JJNY : 5in1 ทูตรัศมิ์อดขำไม่ได้│‘Saveนาบอน’ทวงสัญญา│กระอัก ปุ๋ยคอกแพง│พท.ชี้ช่องฟื้นหาร100│โดนแน่หลายคน! 'ธีรัจชัย'ลั่น

ทูตรัศมิ์ อดขำไม่ได้ ทำเนียบอวดภาพบิ๊กตู่กับผู้นำโลก ทั้งที่ไม่ใช่การเยือนอย่างเป็นทางการ
https://www.matichon.co.th/politics/news_3471900
 
 
ทูตรัศมิ์ อดขำไม่ได้ ทำเนียบอวดภาพบิ๊กตู่กับผู้นำโลก ทั้งที่ไม่ใช่การเยือนอย่างเป็นทางการ
  
เมื่อวันที่ 25 ก.ค.  นายรัศมิ์ ชาลีจันทร์  อดีตเอกอัครราชทูตไทย เจ้าของเพจทูตนอกแถว เขียนข้อความทางเฟซบุ๊กเรื่อง ผู้ไร้ซึ่งขีดจำกัดของความด้าน  ระบุว่า
 
สืบเนื่องจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล เห็นข่าวของมติชนที่รายงานว่า ทางทำเนียบรัฐบาลเอาภาพการเยือนต่างประเทศของลุงยามแถวนี้มาอวดประหนึ่งจะคุยว่าได้รับการยอมรับและต้อนรับอย่างดีจากผู้นำประเทศต่างๆในโลก ก็อดขำและสมเพชในความด้านไม่ได้
 
เพราะรูปที่เอามาอวดนั้นเป็นรูปการเดินทางไปร่วมเวทีการประชุมระหว่างประเทศเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ไม่ใช่ไปในฐานะการเยือนอย่างเป็นทางการ  (Official Visit) เพื่อการหารือในลักษณะทวิภาคี (bilateral) ระหว่างผู้นำรัฐบาลของสองประเทศ ซึ่งนั่นต่างหากคือการแสดงถึงการยอมรับอย่างแท้จริง และเท่าที่ผ่านมาแทบไม่มีใครเขาเชิญไปเยือนในลักษณะนี้ หรือที่มีมาเยือนไทยอย่างเป็นทางการในแบบนี้เช่นกัน
 
เรียกว่า ปัจจุบันกรมพิธีการทูต กระทรวงต่างประเทศ ได้แต่นั่งตบยุง แทบไม่เคยทำงานใหญ่ลักษณะนี้เลย ซึ่งต่างจากสมัยที่รัฐบาลไทยมาจากประชาชนอย่างแท้จริงมากนัก  ที่ได้ไปต่างประเทศถ่ายรูปกับผู้นำอื่นเขาบ้างนั้น ส่วนใหญ่ก็คือแค่อาศัยใบบุญเวทีการประชุมระหว่างประเทศที่เขาจำต้องเชิญด้วยแค่นั้น ซึ่งการเอารูปพวกนี้มาลงมันก็คือความพยายามแบบด้านๆที่จะแถว่า ได้รับการยอมรับในระดับโลกเท่านั้นเอง
 
แล้วก็ยังไม่รู้ตัวว่าได้สร้างความอับอาย น่าสังเวชให้กับเองหนักไปอีก เมื่อชูมือยิ้มร่าโชว์ว่า เป็นคนทำรัฐประหาร ซึ่งก็คือการปล้นอำนาจประเทศชาติและประชาชนอย่างเลวร้ายและพาบ้านเมืองให้ตกต่ำในทุกด้านจนถึงวันนี้ ซึ่งก็คือการประจานตนเองให้โลกรู้ ชนิดที่มีแต่คนที่ไร้ขีดจำกัดในความด้านเท่านั้นถึงทำได้
 
และพอดีวันก่อนเห็นคลิปวิดีโอที่มีผู้ใหญ่ที่เคารพท่านหนึ่งส่งมาให้ เป็นภาพของเหล่าคนสูงอายุรายได้น้อย/ไร้บ้าน ที่ถนนราชดำเนินจำนวนมากวิ่งกรูไปต่อแถวเพื่อรับอาหารบริจาค เห็นแล้วก็รู้สึกเศร้าใจและเห็นด้วยกับผู้ใหญ่ท่านนั้นว่าไม่อยากเชื่อนี่คือประเทศไทยในปัจจุบัน ที่เหมือนใกล้ศรีลังกาเข้าไปทุกที ซึ่งนี่ก็คือประจักษ์พยานของความตกต่ำของประเทศนี้อย่างชัดเจน
 
สุดท้ายผมขอประนามผู้ที่ได้ชื่อว่า เป็นผู้แทนของประชาชนที่ไปรับกล้วย หรือพวกทำตัวเป็นนั่งร้านให้คนไร้ขีดจำกัดของความด้านอยู่ทำร้ายประเทศชาติได้ต่อไป
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สืบเนื่องจากกรณีที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล วันที่ 3 (21 กรกฎาคม) นายปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.ก้าวไกล ฝ่ายค้านได้อภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในประเด็นไม่ได้รับการต้อนรับจากนานาประเทศ ไร้จุดยืนด้านนโยบายต่างประเทศ เป็นตัวตลกแห่งอาเซียน จากการหนุน [เผล่ะจัง] ทหาร
 
ส่งผลให้ นายกรัฐมนตรีกล่าวชี้แจงถึงเรื่องนี้ตอนหนึ่งว่า การที่นำภาพมาเปรียบเทียบว่าตนไปต่างประเทศแล้วไม่ได้รับการต้อนรับ ไม่ใช่ข้อเท็จจริงและเป็นการนำภาพมาประกอบกัน สามารถไปขอข้อมูลจากกระทรวงการต่างประเทศไทย ตนไม่อยากนำมาโฆษณาตัวเอง
 
ต่อมา เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม เพจไทยคู่ฟ้า ได้โพสต์ข้อความซึ่งเป็นถ้อยคำชี้แจงของนายกรัฐมนตรี ตอนหนึ่ง ว่า “เมื่อคืนมีการเอาภาพมาเปรียบเทียบ บอกว่าเวลาผมไปต่างประเทศแล้วไม่ได้รับการต้อนรับ ผมว่าไม่ใช่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม 22 ก.ค.65 พร้อมแนบรูปนายกรัฐมนตรีคู่กับผู้นำระดับโลก ระหว่างการเดินทางเยือน และการไปร่วมประชุมในประเทศต่างๆ
 
https://www.facebook.com/thealternativeambassadorreturns/posts/pfbid06JxaGPm1GA58rDutSChi1mRzvDYeQqPDoWUf6s143yyZQEqTvnDSCkQuKYAuhAPNl
 


กลุ่ม ‘Saveนาบอน’ บุกยึดหน้าทำเนียบ ปักหลักทวงสัญญา บิ๊กตู่ ค้านโรงไฟฟ้าขยะ
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7179686
 
กลุ่ม ‘Saveนาบอน’ บุกยึดหน้าทำเนียบ ปักหลักทวงถาม บิ๊กตู่ ให้กระทรวงพลังงาน ทำรายงานผลกระทบเชิงยุทธศาสตร์ ก่อนสร้างโรงไฟฟ้าขยะ
 
วันที่ 25 ก.ค.2565 ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า กลุ่ม Saveนาบอน ประกอบด้วยชาวบ้านจากชุมชนนาบอน อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช นำโดยนายเอิบ สารานิตย์ ประธานกลุ่ม ได้ปักหลักชุมนุมอยู่บริเวณแยกพาณิชยการ ถนนพระราม 5 มาตั้งแต่วันที่ 18 ก.ค. 2565 โดยเมื่อเวลา 06.00 น. ของวันนี้ (25 ก.ค.) กลุ่มผู้ชุมนุมได้เคลื่อนมาปักหลักชุมนุมที่บริเวณสะพานชมัยมรุเชฐ หน้าทำเนียบรัฐบาล
 
การมาชุมนุมในครั้งนี้ ถือเป็นครั้งที่ 3 เพื่อทวงสัญญาจากพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม หลังจากยื่นหนังสือคัดค้านการสร้างโรงไฟฟ้าขยะ (โรงไฟฟ้าชีวมวลนาบอน 1 และโรงไฟฟ้าชีวมวลนาบอน 2) ในพื้นที่ชุมชนนาบอน เนื่องจากจะทำให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับผลกระทบจากโครงการดังกล่าว
  
อย่างไรก็ตาม นายกฯ เคยสั่งการให้ ชะลอโครงการและให้กระทรวงพลังงานทำการศึกษา SEA แต่กระทรวงพลังงานไม่ให้ความสำคัญในเรื่องดังกล่าว ทางกลุ่มจึงเดินทางมาทวงสัญญา จากนายกฯ อีกครั้ง ทั้งนี้ กลุ่มผู้ชุมนุมได้ทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ด้วยการ นั่งประท้วง โดยไม่มีการปราศรัยด้วยเครื่องกระจายเสียงแต่อย่างใด
 
ต่อมาเวลา 10.55 น. นายอิทธิพล ช่างกลึงดี ผอ.ศูนย์บริการประชาชนและคณะ ได้พบกับกลุ่มผู้ชุมนุม เพื่อชี้แจงแนวทางการเข้าหารือกับตัวแทนของกระทรวงพลังงาน และสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พร้อมเชิญกลุ่มผู้ชุมนุม ส่งตัวแทนเข้าร่วมหารือ แต่กลุ่มผู้ชุมนุมยืนยันว่าจะไม่ส่งตัวแทนเข้าร่วมหารือกับตัวแทนของรัฐบาล แต่จะคอยฟังผลการประชุมอยู่ที่สะพานชมัยมรุเชฐ หน้าทำเนียบฯ และหากมีผลการหารือ ขอให้ตัวแทนรัฐบาลนำผลดังกล่าวมาแจ้งให้กับกลุ่มผู้ชุมนุมทราบด้วย
 
นายเอิบ กล่าวว่า กลุ่มผู้ชุมนุมได้เขียนจดหมายเปิดผนึกถึงปลัดสำนักนายกฯ โดยระบุว่า การเจรจาของกลุ่มฯ กับทางรัฐบาล ได้ยุติไปตั้งแต่เดือนธ.ค. 2564 แล้วและไม่มีสิ่งใดต้องเจรจากันอีก สิ่งที่รัฐบาลจะต้องทำคือ ปฏิบัติตามข้อเจรจา เพราะแผ่นดินนี้เป็นของประชาชน ดังนั้น การขัดคำสั่งนายกฯ ในช่วงที่รัฐบาลกำลังจะหมดอายุ อาจเป็นเรื่องธรรมดาของระบบราชการ แต่อย่าเล่นตลกกับชีวิตของประชาชน ใครก็รู้ว่ากระทรวงพลังงานคือกลุ่มทุนใหญ่ มีอำนาจเหนือรัฐ การที่กระทรวงพลังงานปฏิเสธนายกฯ จึงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่กระทรวงพลังงาน อย่ามาแสดงอิทธิฤทธิ์กับประชาชน เพราะเรารู้ดีว่าเบื้องหลัง ของทุนพลังงานคือกลุ่มศักดินาและทหาร
 
ดังนั้น ต้องมีความชัดเจนเรื่องการตั้งกรรมการ และต้องเรียกประชุมหลังแต่งตั้งภายใน 15 วัน ส่วนหน่วยงานที่จะต้องเป็นผู้ออกใบอนุญาต จะต้องยึดกติกาเดิมคือ ห้ามออกใบอนุญาตจนกว่าผล SEA หรือรายงานผลกระทบเชิงยุทธศาสตร์ จะเป็นที่ยุติ ขณะเดียวกันบริษัทก็ห้ามดำเนินการใดๆ ในพื้นที่ จนกว่าจะมีผลหารือเป็นไรลักษณ์อักษร ระบุเนื้อหารายละเอียดที่ชัดเจน ลงนามโดยปลัดสำนักนายกฯ ร่วมกับหน่วยงานที่รับผิดชอบ ในการทำ SEA ขณะเดียวกันกระทรวงพลังงานต้องตระหนักว่าทำงานในฐานะของรัฐบาล ทำงานเพื่อประชาชน ไม่ใช่บริษัท
 


เกษตรกร กระอัก ราคาปุ๋ยคอกแพง แนะรัฐส่งเสริม ให้เข้าถึงแหล่งผลิต
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7179889
 
ยอดขายปุ๋ยคอกเพิ่ม หลังปุ๋ยเคมีแพง ทั้งค่าขนส่ง และสภาพเศรษฐกิจ ส่งผลให้สินค้าขาดตลาด แนะรัฐบาลส่งเสริมเกษตรกร ให้เข้าถึงแหล่งผลิตราคาถูก
 
เมื่อวันที่ 25 ก.ค. 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พื้นที่จ.ราชบุรี ซึ่งเป็นแหล่งที่มีการเลี้ยงโคเนื้อและโคนมกันเป็นจำนวนมาก นายประเสริฐ คอนเมฆ อายุ 60 ปี ชาวต.หนองโพ อ.โพธาราม ผู้ประกอบการค้าส่ง ค้าปลีก ปุ๋ยคอกจากมูลโค เปิดเผยว่า ตนทำอาชีพรับซื้อ และจำหน่ายปุ๋ยคอกจากมูลโคมาแล้วกว่า 30 ปี
 
ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นชาวสวนชาวไร่ อาทิ สวนทุเรียน ส้ม ปาล์ม และยาง เป็นต้น โดยเฉพาะพื้นที่ภาคตะวันออกและภาคใต้ เริ่มจำหน่ายมาตั้งแต่ราคาที่กระสอบละ 5 บาท จากนั้นราคาก็เริ่มมีการปรับไปตามยุคสมัย และสภาพเศรษฐกิจ
 
สำหรับปุ๋ยคอกมูลโค เกษตรกรจะนิยมซื้อหากันในช่วงฤดูฝน ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนด้านแรงงานในการให้น้ำ เพราะน้ำฝนจะช่วยให้พืชดูดซึมแร่ธาตุได้ง่าย จึงทำให้ราคาจำหน่ายมูลโคสูงกว่าในช่วงฤดูหนาวและฤดูร้อน นอกจากนี้มูลโคยังเป็นวัตถุดิบที่กลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตปุ๋ยมูลไส้เดือนต้องการอีกด้วย
 
กระทั่งเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ราคาปุ๋ยเคมีได้พุ่งสูงขึ้นกว่า 1 เท่าตัว และยังหาได้ยากตามท้องตลาด เกษตรกรจำต้องหันมาพึ่งพาปุ๋ยคอกกันมากขึ้น ทำให้เกิดการแย่งสินค้า ดักซื้อขายให้ราคากันถึงหน้าฟาร์ม ส่งผลให้ราคาซื้อขายมูลโคนมในพื้นที่จากเดิมอยู่ที่กระสอบละ 20 บาท ขยับขึ้นมาเป็น 25-28 บาท และหากถึงมือเกษตรกรปลายทาง ราคาจะขยับขึ้นไปอีกประมาณร้อยละ 30 จากค่าน้ำมัน และค่าบริหารจัดการระหว่างดำเนินการขนส่ง
 
อย่างไรก็ตามจากการสังเกตพบว่า ลูกค้าที่เพิ่มเข้ามาจะเป็นกลุ่มเกษตรกรในพื้นที่จ.ราชบุรี และใกล้เคียง แต่ในส่วนของพื้นที่ภาคตะวันออกและภาคใต้ กลับมียอดซื้อลดลงประมาณร้อยละ 50 เนื่องจากได้รับผลกระทบของราคาค่าขนส่ง และเกษตรกรขาดสภาพคล่องในการลงทุน
 
ทั้งนี้ตนมองว่าการที่ภาครัฐมีมาตรการส่งเสริมให้เกษตรกรลดต้นทุนด้วยการใช้ปุ๋ยคอก ก็ควรจะเร่งประชาสัมพันธ์แหล่งผลิต ตลอดจนสนับสนุนให้เกษตรกรรวมกลุ่ม เพื่อให้เกษตรกรเข้าถึงปุ๋ยคอกที่มีคุณภาพอย่างเพียงพอ และทั่วถึงในราคายุติธรรม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่