม่มีผู้ใดล่วงรู้ถึงการกำเนิดของมัน เนื่องด้วยเมื่อปฐมวัตถุแตกดับลงตัวมันเองซึ่งถือกำเนิดขึ้นเป็นสิ่งสุดท้ายจากการแตกดับนั้นลอยเคว้งออกไปไกลในห้วงสุญญภพ ท่ามกลางความเวิ้งว้างและความกดดันแห่งห้วงสุญญากาศนัน พลังอำนาจส่วนสุดท้ายแห่งปฐมวัตถุนี้กลายเป็นศูนย์กลางของพลังอำนาจอันหิวกระหาย และความมืดมิดทั้งปวงในจักรวาล สิ่งนี้จะเป็นที่รู้จักในภายหลังในชื่อ เซเนรัสร์ ดวงจิตและพลังอำนาจแห่งความมืดมิดของจักรวาล
เมื่อถือกำเนิดขึ้นแล้ว องค์นิฟเทอร์ยาเรียร์ ได้สถิตอยู่เคียงข้างกับดวงไฟเซลาซาร์ ทรงทอดพระเนตรเฝ้ามองดวงไฟอมตะนี้ด้วยความหลงใหล กล่าวกันว่าทรงใช้เวลานานนับหมื่นปีเฝ้ามองดวงไฟอมตะ ทว่าการเฝ้ามองนี้ก็ไม่ใช่แต่เพียงการเฝ้ามองอันไร้แก่นสาร เพราะเมื่อเฝ้ามองมันดวงจิตของพระผู้สร้างก็ยิ่งกล้าแข็งขึ้น จากที่ทรงเป็นเพียงกลุ่มพลังงานไร้รูปขาดร่าง พระองค์ก็เริ่มประกอบสร้างพระวรกายจำแลงขึ้น พร้อมๆ กับพละกำลัง และสติปัญญาของพระองค์ที่ยิ่งปราดเปรื่องและลุ่มลึกยิ่งกว่าเดิมจนเกินที่ผู้ใดจะหยั่งถึงได้
เมื่อดวงจิตของพระองค์ก่อรูปขึ้นจนชัดเจนแล้ว พระองค์ก็ละสายพระเนตรออกจากดวงไฟอมตะเบื้องหน้า พิศมองออกไปยังความเวิ้งว้างว่างเปล่ารอบพระวรกาย จึงทรงตระหนักว่าทั่วทั้งความว่างเปล่านี้ดูจะไร้ซึ่งขอบเขตและปราศจากสรรพสิ่งอื่นใดนอกจากพระองค์เองกับดวงไฟอมตะ ดินแดงแห่งนี้ช่างเปลี่ยวร้างและปราศจากแสงสว่างอื่น เว้นแต่เพียงแสงจากดวงไฟเซเลซาร์ เมื่อนั้นองค์นิฟเทอร์ยาเรียร์จึงใช้พละกำลังอันทรงอำนาจของพระองค์ย่นย่อดวงไฟแห่งเซเลาซาร์ลงจนมีขนาดเท่าอัญมณีชิ้นย่อยๆ แล้วจึงนำดวงไฟนี้มาประดับไว้บนมงกุฎของพระองค์
จากนั้นพระผู้สร้างจึงเสด็จออกไปยังความเวิ้งว้างว่างเปล่าทั้งหลาย โดยมีแสงสว่างจากดวงไฟอมตะบนพระมงกุฏส่องแสงสว่างตลอดเส้นทางเสด็จ พระองค์เสด็จเยือนไปในดินแดนอันว่างเปล่าอย่างไร้จุดหมาย ราวกับทรงค้นหาอะไรบางอย่างที่ดวงจิตของพระองค์เองนั้นก็ยังไม่ทราบได้ว่าทรงกำลังตามหาอะไร หากแต่ในห้วงคำนึงนั้นทรงรับรู้ว่ามีบางสิ่งกำลังเพรียกหาพระองค์อยู่
เมื่อเสด็จไปจนกระทั่งถึงสุดขอบของความเวิ้งว้างนี้องค์นิฟเฟอร์ก็ทรงพบกับจุดสิ้นสุดแห่งห้วงแห่งความว่างเปล่า ณ ที่นั้นไกลออกไปจากความว่างเปล่าคือมหาสมุทรแห่งความมืดมิด มันคือความมืดที่ลึกลับและดำมืดเสียยิ่งกว่าราตรีกาลใด ดำขลับมืดมนเสียยิ่งกว่าทุ่งแห่งความว่างเปล่าที่พระองค์เสด็จผ่านมาทั้งหมด มันคือมหาสมุทรแห่งความมืดที่พยายามดูดกลืนทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้าใกล้มันเข้าไป เพียงแค่จ้องมองก็ราวกับว่าความมืดนี้ช่างดำดิ่งลึกเสียยิ่งกว่าหุบเหวใดและราวกับว่ามันพยายามเชิญชวนทุกคนให้ก้าวเท้าเข้าไปหามัน พระผู้สร้างทรงค้นพบที่นั่นเองว่าเสียงเพรียกที่พระองค์ได้สดับอยู่ในห้วงคำนึงนั้นคือเสียงเพรียกที่ดังมาจากมหาสมุทรแห่งมืดนี้เอง
ระหว่างที่องค์นิฟเทอร์ยาเรียร์ ทรงเพ่งพินิจพิจารณาความมืดมิดเบื้องหน้า พลันก็ปรากฏกลุ่มก้อนพลังงานดำมืดหนึ่งลอยขึ้นเหนือห้วงมหาสมุทรแห่งความมืด มันก่อรูปขึ้นในลักษณะที่ราวกับจะเลียนแบบรูปลักษณ์ของพระผู้สร้าง หากแต่กายนั้นก็ยังไม่ทรงรูปร่างชัดเจน คลื่นพลังงานสีดำขลับหมุนวนอยู่ล้อมรอบตัวมัน พร้อมกับแผ่ขยายดวงจิตแห่งความกระหายหิวที่น่าสะอิดสะเอียน ตลอดจนสร้างบรรยากาศชวนอึดอัดขึ้นด้วยแรงกดดันจากจิตสังหารขนาดมหาศาล
ฉับพลันนั้นเอง ตลื่นพลังงานสีดำขลับก็พุ่งเป็นเส้นสายตรงเข้าหมายจะทำร้ายเทพผู้อยู่เหนือทุกสรรพสิ่ง เมื่อเห็นเช่นนั้นองค์นิฟเทอร์ยาเรียร์มิได้มีท่าทีกริ่งเกรงแต่อย่างใด ทรงยกพระหัตถ์ซ้ายขึ้นเล็กน้อย พลันดวงไฟอมตะบนพระมงกุฎก็เปล่งแสงสว่างสาดทำลายคลื่นพลังสีดำทมิฬให้สลายหายไปราวกับควันที่ถูกลมแรงพัดพาไปหายไปในบันดล
ทว่ากลุ่มก้อนพลังมืดนั้นยังมิได้หยุดยั้งความพยายาม มันซัดคลื่นพลังสีดำใส่พระผู้สร้างอีกระลอกใหญ่ และส่งคลื่นพลังนั้นต่อเนื่องระลอกแล้ว ระลอกเล่า ทว่าทุกความพยายามนั้นก็ไม่บังเกิดผล เพราะเมื่อคลื่นพลังแย้มเข้าใกล้รัศมีแห่งแสงเมื่อใด ก็มีอันต้องสลายตัวไปในฉับพลันทันทีนั้นเอง
เมื่อทรงเห็นว่าเจ้าขุมพลังมืดมิได้ยินยอมลดละความพยายาม องค์นิฟเทอร์ยาเรียร์ จึงยกพระหัตถ์ขวาขึ้น คราวนี้ดวงไฟเซเลซาร์ส่องแสงสว่างจ้ายิ่งกว่าครั้งได้ ปัดเป่าให้กลุ่มพลังมืดมิดนั้นหายไปจนหมดเกลี้ยง ทิ้งไว้แต่เพียงแก่นภายในคลื่นพลังงาน มันคือแก่นแห่งความมืดที่พยายามเลียนแบบรูปลักษณ์ของพระองค์ แม้ว่าจะมีรูปร่างพิกลพิการอัปลักษณ์อยู่มาก และเมื่อไร้ซึ่งกลุ่มพลังงานมืดปกคลุมกาย แก่นแท้ของมันยิ่งส่งคลื่นความกระหายและความโกรธาออกมาเสียยิ่งกว่าก่อน องค์นิฟเทอร์ยาเรียร์รับทราบได้ในทันทีว่าแม้พระองค์อาจเอาชนะสิ่งอัปลักษณ์เบื้องหน้าได้ แต่ก็ไม่อาจทำลายมันให้สลายหายไปได้ ห้วงความคิดอันปราดเปรื่องและรอบรู้ในสรรพสิ่งทั้งหลายร้องบอกแก่พระองค์ถึงต้นกำเนิดแห่งความมืดมิดเบื้องหน้านั้นว่าคือสิ่งสร้างอันกำเนิดร่วมกันมาจากปฐมวัตถุ เมื่อนั้นจึงทรงแย้มพระโอษฐ์แล้วตรัสว่า
“เจ้าผู้เป็นดวงจิตแห่งความมืด เจ้ามิอาจเอาชนะเรา และมิอาจย่างกรายเข้ามายังดินแดนขอบเขตแห่งเราได้ และเราก็ไม่อาจทำลายเจ้าลงได้ ด้วยเจ้าคือส่วนหนึ่งอันเกิดจากแหล่งกำเนิดเดียวกันกับเรา และดวงไฟเซเลซาร์ แม้เจ้าจะเป็นแต่เพียงเศษส่วนเล็กน้อยเท่านั้น”
เมื่อตรัสจบแล้ว พระองค์ได้ยกพระหัตถ์ทั้งสองข้างขึ้นแล้วกวาดพระกรทั้งสองข้างออกไป พร้อมตรัสรับสั่งอีกคราว่า “นี่คือเขตแดนแห่งเรา เบื้องหน้านี้คือเส้นแบ่งที่เจ้ามิอาจย่างกรายเข้ามาได้ จงสถิตอยู่แต่ในดินแดนของเจ้า และจงอยู่เช่นนั้นต่อไป หากเมื่อใดที่เจ้าอาจย่างกรายเข้ามาได้จงรับรู้ไว้ว่านั่นเป็นเพราะความประสงค์แห่งเรา ตอนนี้จงกลับไปยังดินแดนแห่งความมืดมิดของเจ้าเสีย เจ้าผู้ไร้ชื่อขนานนาม”
เมื่อสิ้นรับสั่งนั้น พลันก็ปรากฏกำแพงที่ส่องแสงสว่างวาบขึ้นเบื้องหน้าของพระองค์ กล่าวกันว่ากำแพงนี้ทอดยาวออกไปครอบคลุมปกปิดมหาสมุทรแห่งความมืดเบื้องหน้าเอาไว้ ตัดขาดมันออกจากดินแดนอันว่างเปล่าที่เหลือทั้งหมด แก่นแห่งความมืดที่อยู่ภายในนั้นได้แต่จ้องมองพระผู้สร้างด้วยความโกรธาและอาฆาตอย่างที่สุด ทว่ามันก็ไม่อาจจะกระทำสิ่งใดได้อีก ในที่สุดมันจึงยอมรามือสลายตัวหลบหายไปในคลื่นทะเลแห่งความมืดมิดนั้น แก่นแห่งความมืดนี้ภายหลังถูกเรียกขานจากผองชนแห่งแสงว่า เซเนรัสร์ ซึ่งส่งต่อกันมาในภาษาเอลฟ์ว่าหมายถึงความมืดอันไร้ที่สิ้นสุดและต้นกำเนิดแห่งความชั่วร้ายทั้งมวล ที่เราจะได้กล่าวถึงต่อไปในภายหน้า
(มีต่อ)