[Remark: บทความนี้เขียนเพื่อแชร์ประสบการณ์ ไม่ได้ขอคำแนะนำตามหัวข้อจ้า]
"เรียนจบแล้ว แต่หางานไม่ได ้ทำไมงานมันถึงหายากจัง"
ปัญหาคลาสสิกสำหรับนักเรียนจบใหม่ไม่ว่าจะเป็นปริญญาตรีหรือโทก็คงจะไม่พ้นวลีดังที่กล่าวมา ซึ่งเราก็เป็นหนึ่งในคนที่เคยคิดถึงปัญหานี้ตลอดเวลาที่เรียนป.โทในปีที่ผ่านมา (2021–2022) เหมือนกันว่าจะสามารถหางานได้หลังเรียนจบหรือไม่ แต่ในขณะนี้ เรา…นักศึกษาต่างชาติระดับป.โท ณ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่สิงคโปร์กลับเผชิญปัญหาอีกอย่างหนึ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะได้เจอเมื่อฝึกงานไปได้เพียงแค่หนึ่งเดือน
"ทางบริษัทอยาก Convert คุณเป็น Full-time employee พร้อมออก Work visa ให้ทันทีใช้เวลาเพียง 3 สัปดาห์ ถ้าคุณตกลงรับ Offer นี้"
ในฐานะนักเรียนต่างชาติคนหนึ่งที่มาเหยียบพื้นดินอยู่ไม่ถึงปี นี่เป็นเรื่องที่ทำให้ชีวิตสับสนมากพอควร ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วเกินไป สับสนไปหมด ตัดสินใจไม่ได้จนต้องปรึกษาหลายๆคน และเราก็มองว่าเป็นเรื่องดีหากจะมาแชร์ประสบการณ์ที่เจอให้เพื่อนๆฟังกัน ขอท้าวความถึงที่มาที่ไปก่อนว่าทำไมถึงตัดสินใจฝึกงาน
เดือนม.ค.-เม.ย. ปี 2022 เป็นช่วงระยะเวลาที่โหดร้ายสำหรับเรามากในการเรียนป.โท ด้าน Data Science & Machine Learning (DS & ML) สาย IT มันเป็นช่วงเวลาติดลูปกับการเรียน การสอบ ทำโปรเจ็กต์ และทำวิจัยวนไปวนมา นอกจากนี้เราก็หาที่ฝึกงานตำแหน่ง Data Science Intern มาบ้างสองสามบริษัทสำหรับทำในช่วงปิดเทอมฤดูร้อน แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจเตรียมตัวสำหรับข้อสอบ Coding ส่วนใหญ่เลยทำข้อสอบไม่ได้และไม่ผ่านคัดเลือก ในช่วงเวลานั้นเราแทบไม่มีเวลาสนุกสนานกับชีวิตเลย การเรียนต่างประเทศครั้งนี้เป็นครั้งที่เครียดที่สุดในชีวิตก็ว่าได้ จนกระทั่งปิดเทอมในเดือนพ.ค. เราตัดสินใจว่าสามเดือนหลังจากนี้ เราจะไม่ฝึกงาน ไม่ทำอะไร ขอพักชีวิตยาวๆก่อนที่จะเริ่มชีวิตใหม่ตอนเปิดเทอมอีกทีเดือนส.ค. เรานั่งเล่นเกมอยู่บ้านทั้งวันหนึ่งเดือนเต็ม หวังว่ามันจะเป็นการผ่อนคลายความเครียด แต่เราก็พบว่าชีวิตมันดูไร้จุดหมายและน่าเบื่อเกินไป เราถึงได้ตัดสินใจเริ่มลองหาที่ฝึกงานตามเว็บต่างๆดู
บทเรียนจากการสมัครงานตำแหน่ง Data Science Intern ทำให้เรารู้ว่าเราเข็นตัวเองไปด้านนี้ไม่ขึ้น เรานั่งหาข้อมูลของลักษณะนิสัยบุคคลที่จะทำงานนี้ได้ดี และพบว่าบุคลิกส่วนใหญ่ตรงข้ามกับของเราโดยสิ้นเชิง (แต่ในอนาคตเราอาจจะกลับมาทำก็ได้ใครจะรู้ อิอิ) เราเลยตัดสินใจหางานที่เหมาะกับบุคลิกของเราที่เป็นอภิมหารโคตร Extrovert และ Collaborative พร้อมได้ใช้ความรู้ทางด้าน DS & ML ที่เรียนมา จนมาเจอตำแหน่งงาน Associate Product Management Intern ในบริษัท Start up ขนาดเล็กของสิงคโปร์ที่พัฒนาแอพเกี่ยวกับระบบ Document Scanning ที่ใช้ความรู้เรื่อง Image Processing, NLP, Machine Learning etc และกำลังพัฒนาระบบให้รับรองภาษาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น ส่วนตัวเราชอบเรียนภาษาต่างประเทศเป็นงานอดิเรกอยู่แล้ว ถ้าทำงานที่นี่อย่างน้อยก็น่าจะช่วยเรื่องพัฒนาระบบเพื่อรองรับภาษาอังกฤษ, ไทย, ลาว และจีนได้
ส่งใบสมัครงานไม่เกินสองสัปดาห์ก็ถูกเรียกสัมภาษณ์งาน สัมภาษณ์งานรอบแรกเกี่ยวกับความรู้ด้านพื้นฐานด้าน Coding และ Machine Learning รอบที่สองเป็นแนว Project Management เราตกลงขอทำงาน Full time (5 วัน/สัปดาห์) ในเดือนก.ค.ที่ปิดเทอมอยู่ และ Part time (3 วัน/สัปดาห์) ในช่วงเปิดเทอมเดือนส.ค.-พ.ย. รวมเวลาทั้งหมด 5 เดือน
สัปดาห์แรกของการทำงาน เรานั่งเรียนรู้ว่าแอพของบริษัททำอะไรได้บ้าง ทำความเข้าใจระบบหน้าบ้านและหลังบ้านของแอพ ซึ่งก็เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างตามภาษาเด็กฝึกงานเข้ามาทำงานใหม่ๆ นอกจากนั้นที่บริษัทมี Project Management Tool ที่เป็นกระดาน/บอร์ด (Kanban board) ที่ใช้ในการกำหนดงานให้ Developer ทำและเอาไว้ดู Roadmap ว่างานชิ้นไหนควรจะเสร็จเมื่อไหร่ ปัญหาหลักที่เราเจอคือข้อมูลบนบอร์ดไม่อัพเดต มั่วเละเทะไปหมด และมีงานค้างอยู่มากกว่าสองร้อยชิ้น งานแรกที่หัวหน้าให้เราจัดการคือทำให้การทำงานของทีมเป็นแนว Agile software development มากขึ้น และสามารถดูข้อมูลจากบอร์ดได้ว่างานชิ้นไหนต้องทำก่อนหรือทำหลัง เราไม่เคยลงมือจริงจังกับ Agile จริงจังมาก่อน ช่วงนั้นเลยต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง และสอบถามจากเพื่อนที่ทำงานด้าน Agile Coach เดือนแรกของการทำงานจะเน้นไปทาง Product Owner และ Scrum Master เสียมากกว่า ด้วยความที่งานเข้ามือมากทำให้เราทำงานไว และสไตล์การทำงานของเราที่ไม่ชอบทำงานตามคำสั่งแบบเป็นขั้นตอน 1, 2, 3… ขอแค่มีหัวข้อกว้างๆมาก็พอ จากนั้นเราจะไปตัดสินใจทำเองในกรอบงานที่เราได้รับโดยที่หัวหน้าไม่ต้องมาดูแลมาก ถ้าติดตรงไหนหรือเราไม่แน่ใจเราถึงค่อยถามแทน นอกจากนี้เรายังเป็นเด็กฝึกงานที่คอยช่วยดูแลน้องเด็กฝึกงานจากอินเดีย (ป.ตรี ปี 2) ที่เข้ามาทำงานระยะสั้นๆเพียงหนึ่งเดือนอีกด้วย
เรารู้สึกว่าหัวหน้าและผู้ใหญ่ในบริษัทค่อนข้างประทับใจกับการทำงานของเรา ซึ่งเราก็ไม่แปลกใจเพราะเราตั้งใจและสนุกกับมันมาก จนเมื่อผ่านไปได้หนึ่งเดือนทางบริษัทเรียกเราไปพบและเสนอให้ทำงานประจำทั้งๆที่เรายังเหลืออีก 1 เทอมเต็มที่ต้องเรียนให้จบ โดยตำแหน่งงานเป็นการต่อยอดจากงานที่เราทำอยู่ปัจจุบันแต่มีงานที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้น ต้องทำงานกับลูกค้าโดยตรงมากขึ้น ซึ่งทางบริษัทก็อยากได้คนมาทำงานแบบ Full time ทางบริษัทแจ้งว่าพร้อมจะทำเรื่องขอ Work Visa (ในสิงคโปร์จะเรียกว่า Employment Pass) กับทางรัฐบาลสิงคโปร์ให้ทันทีถ้าเรารับ Offer นี้
ตอนที่เราได้ยินข้อเสนอนี้ เราช็อคมาก ไม่คิดว่าบริษัทจะตัดสินใจด่วนขนาดนี้เพราะเราเพิ่งฝึกงานได้เพียงหนึ่งเดือน การทำงานในบริษัท Start up ช่างแตกต่างจากบริษัทใหญ่ที่เราเคยทำมาก ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนการทำงานหรือการรับสมัครคน ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และด้วยความที่ตอนนี้สิงคโปร์ขาดแรงงานอย่างหนัก และประเทศก็ทำอะไรรวดเร็วเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว มันเลยเพิ่มทวีคูณความต้องการคนทำงานขึ้นไปอีก มันมีหลายปัจจัยที่ทำให้เราต้องครุ่นคิดและสรุปออกมาได้ดั่งนี้
1. ถ้าเราปฏิเสธข้อเสนอ — ทำ Internship 3 วันต่อสัปดาห์ต่อให้จบถึงเดือนพ.ย. และเรียนอีก 2 วิชาให้จบ เราต้องจ่ายค่าเทอมแบบเหมาจำนวน $23,000 ข้อดีคือหลังจากนั้นเราสามารถยื่นขออยู่ที่สิงคโปร์ได้อีกหนึ่งปีหลังจากเรียนจบเพื่อหางาน เรามีเวลาชิลๆนอนเล่นหรือไปท่องเที่ยวตามที่ต้องการได้อีกหลายเดือน
2. ถ้าเรารับข้อเสนอ — วีซ่านักเรียน (Student Pass) ของเราจะถูกยกเลิกและเปลี่ยนไปถือวีซ่าทำงานแทน (Employment Pass) เรายังสามารถเป็น Part-time student ที่มหาวิทยาลัยได้โดยที่จ่ายเงินค่าเทอม $11,000 และได้ค่าจ้างอย่างน้อยที่สุด $18,000 ภายในเดือนพ.ย. (ยังไม่ได้ตกลงเรื่องเงินเดือนซึ่งถ้าตกลงคงจะมากกว่านี้ ตัวเลขนี้คือรายได้ขั้นต่ำของวีซ่าทำงาน) แต่ถ้าหลังจากนี้เราลาออกจากงานหรือโดนให้ออกเราจะสามารถอยู่สิงคโปร์ได้แค่ 1 เดือน เพื่อหางานที่ทำงานใหม่
ความแตกต่างระหว่างสองตัวเลือกนี้คือ ในเวลาที่เท่ากัน 4 เดือน เราได้กำไรจากตัวเลือกที่สองเป็นเงินอย่างน้อย 175,000 บาท (ตัวเลขที่ประเมินคาดว่าหาได้มากกว่า 325,000 บาท) ในขณะที่ตัวเลือกแรกเราขาดทุนกว่า 425,000 บาท (หักค่าขนมที่ได้จากการเป็นเด็กฝึกงานแล้ว) พอคำนวณเงินออกมาแล้วตัวเลือกที่สองนี่มันช่างน่าดึงดูดเสียยิ่งจริงๆ และเราค่อนข้างกังวลกลัวว่าพอจบมาแล้วจะหางานไม่ได้ มันเลยยิ่งทำให้เราสับสนว่าควรจะรับข้อเสนอนี้ดีไหม
เรานั่งเครียดมากมาหลายวันกับการที่ได้ Job Offer ก่อนเรียนจบไปหนึ่งเทอม ซึ่งมันก็เป็นความเครียดอีกแบบที่แตกต่างจากช่วงที่พยายามหางานแต่ไม่ได้งานนะ เราปรึกษคนรอบตัว ทุกคนแนะนำว่าเราไม่ควรรับข้อเสนอนี้ด้วยเหตุผลด้านล่างเหล่านี้ ซึ่งมันคือจุดประสงค์หลักของโพสต์นี้ที่เราขอรวบรวมมาให้เผื่อมีนักเรียนคนไหนที่อยู่ในสถานการณ์เดียวกับเราจะได้ใช้เป็นเหตุผลประกอบการตัดสินใจ
- คนที่ได้รับผลประโยชน์หลักเลยคือตัวบริษัท ในขณะที่ตัวเราถึงแม้จะได้เงินที่จากการทำงานมากขึ้นแต่ก็จะเสียผลประโยชน์ในเรื่องเวลาที่จะเรียนให้จบ เราอาจต้องเลื่อนจบไปเป็นปี 2023 แทนที่จะจบในปี 2022 ซึ่งค่าเทอมก็ขึ้นราคาทุกๆปี
- ถ้าบริษัทเห็นแววและต้องการตัวเราจริงๆ ระยะเวลา 4 เดือนเขาต้องรอได้ เมื่อพ้นเดือนพ.ย.ที่หมดฝึกงานไปแล้วเราสามารถคุยกับบริษัทได้ว่าเขาต้องการจะจ้างเราต่อไหม
- เราจะเสียโอกาสในการสัมภาษณ์งานบริษัทอื่นๆเพื่อให้รู้ว่างานไหนเหมาะกับเรามากกว่า รวมทั้งเสียโอกาสในการต่อรองเรื่องค่าจ้าง พอจบแล้วเราอาจจะฟลุคได้งานบริษัทดังๆก็เป็นได้ (สาธุ สาธุ)
- เราแน่ใจได้อย่างไรว่าหลักจากนี้ยังจะรู้สึกชอบกับงานที่ทำ เพราะเพิ่งฝึกงานไปได้เพียงแค่หนึ่งเดือนเอง
- เราไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงิน และไม่มีภาระหนี้ มันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรีบหาเงินขนาดนั้นก็ได้
- เราจะเสียโอกาสในการไปท่องเที่ยวหลังเรียนจบ ซึ่งคุณผู้ปกครองท่านเน้นมาหนักมากว่าขอให้ไปเที่ยวสักพักก่อนกลับมาเข้าสู่ระบบการทำงาน เพราะพอเข้าทำงานแล้วเราจะไม่มีเวลาให้เที่ยวอีกหลายทศวรรษ
- สปอนเซอร์หลักตั้งเป้าลงทุนส่งเรามาเรียนไม่ใช่ส่งให้เรามาทำงาน เพราะฉะนั้นเป้าหมายที่เราต้องทำให้สำเร็จคือเรียนให้จบตามที่สปอนเซอร์หลักตั้งใจไว้
พอมาพิจาณาเหตุผลและคำแนะนำที่ได้จากหลายๆคน เราก็ตัดสินใจแล้วว่าเราจะเป็นเด็กฝึกงานต่อไปเพื่อให้เรียนรู้งานไปก่อน พร้อมกับจัดการเรื่องเรียนให้เสร็จสิ้นไปทีละอย่าง แล้วหลังจากนี้ค่อยว่ากันเรื่องหางานใหม่อีกที ด้วยความที่ตอนนี้เรายังมีแรงทำงาน เราก็อยากรีบหางานให้เร็วที่สุด สร้างเนื้อสร้างตัว แต่พอได้รับคำแนะนำจากผู้ใหญ่ที่ผ่านชีวิตมากว่า 60 ปี เราเลยรู้ว่าเราไม่ควรรีบเร่งกับชีวิตตัวเองเกินไป ควรทำอะไรทีละอย่าง ค่อยๆเดินด้วยความเร็วคงที่แต่เดินทางเป็นเวลาได้นานๆ จะดีกับชีวิตที่สุด
หากใครอ่านมาถึงข้อความนี้ก็ขอขอบคุณที่สละเวลามาอ่านประสบการณ์ชีวิตของเรา หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์สำหรับเพื่อนๆและนักเรียนที่ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเราค่ะ
เอารูปมาฝาก: มีวันนึงออกจากบ้านตั้งใจจะไปนั่งทำงานที่ Co-working space แต่ดันลืมที่ชาร์จโน้ตบุ๊คไว้ที่บ้าน
พอถึงที่ทำงานเหลือแบตเตอรี่แค่ 30% เลยตัดสินใจขึ้นรถบัสเปิดคอมทำงานในขณะที่เดินทางกลับบ้านแทน วุ่นวายไปอีกหนอชีวิต...
ฝึกงานไปหนึ่งเดือน บริษัทขอดึงตัวพร้อมออกวีซ่าทำงานให้ทันที แต่เหลืออีกหนึ่งเทอมยังเรียนไม่จบ ตัดสินใจอย่างไรดี?
บทเรียนจากการสมัครงานตำแหน่ง Data Science Intern ทำให้เรารู้ว่าเราเข็นตัวเองไปด้านนี้ไม่ขึ้น เรานั่งหาข้อมูลของลักษณะนิสัยบุคคลที่จะทำงานนี้ได้ดี และพบว่าบุคลิกส่วนใหญ่ตรงข้ามกับของเราโดยสิ้นเชิง (แต่ในอนาคตเราอาจจะกลับมาทำก็ได้ใครจะรู้ อิอิ) เราเลยตัดสินใจหางานที่เหมาะกับบุคลิกของเราที่เป็นอภิมหารโคตร Extrovert และ Collaborative พร้อมได้ใช้ความรู้ทางด้าน DS & ML ที่เรียนมา จนมาเจอตำแหน่งงาน Associate Product Management Intern ในบริษัท Start up ขนาดเล็กของสิงคโปร์ที่พัฒนาแอพเกี่ยวกับระบบ Document Scanning ที่ใช้ความรู้เรื่อง Image Processing, NLP, Machine Learning etc และกำลังพัฒนาระบบให้รับรองภาษาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น ส่วนตัวเราชอบเรียนภาษาต่างประเทศเป็นงานอดิเรกอยู่แล้ว ถ้าทำงานที่นี่อย่างน้อยก็น่าจะช่วยเรื่องพัฒนาระบบเพื่อรองรับภาษาอังกฤษ, ไทย, ลาว และจีนได้
ส่งใบสมัครงานไม่เกินสองสัปดาห์ก็ถูกเรียกสัมภาษณ์งาน สัมภาษณ์งานรอบแรกเกี่ยวกับความรู้ด้านพื้นฐานด้าน Coding และ Machine Learning รอบที่สองเป็นแนว Project Management เราตกลงขอทำงาน Full time (5 วัน/สัปดาห์) ในเดือนก.ค.ที่ปิดเทอมอยู่ และ Part time (3 วัน/สัปดาห์) ในช่วงเปิดเทอมเดือนส.ค.-พ.ย. รวมเวลาทั้งหมด 5 เดือน
สัปดาห์แรกของการทำงาน เรานั่งเรียนรู้ว่าแอพของบริษัททำอะไรได้บ้าง ทำความเข้าใจระบบหน้าบ้านและหลังบ้านของแอพ ซึ่งก็เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างตามภาษาเด็กฝึกงานเข้ามาทำงานใหม่ๆ นอกจากนั้นที่บริษัทมี Project Management Tool ที่เป็นกระดาน/บอร์ด (Kanban board) ที่ใช้ในการกำหนดงานให้ Developer ทำและเอาไว้ดู Roadmap ว่างานชิ้นไหนควรจะเสร็จเมื่อไหร่ ปัญหาหลักที่เราเจอคือข้อมูลบนบอร์ดไม่อัพเดต มั่วเละเทะไปหมด และมีงานค้างอยู่มากกว่าสองร้อยชิ้น งานแรกที่หัวหน้าให้เราจัดการคือทำให้การทำงานของทีมเป็นแนว Agile software development มากขึ้น และสามารถดูข้อมูลจากบอร์ดได้ว่างานชิ้นไหนต้องทำก่อนหรือทำหลัง เราไม่เคยลงมือจริงจังกับ Agile จริงจังมาก่อน ช่วงนั้นเลยต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง และสอบถามจากเพื่อนที่ทำงานด้าน Agile Coach เดือนแรกของการทำงานจะเน้นไปทาง Product Owner และ Scrum Master เสียมากกว่า ด้วยความที่งานเข้ามือมากทำให้เราทำงานไว และสไตล์การทำงานของเราที่ไม่ชอบทำงานตามคำสั่งแบบเป็นขั้นตอน 1, 2, 3… ขอแค่มีหัวข้อกว้างๆมาก็พอ จากนั้นเราจะไปตัดสินใจทำเองในกรอบงานที่เราได้รับโดยที่หัวหน้าไม่ต้องมาดูแลมาก ถ้าติดตรงไหนหรือเราไม่แน่ใจเราถึงค่อยถามแทน นอกจากนี้เรายังเป็นเด็กฝึกงานที่คอยช่วยดูแลน้องเด็กฝึกงานจากอินเดีย (ป.ตรี ปี 2) ที่เข้ามาทำงานระยะสั้นๆเพียงหนึ่งเดือนอีกด้วย
เรารู้สึกว่าหัวหน้าและผู้ใหญ่ในบริษัทค่อนข้างประทับใจกับการทำงานของเรา ซึ่งเราก็ไม่แปลกใจเพราะเราตั้งใจและสนุกกับมันมาก จนเมื่อผ่านไปได้หนึ่งเดือนทางบริษัทเรียกเราไปพบและเสนอให้ทำงานประจำทั้งๆที่เรายังเหลืออีก 1 เทอมเต็มที่ต้องเรียนให้จบ โดยตำแหน่งงานเป็นการต่อยอดจากงานที่เราทำอยู่ปัจจุบันแต่มีงานที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้น ต้องทำงานกับลูกค้าโดยตรงมากขึ้น ซึ่งทางบริษัทก็อยากได้คนมาทำงานแบบ Full time ทางบริษัทแจ้งว่าพร้อมจะทำเรื่องขอ Work Visa (ในสิงคโปร์จะเรียกว่า Employment Pass) กับทางรัฐบาลสิงคโปร์ให้ทันทีถ้าเรารับ Offer นี้
ตอนที่เราได้ยินข้อเสนอนี้ เราช็อคมาก ไม่คิดว่าบริษัทจะตัดสินใจด่วนขนาดนี้เพราะเราเพิ่งฝึกงานได้เพียงหนึ่งเดือน การทำงานในบริษัท Start up ช่างแตกต่างจากบริษัทใหญ่ที่เราเคยทำมาก ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนการทำงานหรือการรับสมัครคน ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และด้วยความที่ตอนนี้สิงคโปร์ขาดแรงงานอย่างหนัก และประเทศก็ทำอะไรรวดเร็วเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว มันเลยเพิ่มทวีคูณความต้องการคนทำงานขึ้นไปอีก มันมีหลายปัจจัยที่ทำให้เราต้องครุ่นคิดและสรุปออกมาได้ดั่งนี้
1. ถ้าเราปฏิเสธข้อเสนอ — ทำ Internship 3 วันต่อสัปดาห์ต่อให้จบถึงเดือนพ.ย. และเรียนอีก 2 วิชาให้จบ เราต้องจ่ายค่าเทอมแบบเหมาจำนวน $23,000 ข้อดีคือหลังจากนั้นเราสามารถยื่นขออยู่ที่สิงคโปร์ได้อีกหนึ่งปีหลังจากเรียนจบเพื่อหางาน เรามีเวลาชิลๆนอนเล่นหรือไปท่องเที่ยวตามที่ต้องการได้อีกหลายเดือน
2. ถ้าเรารับข้อเสนอ — วีซ่านักเรียน (Student Pass) ของเราจะถูกยกเลิกและเปลี่ยนไปถือวีซ่าทำงานแทน (Employment Pass) เรายังสามารถเป็น Part-time student ที่มหาวิทยาลัยได้โดยที่จ่ายเงินค่าเทอม $11,000 และได้ค่าจ้างอย่างน้อยที่สุด $18,000 ภายในเดือนพ.ย. (ยังไม่ได้ตกลงเรื่องเงินเดือนซึ่งถ้าตกลงคงจะมากกว่านี้ ตัวเลขนี้คือรายได้ขั้นต่ำของวีซ่าทำงาน) แต่ถ้าหลังจากนี้เราลาออกจากงานหรือโดนให้ออกเราจะสามารถอยู่สิงคโปร์ได้แค่ 1 เดือน เพื่อหางานที่ทำงานใหม่
ความแตกต่างระหว่างสองตัวเลือกนี้คือ ในเวลาที่เท่ากัน 4 เดือน เราได้กำไรจากตัวเลือกที่สองเป็นเงินอย่างน้อย 175,000 บาท (ตัวเลขที่ประเมินคาดว่าหาได้มากกว่า 325,000 บาท) ในขณะที่ตัวเลือกแรกเราขาดทุนกว่า 425,000 บาท (หักค่าขนมที่ได้จากการเป็นเด็กฝึกงานแล้ว) พอคำนวณเงินออกมาแล้วตัวเลือกที่สองนี่มันช่างน่าดึงดูดเสียยิ่งจริงๆ และเราค่อนข้างกังวลกลัวว่าพอจบมาแล้วจะหางานไม่ได้ มันเลยยิ่งทำให้เราสับสนว่าควรจะรับข้อเสนอนี้ดีไหม
เรานั่งเครียดมากมาหลายวันกับการที่ได้ Job Offer ก่อนเรียนจบไปหนึ่งเทอม ซึ่งมันก็เป็นความเครียดอีกแบบที่แตกต่างจากช่วงที่พยายามหางานแต่ไม่ได้งานนะ เราปรึกษคนรอบตัว ทุกคนแนะนำว่าเราไม่ควรรับข้อเสนอนี้ด้วยเหตุผลด้านล่างเหล่านี้ ซึ่งมันคือจุดประสงค์หลักของโพสต์นี้ที่เราขอรวบรวมมาให้เผื่อมีนักเรียนคนไหนที่อยู่ในสถานการณ์เดียวกับเราจะได้ใช้เป็นเหตุผลประกอบการตัดสินใจ
- คนที่ได้รับผลประโยชน์หลักเลยคือตัวบริษัท ในขณะที่ตัวเราถึงแม้จะได้เงินที่จากการทำงานมากขึ้นแต่ก็จะเสียผลประโยชน์ในเรื่องเวลาที่จะเรียนให้จบ เราอาจต้องเลื่อนจบไปเป็นปี 2023 แทนที่จะจบในปี 2022 ซึ่งค่าเทอมก็ขึ้นราคาทุกๆปี
- ถ้าบริษัทเห็นแววและต้องการตัวเราจริงๆ ระยะเวลา 4 เดือนเขาต้องรอได้ เมื่อพ้นเดือนพ.ย.ที่หมดฝึกงานไปแล้วเราสามารถคุยกับบริษัทได้ว่าเขาต้องการจะจ้างเราต่อไหม
- เราจะเสียโอกาสในการสัมภาษณ์งานบริษัทอื่นๆเพื่อให้รู้ว่างานไหนเหมาะกับเรามากกว่า รวมทั้งเสียโอกาสในการต่อรองเรื่องค่าจ้าง พอจบแล้วเราอาจจะฟลุคได้งานบริษัทดังๆก็เป็นได้ (สาธุ สาธุ)
- เราแน่ใจได้อย่างไรว่าหลักจากนี้ยังจะรู้สึกชอบกับงานที่ทำ เพราะเพิ่งฝึกงานไปได้เพียงแค่หนึ่งเดือนเอง
- เราไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงิน และไม่มีภาระหนี้ มันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรีบหาเงินขนาดนั้นก็ได้
- เราจะเสียโอกาสในการไปท่องเที่ยวหลังเรียนจบ ซึ่งคุณผู้ปกครองท่านเน้นมาหนักมากว่าขอให้ไปเที่ยวสักพักก่อนกลับมาเข้าสู่ระบบการทำงาน เพราะพอเข้าทำงานแล้วเราจะไม่มีเวลาให้เที่ยวอีกหลายทศวรรษ
- สปอนเซอร์หลักตั้งเป้าลงทุนส่งเรามาเรียนไม่ใช่ส่งให้เรามาทำงาน เพราะฉะนั้นเป้าหมายที่เราต้องทำให้สำเร็จคือเรียนให้จบตามที่สปอนเซอร์หลักตั้งใจไว้
พอมาพิจาณาเหตุผลและคำแนะนำที่ได้จากหลายๆคน เราก็ตัดสินใจแล้วว่าเราจะเป็นเด็กฝึกงานต่อไปเพื่อให้เรียนรู้งานไปก่อน พร้อมกับจัดการเรื่องเรียนให้เสร็จสิ้นไปทีละอย่าง แล้วหลังจากนี้ค่อยว่ากันเรื่องหางานใหม่อีกที ด้วยความที่ตอนนี้เรายังมีแรงทำงาน เราก็อยากรีบหางานให้เร็วที่สุด สร้างเนื้อสร้างตัว แต่พอได้รับคำแนะนำจากผู้ใหญ่ที่ผ่านชีวิตมากว่า 60 ปี เราเลยรู้ว่าเราไม่ควรรีบเร่งกับชีวิตตัวเองเกินไป ควรทำอะไรทีละอย่าง ค่อยๆเดินด้วยความเร็วคงที่แต่เดินทางเป็นเวลาได้นานๆ จะดีกับชีวิตที่สุด
หากใครอ่านมาถึงข้อความนี้ก็ขอขอบคุณที่สละเวลามาอ่านประสบการณ์ชีวิตของเรา หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์สำหรับเพื่อนๆและนักเรียนที่ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเราค่ะ