คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 5
พิจารณาจากลำดับศักดินาของพระราชวงศ์และขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในสมัยอยุทธยา จะเป็นดังนี้ครับ (บรรดาศักดิ์ไม่ตายตัว)
ศักดินา 100,000 ไร่ พระมหาอุปราช
ศักดินา 50,000 ไร่ สมเด็จพระอนุชาธิราชที่ได้ทรงกรม
ศักดินา 40,000 ไร่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอที่ได้ทรงกรม
ศักดินา 20,000 ไร่ สมเด็จพระอนุชาธิราชที่ไม่ได้ทรงกรม
ศักดินา 15,000 ไร่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอที่ไม่ได้ทรงกรม พระอนุชาที่ได้ทรงกรม พระเจ้าลูกเธอที่ได้ทรงกรม สมเด็จพระเจ้าหลานเธอที่ได้ทรงกรม
ศักดินา 11,000 ไร่ พระเจ้าหลานเธอที่ได้ทรงกรม
ศักดินา 10,000 ไร่ เจ้าพระยามหาอุปราช สมุหนายก สมุหพระกลาโหม จตุสดมภ์ พระยารามจัตุรงค์ จางวางอาสาหกเหล่า พระยาศรีราชเดโชไชย เจ้ากรมอาสาหกเหล่าขวา พระยาศรีราชเดชไชยท้ายน้ำ เจ้ากรมอาสาหกเหล่าซ้าย พระยาพระเสด็จ จางวางธรรมการ พระมหาราชครูกรมลูกขุน เจ้าเมืองชั้นเอก เจ้าเมืองชั้นโท เจ้าเมืองชั้นตรี (พระไอยการตำแหน่งนาทหารหัวเมืองในกฎหมายตราสามดวง สมัยรัชกาลที่ 1 ลดศักดินาเจ้าเมืองชั้นตรีเหลือ 5,000 ไร่)
ศักดินา 7,000 ไร่ พระอนุชาที่ไม่ได้ทรงกรม
ศักดินา 6,000 ไร่ พระเจ้าลูกเธอที่ไม่ได้ทรงกรม สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ
ศักดินา 5,000 ไร่ ระดับจางวางหรือเจ้ากรม ได้แก่ พระอุไทยธรรม์ เจ้ากรมเครื่องต้น พระราชสุภาวดี จางวางกรมพระสุรัสวดีกลาง พระเพทราชา สมุหพระคชบาลจางวางขวา พระสุรินทราชา สมุหพระคชบาลจางวางซ้าย พระเพชรพิไชย จางวางกรมล้อมพระราชวัง พระราชภักดี จางวางกรมพระคลังมหาสมบัติ พระราชครูกรมลูกขุน พระศรีภูริปรีชา เจ้ากรมพระอาลักษณ์ พระพิไชยสงคราม เจ้ากรมอาสาซ้าย พระรามกำแหง เจ้ากรมอาสาขวา พระพิไชยรณฤทธิ์ เจ้ากรมเขนทองขวา พระวิชิตณรงค์ เจ้ากรมเขนทองซ้าย
ศักดินา 4,000 ไร่ พระเจ้าหลานเธอไม่ได้ทรงกรม
ศักดินา 3,000 ไร่ ระดับจางวางหรือเจ้ากรม ได้แก่ หลวงมหาอำมาตยาธิบดี เจ้ากรมมหาดไทยฝ่ายเหนือ พระศรีพิพัฒน์รัตนโกษา เจ้ากรมพระคลังสินค้า พระราชฤทธานนท์ เจ้ากรมวังนอก พระนนทเสน เจ้ากรมวังนอก พระธรรมเสนา เจ้ากรมข้าพระ พระอินทราทิต สมุหพระสนมซ้าย พระจันทราทิต สมุหพระสนมขวา พระเนาวรัชโชดธิบดินทราธรรมธาเศรษฐี เจ้ากรมเศรษฐี ออกพระเทพาธิบดี สมุหเจ้ากรมพระสัสดีซ้าย ออกพระศรีสุเรนทราธิบดี สมุหเจ้ากรมพระสัสดีขวา หลวงกำแพง สมุหพระคชบาลขวา หลวงราชวังเมือง สมุหพระคชบาลซ้าย พระยาศรีสุริยภาหะ สมุหพระอัศวราช ตำแหน่งพระในกรมลูกขุน พระศรีไกรลาศราชเศรษฐี เจ้ากรมช่างเงิน พระราไชยมไหสุริยาธิบดี เจ้ากรมพระคลังในซ้าย พระสมบัติบาล เจ้ากรมพระคลังในขวา พระราชประสิทธิ์ เจ้ากรมพระคลังวิเศษ พระโหราธิบดี เจ้ากรมโหรหน้า พระธรรมไตรโลก เจ้ากรมพระกลาโหมฝ่ายนอก พระยาอภัยรณฤทธิ์ จางวางกรมพระตำรวจซ้าย พระยาอนุชิตราชา จางวางกรมพระตำรวจขวา พระราชสงคราม จางวางทหารในกลาง เจ้าพระยามหาโยธา จางวางกรมอาสามอญ ปลัดเจ้าเมืองชั้นเอก เจ้าเมืองชั้นจัตวา
ศักดินา 2,400 ไร่ ระดับเจ้ากรม ได้แก่ หลวงจ่าแสนบดีบริบาล เจ้ากรมมหาดไทยฝ่ายพลำภัง หลวงมงคลรัตนราชมนตรี สมุหสรรพากรใน หลวงอินทรมนตรีศรีจันทรกุมาร สมุหสรรพากรนอก หลวงทรงพลราบ เจ้ากรมพระอัศวราชขวา หลวงปราบพลแสน เจ้ากรมพระอัศวราชซ้าย หลวงศรีสาวราชภักดีศรีสมุหะ เจ้ากรมพระกลาโหมฝ่ายพลำภัง
ศักดินา 2,000 ไร่ ระดับจางวางหรือเจ้ากรม ได้แก่ หลวงพิไชยมนตรี เจ้ากรมม้าแซงในขวา หลวงศรีอัศเดช เจ้ากรมม้าแซงในซ้าย หลวงวิสูตอัศร เจ้ากรมม้าแซงนอกขวา หลวงสุนธรเทพ เจ้ากรมม้าแซงนอกซ้าย พระยาแพทยพงษา จางวางกรมแพทยาโรงพระโอสถ หลวงมหามนตรี สมุหเจ้ากรมพระตำรวจในขวา หลวงมหาเทพ สมุหเจ้ากรมพระตำรวจในซ้าย หลวงพิเรนทรเทพ เจ้ากรมพระตำรวจใหญ่ขวา หลวงอินทรเทพ เจ้ากรมพระตำรวจใหญ่ซ้าย พระราชวังสรรค์ จางวงกรมอาสาจาม
ศักดินา 1,600 ไร่ ระดับเจ้ากรม หรือปลัดทูลฉลอง ได้แก่ ขุนอินอัคเนศวร เจ้ากรมฉางเข้าบาตร หลวงอินมูลบาลเศรษฐี พระศรีวิโรทเศรษฐี พระศรีธรรมบาลเศรษฐี พระพิเดชสงคราม เจ้ากรมเขื่อนเพชรล้อมพระราชวังขวา หลวงรามพิไชย เจ้ากรมเขื่อนขันธ์ล้อมพระราชวังซ้าย พระศรีมโหสถ เจ้ากรมแพทยาหน้า พระศรีศักราช เจ้ากรมแพทยาหลัง หลวงราชรักษา เจ้ากรมหมอนวดขวา หลวงราโช เจ้ากรมหมอนวดซ้าย ขุนสรประเสริฐ ราชปลัดทูลฉลองกรมพระอาลักษณ์ หลวงโลกทีป เจ้ากรมโหรหลัง พระมหาสงคราม เจ้ากรมทวนทองขวา พระอนุรักษโยธา เจ้ากรมทวนทองซ้าย หลวงราชรินทร์ เจ้ากรมพระตำรวจนอกขวา หลวงอินทรเดชะ เจ้ากรมพระตำรวจนอกซ้าย หลวงพรหมบริรักษ์ เจ้ากรมสนมทหารขวา หลวงสุริยภักดี เจ้ากรมสนมทหารซ้าย หลวงวิสูตโยธามาตย์ เจ้ากรมทหารในขวา หลวงราชโยธาเทพ เจ้ากรมทหารในซ้าย พระยาอุดมราชา เจ้ากรมกลิอ่อง พระยาพระราม เจ้ากรมดั้งทองขวา พระยาเกียน เจ้ากรมดั้งทองซ้าย พระยานครอินทร์ เจ้ากรมดาบสองมือกลาง หลวงษรเสนี เจ้ากรมอาสาจามขวา หลวงศรีมหาราชา เจ้ากรมอาสาจามซ้าย หลวงลักษมาณา เจ้ากรมอาสาจามขวา หลวงสุรินทเสนี เจ้ากรมอาสาจามซ้าย ตำแหน่ง มหาดไทย พล ยกกระบัตร ของหัวเมืองชั้นเอก
ศักดินา 1,500 ไร่ หม่อมเจ้าซึ่งถือเป็นอนุวงศ์และเป็นเจ้าชั้นสุดท้าย ขุนในกรมลูกขุนคือ ขุนไชยอาญามหาวิสุทธปรีชาจารย์ ขุนจินดาพิรมยพรมเทพวิสุทธิวงษาจารย์
ต่ำลงกว่านี้ยังมีศักดินาตั้งแต่ 1,400 1,200 1,000 800 600 500 400 300 200 150 100 80 50 30 25 20 15 10 5 ไร่
เชื้อพระวงศ์ที่ไม่ได้เป็นเจ้าแล้ว จะมีตำแหน่งเจ้าราชนิกุลขี่ช้างค่ายต้นเชือก ศักดินา 1,000 ไร่ เจ้าราชนิกุลขี่ช้างค้ำปลายเชือก ขี่ม้า ขี่โขลงกระบือ ศักดินา 800 ไร่ หม่อมราชวงศ์ ศักดินา 500 ไร่
สำหรับโอรสพระมหากษัตริย์ที่เป็นลูกสนม มีสถานะเป็น "พระองค์เจ้า" คือเป็นพระเจ้าลูกเธอ หรืออาจเป็นพระอนุชาต่างมารดากับพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบัน หากไม่ได้ทรงกรมจะมีศักดินา 6,000 หรือ 7,000 ไร่ สูงกว่าขุนนางทั้งหมดยกเว้นขุนนางชั้นนาหมื่น แต่หากได้ทรงกรมจะมีศักดินา 15,000 ไร่ สูงกว่าขุนนางชั้นนาหมื่น ดังนั้นสถานะจึงดูก้ำกึ่งอยู่ขึ้นอยู่ว่าได้ทรงกรมหรือไม่
เรื่องใครหลบหลีกขบวนให้ใครคงตอบชัดเจนยาก เพราะไม่ได้ปรากฏหลักฐานในสมัยอยุทธยาชัดเจน แต่สันนิษฐานว่าโดยทั่วไปผู้มีศักดินาน้อยควรจะหลีกทางให้ผู้มีศักดินาสูงกว่า นอกจากนี้น่าจะขึ้นอยู่กับอิทธิพลและบารมีของแต่บุคคลด้วย เจ้านายชั้นผู้น้อยอาจต้องหลีกทางให้เจ้าพระยาหรือพระยานาหมื่นที่มีอิทธิพลมากกว่าก็ได้ กลับกันลูกสนมที่ได้รับความโปรดปรานจากพระมหากษัตริย์ก็อาจจะทำให้เสนาบดีผู้ใหญ่แสดงความอ่อนน้อมได้เช่นกัน
ทำนองเดียวกับมหาดเล็กที่มีศักดินาน้อย อาจมีอิทธิพลยิ่งกว่าขุนนางผู้ใหญ่ที่มีศักดินาสูง เพราะมักเป็นบุตรขุนนางมีตระกูล ถวายงานใกล้ชิดได้รับฟังพระราชกระแสพระเจ้าแผ่นดิน เพ็ดทูลสิ่งต่างๆ ได้ง่าย จึงมีเกียรติยศเป็นที่นับถือยำเกรงมากครับ
พิจารณาจากกฎมณเฑียรบาลที่บัญญัติสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถ (รูปแบบธรรมเนียมอาจไม่เหมือนกับสมัยอยุทธยาตอนปลาย) ตำแหน่งลูกสนมคือ "พระเยาวราช" ซึ่งเป็นพระราชกุมารระดับต่ำสุด ดูจะไม่ได้มีสถานะสูงนัก พระราชกุมารชั้นสูงกว่ามียานขี่ คือ สมเด็จหน่อพระพุทธเจ้าที่เกิดด้วยพระอัครมเหสีขี่ทิพยานทอง มีอภิรุม 3 ชั้น พระมหาอุปราชที่เกิดด้วยแม่หยัวเมืองขี่ทิพยานนาก มีอภิรุม 2 ชั้น พระเจ้าลูกเธอกินเมืองที่เกิดด้วยลูกหลวงหลานหลวงขี่พระยานมาศกลีบบัว มีอภิรุมกลีบทองกั้นกรรชิงหุ้มผ้าแดง แต่พระเยาวราชไม่มียานขี่ ให้มีเพียงช้างกับม้าอย่างละตัว กับคน 20 คน มีอภิรุมกลีบทองกั้นกรรชิงหุ้มผ้าแดงเหมือนพระเจ้าลูกเธอกินเมือง
ในขณะที่ผู้มีศักดินา 10,000 ในเมืองได้ขี่ยั่ว มีกรรชิงหุ้มผ้าขาว ศักดินา 10,000 ในหัวเมืองได้ขี่คานหามเก้าอี้ มีกรรชิงหุ้มผ้าขาว ศักดินา 5,000 ไร่ขี่ยั่ว มีร่มทงยู ศักดินา 3,000 ไร่ ขี่ยาน
ผู้มีศักดินา 10,000 ที่ "กินเมืองทัง ๔ ฝ่าย" (สันนิษฐานว่าเป็นเมืองพญามหานครสำคัญคือ พิษณุโลก สวรรคโลก สุโขทัย กำแพงเพชร ซึ่งปรากฏหลักฐานว่ายังเป็นเมืองที่มีความสำคัญสูงสุดอยู่ในสมัยพระเจ้าปราสาททอง) มีเครื่องยศเครื่องสูงจำนวนมาก คือ มีร่มปลิกสองคัน ทานตะวันเบื้อคู่หนึ่ง กรรชิงหุ้มผ้าแดงคันหนึ่ง เรือกูบแมงดาคฤ 3 ตอนบดลาดสาวตคุกหัวท้ายนั่งหน้าสอง คานหามเก้าอี้ทอง ศิรเพศมวยทอง แตรลางโพง 3 คู่ และปี่กลอง เมื่อมาถึงขนอนหลวงให้ลดเครื่องยศทั้งปวง เหลือแค่กรรชิงกับคานหาม ดูมีเกียรติยศมากกว่าพระเยาวราชเสียอีกครับ
มีหลักฐานว่าเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่สมัยอยุทธยาบางคนได้รับเกียรติยศพิเศษเสมอเจ้านาย เช่น ตำแหน่งเจ้าพระยามหาอุปราช ที่เป็นอัครมหาเสนาบดีสูงกว่าสมุหนายกและสมุหพระกลาโหม สามารถนั่งเฝ้าต่อหน้าพระมหากษัตริย์ได้โดยไม่ต้องหมอบกราบเหมือนขุนนางทั่วไป และเรียกคำสั่งว่า "พระประศาสน์" (หรือ 'พระสาศน') อย่างสมเด็จพระเจ้าลูกเธอกินเมือง ซึ่งสันนิษฐานว่าจะมีเกียรติยศและอิทธิพลสูงกว่าเจ้านายระดับล่าง โดยอาจอยู่ในระดับเดียวกับเจ้าต่างกรม
เจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ (อู่) ว่าที่โกษาธิบดี ในรัชกาลพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เป็นเสนาบดีคนสำคัญที่ช่วยเหลือพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศให้ได้ราชสมบัติ มีหลักฐานฝ่ายลังกาที่บ่งชี้ว่าถูกยกสถานะขึ้นเป็นเจ้าพระยามหาอุปราชด้วย หลังจากถึงแก่อสัญกรรมได้รับพระราชทานเกียรติยศเสมอเจ้า ให้สวมชฎาใส่เครื่องประดับสร้อยสังวาลย์เรียกศพว่า "พระศพ" ทำเมรุที่วัดไชยวัฒนาราม เมื่อฌาปณกิจให้มีขบวนเรือชักพระศพอย่างพระศพลูกหลวง และเสด็จไปพระราชทานเพลิงด้วยพระองค์เอง
ในสมัยธนบุรีและรัตนโกสินทร์ตอนต้นไม่ได้ตั้งตำแหน่งเจ้าพระยามหาอุปราช แต่มีการพระราชทานเกียรติยศพิเศษให้เจ้าพระยาบางคนมีสถานะเสมอเจ้านาย มีเสลี่ยงงากั้นกลดเครื่องยศเสมอเจ้าต่างกรม จึงถูกเรียกขานว่าเป็น "สมเด็จ" หรือ "สมเด็จเจ้าพระยา" และมีอิทธิพลในราชสำนักสูงมาก ดังเช่นรัชกาลที่ 1 เมื่อเป็นเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกในสมัยธนบุรี หรือเจ้าพระยาอภัยภูธร (น้อย) สมุหนายกในรัชกาลที่ 3 ที่พบหลักฐานว่ามีเกียรติยศและอำนาจไม่ต่างจากเจ้าและเหนือกว่าเจ้าต่างกรมบางองค์ด้วย (แต่ในทางปฏิบัติยังเป็นเจ้าพระยาอยู่ อาจมีตั้งแต่สมัยปลายอยุทธยาแล้ว เพราะมีหลักฐานกล่าวถึง 'สมเด็จเจ้าพระยามหาสมบัติ' ในสมัยกรุงเก่า ผู้เป็นอาของเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ สันนิษฐานว่าเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ก็อาจถูกเรียกลำลองว่าเป็น 'สมเด็จ' เช่นเดียวกัน)
ในรัชกาลที่ 4 จึงได้ตั้งบรรดาศักดิ์ "สมเด็จเจ้าพระยา" เป็นบรรดาศักดิ์สูงสุดของขุนนางสำหรับพระราชทานให้เสนาบดีสกุลบุนนาคที่สนับสนุนพระองค์เป็นกษัตริย์ ให้มีเครื่องยศอย่างพระองค์เจ้าต่างกรม แต่เพิ่มศักดินาเป็น 30,000 ไร่ มากกว่าจตุสดมภ์ 3 เท่า มากกว่าพระองค์เจ้าต่างกรม 2 เท่า อำนาจทางการเมืองตกอยู่กับสกุลบุนนาค และขึ้นสู่จุดสูงสุดในรุ่นของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ที่มีอำนาจมากจนเจ้านายที่พระราชวงศ์ต่างพากันเกรงกลัว พระเจ้าลูกเธอในรัชกาลที่ 4 ที่ยังทรงพระเยาว์ยังต้องหมอบกราบ ดังที่ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นราชศักดิ์สโมสร ทรงเล่าให้หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล ไว้ว่า "เรากลัวเขาจริง พอคลานผ่านที่เขาเอกเขนกอยู่ละก็ เราหมอบกราบกันราบเทียว"
ศักดินา 100,000 ไร่ พระมหาอุปราช
ศักดินา 50,000 ไร่ สมเด็จพระอนุชาธิราชที่ได้ทรงกรม
ศักดินา 40,000 ไร่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอที่ได้ทรงกรม
ศักดินา 20,000 ไร่ สมเด็จพระอนุชาธิราชที่ไม่ได้ทรงกรม
ศักดินา 15,000 ไร่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอที่ไม่ได้ทรงกรม พระอนุชาที่ได้ทรงกรม พระเจ้าลูกเธอที่ได้ทรงกรม สมเด็จพระเจ้าหลานเธอที่ได้ทรงกรม
ศักดินา 11,000 ไร่ พระเจ้าหลานเธอที่ได้ทรงกรม
ศักดินา 10,000 ไร่ เจ้าพระยามหาอุปราช สมุหนายก สมุหพระกลาโหม จตุสดมภ์ พระยารามจัตุรงค์ จางวางอาสาหกเหล่า พระยาศรีราชเดโชไชย เจ้ากรมอาสาหกเหล่าขวา พระยาศรีราชเดชไชยท้ายน้ำ เจ้ากรมอาสาหกเหล่าซ้าย พระยาพระเสด็จ จางวางธรรมการ พระมหาราชครูกรมลูกขุน เจ้าเมืองชั้นเอก เจ้าเมืองชั้นโท เจ้าเมืองชั้นตรี (พระไอยการตำแหน่งนาทหารหัวเมืองในกฎหมายตราสามดวง สมัยรัชกาลที่ 1 ลดศักดินาเจ้าเมืองชั้นตรีเหลือ 5,000 ไร่)
ศักดินา 7,000 ไร่ พระอนุชาที่ไม่ได้ทรงกรม
ศักดินา 6,000 ไร่ พระเจ้าลูกเธอที่ไม่ได้ทรงกรม สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ
ศักดินา 5,000 ไร่ ระดับจางวางหรือเจ้ากรม ได้แก่ พระอุไทยธรรม์ เจ้ากรมเครื่องต้น พระราชสุภาวดี จางวางกรมพระสุรัสวดีกลาง พระเพทราชา สมุหพระคชบาลจางวางขวา พระสุรินทราชา สมุหพระคชบาลจางวางซ้าย พระเพชรพิไชย จางวางกรมล้อมพระราชวัง พระราชภักดี จางวางกรมพระคลังมหาสมบัติ พระราชครูกรมลูกขุน พระศรีภูริปรีชา เจ้ากรมพระอาลักษณ์ พระพิไชยสงคราม เจ้ากรมอาสาซ้าย พระรามกำแหง เจ้ากรมอาสาขวา พระพิไชยรณฤทธิ์ เจ้ากรมเขนทองขวา พระวิชิตณรงค์ เจ้ากรมเขนทองซ้าย
ศักดินา 4,000 ไร่ พระเจ้าหลานเธอไม่ได้ทรงกรม
ศักดินา 3,000 ไร่ ระดับจางวางหรือเจ้ากรม ได้แก่ หลวงมหาอำมาตยาธิบดี เจ้ากรมมหาดไทยฝ่ายเหนือ พระศรีพิพัฒน์รัตนโกษา เจ้ากรมพระคลังสินค้า พระราชฤทธานนท์ เจ้ากรมวังนอก พระนนทเสน เจ้ากรมวังนอก พระธรรมเสนา เจ้ากรมข้าพระ พระอินทราทิต สมุหพระสนมซ้าย พระจันทราทิต สมุหพระสนมขวา พระเนาวรัชโชดธิบดินทราธรรมธาเศรษฐี เจ้ากรมเศรษฐี ออกพระเทพาธิบดี สมุหเจ้ากรมพระสัสดีซ้าย ออกพระศรีสุเรนทราธิบดี สมุหเจ้ากรมพระสัสดีขวา หลวงกำแพง สมุหพระคชบาลขวา หลวงราชวังเมือง สมุหพระคชบาลซ้าย พระยาศรีสุริยภาหะ สมุหพระอัศวราช ตำแหน่งพระในกรมลูกขุน พระศรีไกรลาศราชเศรษฐี เจ้ากรมช่างเงิน พระราไชยมไหสุริยาธิบดี เจ้ากรมพระคลังในซ้าย พระสมบัติบาล เจ้ากรมพระคลังในขวา พระราชประสิทธิ์ เจ้ากรมพระคลังวิเศษ พระโหราธิบดี เจ้ากรมโหรหน้า พระธรรมไตรโลก เจ้ากรมพระกลาโหมฝ่ายนอก พระยาอภัยรณฤทธิ์ จางวางกรมพระตำรวจซ้าย พระยาอนุชิตราชา จางวางกรมพระตำรวจขวา พระราชสงคราม จางวางทหารในกลาง เจ้าพระยามหาโยธา จางวางกรมอาสามอญ ปลัดเจ้าเมืองชั้นเอก เจ้าเมืองชั้นจัตวา
ศักดินา 2,400 ไร่ ระดับเจ้ากรม ได้แก่ หลวงจ่าแสนบดีบริบาล เจ้ากรมมหาดไทยฝ่ายพลำภัง หลวงมงคลรัตนราชมนตรี สมุหสรรพากรใน หลวงอินทรมนตรีศรีจันทรกุมาร สมุหสรรพากรนอก หลวงทรงพลราบ เจ้ากรมพระอัศวราชขวา หลวงปราบพลแสน เจ้ากรมพระอัศวราชซ้าย หลวงศรีสาวราชภักดีศรีสมุหะ เจ้ากรมพระกลาโหมฝ่ายพลำภัง
ศักดินา 2,000 ไร่ ระดับจางวางหรือเจ้ากรม ได้แก่ หลวงพิไชยมนตรี เจ้ากรมม้าแซงในขวา หลวงศรีอัศเดช เจ้ากรมม้าแซงในซ้าย หลวงวิสูตอัศร เจ้ากรมม้าแซงนอกขวา หลวงสุนธรเทพ เจ้ากรมม้าแซงนอกซ้าย พระยาแพทยพงษา จางวางกรมแพทยาโรงพระโอสถ หลวงมหามนตรี สมุหเจ้ากรมพระตำรวจในขวา หลวงมหาเทพ สมุหเจ้ากรมพระตำรวจในซ้าย หลวงพิเรนทรเทพ เจ้ากรมพระตำรวจใหญ่ขวา หลวงอินทรเทพ เจ้ากรมพระตำรวจใหญ่ซ้าย พระราชวังสรรค์ จางวงกรมอาสาจาม
ศักดินา 1,600 ไร่ ระดับเจ้ากรม หรือปลัดทูลฉลอง ได้แก่ ขุนอินอัคเนศวร เจ้ากรมฉางเข้าบาตร หลวงอินมูลบาลเศรษฐี พระศรีวิโรทเศรษฐี พระศรีธรรมบาลเศรษฐี พระพิเดชสงคราม เจ้ากรมเขื่อนเพชรล้อมพระราชวังขวา หลวงรามพิไชย เจ้ากรมเขื่อนขันธ์ล้อมพระราชวังซ้าย พระศรีมโหสถ เจ้ากรมแพทยาหน้า พระศรีศักราช เจ้ากรมแพทยาหลัง หลวงราชรักษา เจ้ากรมหมอนวดขวา หลวงราโช เจ้ากรมหมอนวดซ้าย ขุนสรประเสริฐ ราชปลัดทูลฉลองกรมพระอาลักษณ์ หลวงโลกทีป เจ้ากรมโหรหลัง พระมหาสงคราม เจ้ากรมทวนทองขวา พระอนุรักษโยธา เจ้ากรมทวนทองซ้าย หลวงราชรินทร์ เจ้ากรมพระตำรวจนอกขวา หลวงอินทรเดชะ เจ้ากรมพระตำรวจนอกซ้าย หลวงพรหมบริรักษ์ เจ้ากรมสนมทหารขวา หลวงสุริยภักดี เจ้ากรมสนมทหารซ้าย หลวงวิสูตโยธามาตย์ เจ้ากรมทหารในขวา หลวงราชโยธาเทพ เจ้ากรมทหารในซ้าย พระยาอุดมราชา เจ้ากรมกลิอ่อง พระยาพระราม เจ้ากรมดั้งทองขวา พระยาเกียน เจ้ากรมดั้งทองซ้าย พระยานครอินทร์ เจ้ากรมดาบสองมือกลาง หลวงษรเสนี เจ้ากรมอาสาจามขวา หลวงศรีมหาราชา เจ้ากรมอาสาจามซ้าย หลวงลักษมาณา เจ้ากรมอาสาจามขวา หลวงสุรินทเสนี เจ้ากรมอาสาจามซ้าย ตำแหน่ง มหาดไทย พล ยกกระบัตร ของหัวเมืองชั้นเอก
ศักดินา 1,500 ไร่ หม่อมเจ้าซึ่งถือเป็นอนุวงศ์และเป็นเจ้าชั้นสุดท้าย ขุนในกรมลูกขุนคือ ขุนไชยอาญามหาวิสุทธปรีชาจารย์ ขุนจินดาพิรมยพรมเทพวิสุทธิวงษาจารย์
ต่ำลงกว่านี้ยังมีศักดินาตั้งแต่ 1,400 1,200 1,000 800 600 500 400 300 200 150 100 80 50 30 25 20 15 10 5 ไร่
เชื้อพระวงศ์ที่ไม่ได้เป็นเจ้าแล้ว จะมีตำแหน่งเจ้าราชนิกุลขี่ช้างค่ายต้นเชือก ศักดินา 1,000 ไร่ เจ้าราชนิกุลขี่ช้างค้ำปลายเชือก ขี่ม้า ขี่โขลงกระบือ ศักดินา 800 ไร่ หม่อมราชวงศ์ ศักดินา 500 ไร่
สำหรับโอรสพระมหากษัตริย์ที่เป็นลูกสนม มีสถานะเป็น "พระองค์เจ้า" คือเป็นพระเจ้าลูกเธอ หรืออาจเป็นพระอนุชาต่างมารดากับพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบัน หากไม่ได้ทรงกรมจะมีศักดินา 6,000 หรือ 7,000 ไร่ สูงกว่าขุนนางทั้งหมดยกเว้นขุนนางชั้นนาหมื่น แต่หากได้ทรงกรมจะมีศักดินา 15,000 ไร่ สูงกว่าขุนนางชั้นนาหมื่น ดังนั้นสถานะจึงดูก้ำกึ่งอยู่ขึ้นอยู่ว่าได้ทรงกรมหรือไม่
เรื่องใครหลบหลีกขบวนให้ใครคงตอบชัดเจนยาก เพราะไม่ได้ปรากฏหลักฐานในสมัยอยุทธยาชัดเจน แต่สันนิษฐานว่าโดยทั่วไปผู้มีศักดินาน้อยควรจะหลีกทางให้ผู้มีศักดินาสูงกว่า นอกจากนี้น่าจะขึ้นอยู่กับอิทธิพลและบารมีของแต่บุคคลด้วย เจ้านายชั้นผู้น้อยอาจต้องหลีกทางให้เจ้าพระยาหรือพระยานาหมื่นที่มีอิทธิพลมากกว่าก็ได้ กลับกันลูกสนมที่ได้รับความโปรดปรานจากพระมหากษัตริย์ก็อาจจะทำให้เสนาบดีผู้ใหญ่แสดงความอ่อนน้อมได้เช่นกัน
ทำนองเดียวกับมหาดเล็กที่มีศักดินาน้อย อาจมีอิทธิพลยิ่งกว่าขุนนางผู้ใหญ่ที่มีศักดินาสูง เพราะมักเป็นบุตรขุนนางมีตระกูล ถวายงานใกล้ชิดได้รับฟังพระราชกระแสพระเจ้าแผ่นดิน เพ็ดทูลสิ่งต่างๆ ได้ง่าย จึงมีเกียรติยศเป็นที่นับถือยำเกรงมากครับ
พิจารณาจากกฎมณเฑียรบาลที่บัญญัติสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถ (รูปแบบธรรมเนียมอาจไม่เหมือนกับสมัยอยุทธยาตอนปลาย) ตำแหน่งลูกสนมคือ "พระเยาวราช" ซึ่งเป็นพระราชกุมารระดับต่ำสุด ดูจะไม่ได้มีสถานะสูงนัก พระราชกุมารชั้นสูงกว่ามียานขี่ คือ สมเด็จหน่อพระพุทธเจ้าที่เกิดด้วยพระอัครมเหสีขี่ทิพยานทอง มีอภิรุม 3 ชั้น พระมหาอุปราชที่เกิดด้วยแม่หยัวเมืองขี่ทิพยานนาก มีอภิรุม 2 ชั้น พระเจ้าลูกเธอกินเมืองที่เกิดด้วยลูกหลวงหลานหลวงขี่พระยานมาศกลีบบัว มีอภิรุมกลีบทองกั้นกรรชิงหุ้มผ้าแดง แต่พระเยาวราชไม่มียานขี่ ให้มีเพียงช้างกับม้าอย่างละตัว กับคน 20 คน มีอภิรุมกลีบทองกั้นกรรชิงหุ้มผ้าแดงเหมือนพระเจ้าลูกเธอกินเมือง
ในขณะที่ผู้มีศักดินา 10,000 ในเมืองได้ขี่ยั่ว มีกรรชิงหุ้มผ้าขาว ศักดินา 10,000 ในหัวเมืองได้ขี่คานหามเก้าอี้ มีกรรชิงหุ้มผ้าขาว ศักดินา 5,000 ไร่ขี่ยั่ว มีร่มทงยู ศักดินา 3,000 ไร่ ขี่ยาน
ผู้มีศักดินา 10,000 ที่ "กินเมืองทัง ๔ ฝ่าย" (สันนิษฐานว่าเป็นเมืองพญามหานครสำคัญคือ พิษณุโลก สวรรคโลก สุโขทัย กำแพงเพชร ซึ่งปรากฏหลักฐานว่ายังเป็นเมืองที่มีความสำคัญสูงสุดอยู่ในสมัยพระเจ้าปราสาททอง) มีเครื่องยศเครื่องสูงจำนวนมาก คือ มีร่มปลิกสองคัน ทานตะวันเบื้อคู่หนึ่ง กรรชิงหุ้มผ้าแดงคันหนึ่ง เรือกูบแมงดาคฤ 3 ตอนบดลาดสาวตคุกหัวท้ายนั่งหน้าสอง คานหามเก้าอี้ทอง ศิรเพศมวยทอง แตรลางโพง 3 คู่ และปี่กลอง เมื่อมาถึงขนอนหลวงให้ลดเครื่องยศทั้งปวง เหลือแค่กรรชิงกับคานหาม ดูมีเกียรติยศมากกว่าพระเยาวราชเสียอีกครับ
มีหลักฐานว่าเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่สมัยอยุทธยาบางคนได้รับเกียรติยศพิเศษเสมอเจ้านาย เช่น ตำแหน่งเจ้าพระยามหาอุปราช ที่เป็นอัครมหาเสนาบดีสูงกว่าสมุหนายกและสมุหพระกลาโหม สามารถนั่งเฝ้าต่อหน้าพระมหากษัตริย์ได้โดยไม่ต้องหมอบกราบเหมือนขุนนางทั่วไป และเรียกคำสั่งว่า "พระประศาสน์" (หรือ 'พระสาศน') อย่างสมเด็จพระเจ้าลูกเธอกินเมือง ซึ่งสันนิษฐานว่าจะมีเกียรติยศและอิทธิพลสูงกว่าเจ้านายระดับล่าง โดยอาจอยู่ในระดับเดียวกับเจ้าต่างกรม
เจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ (อู่) ว่าที่โกษาธิบดี ในรัชกาลพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เป็นเสนาบดีคนสำคัญที่ช่วยเหลือพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศให้ได้ราชสมบัติ มีหลักฐานฝ่ายลังกาที่บ่งชี้ว่าถูกยกสถานะขึ้นเป็นเจ้าพระยามหาอุปราชด้วย หลังจากถึงแก่อสัญกรรมได้รับพระราชทานเกียรติยศเสมอเจ้า ให้สวมชฎาใส่เครื่องประดับสร้อยสังวาลย์เรียกศพว่า "พระศพ" ทำเมรุที่วัดไชยวัฒนาราม เมื่อฌาปณกิจให้มีขบวนเรือชักพระศพอย่างพระศพลูกหลวง และเสด็จไปพระราชทานเพลิงด้วยพระองค์เอง
ในสมัยธนบุรีและรัตนโกสินทร์ตอนต้นไม่ได้ตั้งตำแหน่งเจ้าพระยามหาอุปราช แต่มีการพระราชทานเกียรติยศพิเศษให้เจ้าพระยาบางคนมีสถานะเสมอเจ้านาย มีเสลี่ยงงากั้นกลดเครื่องยศเสมอเจ้าต่างกรม จึงถูกเรียกขานว่าเป็น "สมเด็จ" หรือ "สมเด็จเจ้าพระยา" และมีอิทธิพลในราชสำนักสูงมาก ดังเช่นรัชกาลที่ 1 เมื่อเป็นเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกในสมัยธนบุรี หรือเจ้าพระยาอภัยภูธร (น้อย) สมุหนายกในรัชกาลที่ 3 ที่พบหลักฐานว่ามีเกียรติยศและอำนาจไม่ต่างจากเจ้าและเหนือกว่าเจ้าต่างกรมบางองค์ด้วย (แต่ในทางปฏิบัติยังเป็นเจ้าพระยาอยู่ อาจมีตั้งแต่สมัยปลายอยุทธยาแล้ว เพราะมีหลักฐานกล่าวถึง 'สมเด็จเจ้าพระยามหาสมบัติ' ในสมัยกรุงเก่า ผู้เป็นอาของเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ สันนิษฐานว่าเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ก็อาจถูกเรียกลำลองว่าเป็น 'สมเด็จ' เช่นเดียวกัน)
ในรัชกาลที่ 4 จึงได้ตั้งบรรดาศักดิ์ "สมเด็จเจ้าพระยา" เป็นบรรดาศักดิ์สูงสุดของขุนนางสำหรับพระราชทานให้เสนาบดีสกุลบุนนาคที่สนับสนุนพระองค์เป็นกษัตริย์ ให้มีเครื่องยศอย่างพระองค์เจ้าต่างกรม แต่เพิ่มศักดินาเป็น 30,000 ไร่ มากกว่าจตุสดมภ์ 3 เท่า มากกว่าพระองค์เจ้าต่างกรม 2 เท่า อำนาจทางการเมืองตกอยู่กับสกุลบุนนาค และขึ้นสู่จุดสูงสุดในรุ่นของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ที่มีอำนาจมากจนเจ้านายที่พระราชวงศ์ต่างพากันเกรงกลัว พระเจ้าลูกเธอในรัชกาลที่ 4 ที่ยังทรงพระเยาว์ยังต้องหมอบกราบ ดังที่ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นราชศักดิ์สโมสร ทรงเล่าให้หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล ไว้ว่า "เรากลัวเขาจริง พอคลานผ่านที่เขาเอกเขนกอยู่ละก็ เราหมอบกราบกันราบเทียว"
แสดงความคิดเห็น
สงสัยเรื่องการหลบหลีกกันระหว่างขบวนขุนนางผู้ใหญ่กับพระญาติชั้นรอง ว่าใครต้องหลบใคร