ได้หนังสือเล่มนี้มาตั้งแต่ต้นปี 64
ซื้อที่ร้าน C ASEAN ตอนไปหาลูกแถวสามย่าน
ปนมากับหนังสือเล่มอื่นอีก 5-6 เล่ม
ยังไม่ได้ฤกษ์งามยามดีอ่าน
ตั้งปณิธานปี 65 นี้ไว้ว่า จะเคลียร์กองดองให้หมด ซึ่งอันนี้เป็นปณิธานใหญ่มาก เพราะมีกองอยู่เป็นชั้น ๆ เล่มนี้เลยเป็นเล่มที่จะหยิบขึ้นมาอ่าน
อ่านแล้วก็อยากจะเขกหัวตัวเองนักว่า ... ดองหนังสือดี ๆ เล่มนี้ไว้ตั้งนานได้ยังไง ?
แม้จะมีคำโปรยปกว่า หนังสือเล่มนี้เป็นแรงบันดาลใจให้ BTS แต่งเพลง Magic Shop แต่ดิฉันก็ยังเชื่อมโยงไม่ได้อยู่ดีว่า BTS นี่เค้าเป็นไผหว่า ???
หนังสือเล่มนี้เขียนโดย ดร.เจมส์ อาร์ โดตี ประสาทศัลยแพทย์ผู้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานจากสแตนฟอร์ด มีชีวิตหัวหกก้นขวิด ขึ้นลงราวกับรถไฟเหาะตีลังกา
จากจุดต่ำสุดของชีวิต โตมาในครอบครัวที่พ่อติดเหล้าจนถูกจับเข้าห้องขังเป็นประจำ เขาเองเคยทำงานอยู่กับหน่วยงานรัฐบาล และต้องเป็นคนไขกุญแจห้องขังที่ตำรวจไปจับพ่อเขาซึ่งเมาอาละวาดให้มาสงบสติอารมณ์
ส่วนแม่ของดร.โดตี ก็ป่วยเป็นซึมเศร้าเรื้อรัง
พี่สาวแต่งงานไปตั้งแต่อายุยังน้อยและล้มเหลวในชีวิต พี่ชายตายด้วย HIV
ท่ามกลาง ความ “จน เครียด และคนรอบข้างกินเหล้า” แบบนี้ ดร.โดตีเอาตัวรอดมาได้อย่างไร มีหลักคิด หลักยึดอะไรในชีวิตที่ทำให้เขาก้าวมาจนถึงวันนี้
เคยผ่านคืนวันอันโหดร้ายของการไม่มีเงินจะเรียนหนังสือ ตะเกียกตะกายขอทุน ผลการเรียนไม่ดีนัก เนื่องจากบางครั้ง ต้องหยุดการเรียนมาเพื่อดูแลแม่ที่ซึมเศร้าขั้นวิกฤต จนถึงจุดที่ประสบความสำเร็จมีอพาร์ทเมนต์หลังใหญ่โต มีรถในฝันหลายคัน มีเงินหลายล้านดอลล่าร์ กระทั่งวางเงินมัดจำจะซื้อเกาะส่วนตัว ทำงานหนักจนครอบครัวพังพินาศ
มาถึงจุดผกผันที่ข้อตกลงด้านธุรกิจไม่ลงตัว จากเงินล้นฟ้า เที่ยว ดื่ม กินหรูอยู่สบาย ดร.โดตี ต้องขายรถ ขายทรัพย์สมบัติไปหลายชิ้นเพื่อชำระหนี้
และ wake up call นี้เอง ปลุกเขาให้หวนกลับไปมา “เวทมนตร์วิเศษ” ที่เขาได้เคยเรียนรู้ในร้านเวทมนตร์จากรูธหญิงสูงวัยผู้เมตตาการุณย์ ตอนเป็นเด็กอายุ 12 ขวบ
เทคนิค หลักคิดที่ประเสริฐที่รูธได้บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ในตัว ดร.โดตีนี้เองที่เป็นหางเสือนำทางให้บรรทัดสุดท้ายของการดำเนินชีวิตของ ดร. โดตีเป็นปรัชญาที่กลายเป็นแท่งศิลาแห่งจริยธรรมประจำใจของเขา
เป็นปรัชญาที่มุ่งหมายไปที่ความเมตตา และการอุทิศตนเพื่อผู้อื่น
รูธ นางฟ้าอารีคนนั้น สอนอะไรกับ ดร.โดตี ??? ถึงได้มอบความทรหดอดทน ความหวัง การปล่อยวาง ความเมตตาทำให้ดร.โดตีผ่านคืนวันอันโหดร้าย และสถานการณ์ทางเศรษฐกิจสังคมที่บีบคั้นนั้นมาได้ จนสามารถมาก่อตั้ง CCARE ศูนย์เพื่อการวิจัยและการศึกษาด้านความเมตตาและความเห็นแก่ผู้อื่นแห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด
ลองอ่านดูนะคะ
เรื่องนี้นี่ดีอย่างวิเศษ และคุณหมอนที ก็แปลได้ดีมาก
เป็นนักแปลคนแรกที่ดิฉันอ่านหนังสือจบ ต้องขวนขวายหาทางส่งข้อความไปบอกท่านว่า “เลือกเรื่องดีจริง ๆ และแปลดีจริง ๆ ค่ะ”
ขอสารภาพว่ามีหลายตอนที่แตะจิตแตะใจดิฉันอย่างแรง ถึงขนาดรู้สึกเหมือนจิตใจข้างในสะอื้นเบา ๆ
ลองตัดตอนบางส่วนของหนังสือมาให้อ่านนะคะ
“...ผมยังรู้สึกถึงความเชื่อมโยงกับคนอื่นอีกมากมายตลอดชีวิต บางครั้งก็กับคนที่เจอโดยบังเอิญในลิฟต์ ที่เมื่อมองตากันแล้วด้วยเหตุผลที่ไม่อาจบอกได้ก็เกิดความเชื่อมโยงนั้น มันไม่ใช่เพียงการสบตา แต่เป็นการรู้จักที่ลึกซึ้ง รับรู้ตัวตนข้างในของอีกฝ่าย และรู้สึกว่าที่แท้เราเดินอยู่บนเส้นทางเดียวกัน และเมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น ลองนึกดูอย่างจริงจัง จะรู้สึกว่ามันวิเศษอย่างยิ่ง หลายครั้งที่ผมมองตาคนไร้บ้านหรือคนยากจน เมื่อตาของเราประสานกัน มันเหมือนผมได้เห็นใบหน้าของตัวเองจ้องกลับมาในชั่วขณะสั้น ๆ นั้น และบ่อยครั้ง ผมรู้สึกถึงความเจ็บปวดของตัวเองตลอดชีวิตที่ผ่านมา รู้สึกเห็นอกเห็นใจอย่างลึกซึ้ง ตามมาด้วยความซาบซึ้งใจที่ชีวิตได้พาผมมาอยู่ในที่ที่อยู่วันนี้ ทุกคนต่างมีเรื่องราว และผมได้เรียนรู้ว่าโดยเนื้อแท้แล้ว เรื่องของพวกเราส่วนใหญ่ก็คล้าย ๆ กัน ความเชื่อมโยงอาจมีพลังอานุภาพ บางครั้งแค่การพบกันสั้น ๆ อาจเปลี่ยนชีวิตเราไปตลอดกาล”
“...ทุกคนต้องมีสักครั้งบ้างที่อยากได้โอกาสที่จะทำในสิ่งที่คนอื่นไม่คิวด่าเราจะทำได้ ทุกท่านมาถึงจุดนี้ในวันนี้ได้ก็เพราะมีบางคนเชื่อในตัวพวกท่าน เพราะมีบางคนห่วงใยพวกท่าน ผมขอให้พวกท่านเชื่อในตัวผม นี่คือทั้งหมดที่ผมขอ ผมขอให้พวกท่านให้โอกาสผมเป็นในสิ่งที่ผมฝันไว้ครับ”
จริง ๆ ยังมีอีกหลายบทหลายตอนมากที่ดีต่อใจ อ่านแล้วอบอุ่นละมุนหัวใจ ปลอบประโลม และมีคำแนะนำในการฝึกจิตใจอีกหลายบทที่นำไปใช้ได้จริง จะบอกว่า มันเหมือนเวทมนตร์ก็ดูจะไม่เกินความจริงไปสักเท่าไร
ลองอ่านดูนะคะ
ปล. และเพราะเล่มนี้ ทำให้ดิฉันต้องกดซื้อหนังสือของผู้แปลท่านนี้เพิ่มอีก 3 เล่ม
สรุปกองดองที่คิดว่าจะลด ก็เพิ่มขึ้นมาอีกจนได้สิน่า
[CR] เราทุกคนล้วนมีเวทมนตร์อยู่ในใจ Into the Magic Shop
ซื้อที่ร้าน C ASEAN ตอนไปหาลูกแถวสามย่าน
ปนมากับหนังสือเล่มอื่นอีก 5-6 เล่ม
ยังไม่ได้ฤกษ์งามยามดีอ่าน
ตั้งปณิธานปี 65 นี้ไว้ว่า จะเคลียร์กองดองให้หมด ซึ่งอันนี้เป็นปณิธานใหญ่มาก เพราะมีกองอยู่เป็นชั้น ๆ เล่มนี้เลยเป็นเล่มที่จะหยิบขึ้นมาอ่าน
อ่านแล้วก็อยากจะเขกหัวตัวเองนักว่า ... ดองหนังสือดี ๆ เล่มนี้ไว้ตั้งนานได้ยังไง ?
แม้จะมีคำโปรยปกว่า หนังสือเล่มนี้เป็นแรงบันดาลใจให้ BTS แต่งเพลง Magic Shop แต่ดิฉันก็ยังเชื่อมโยงไม่ได้อยู่ดีว่า BTS นี่เค้าเป็นไผหว่า ???
หนังสือเล่มนี้เขียนโดย ดร.เจมส์ อาร์ โดตี ประสาทศัลยแพทย์ผู้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานจากสแตนฟอร์ด มีชีวิตหัวหกก้นขวิด ขึ้นลงราวกับรถไฟเหาะตีลังกา
จากจุดต่ำสุดของชีวิต โตมาในครอบครัวที่พ่อติดเหล้าจนถูกจับเข้าห้องขังเป็นประจำ เขาเองเคยทำงานอยู่กับหน่วยงานรัฐบาล และต้องเป็นคนไขกุญแจห้องขังที่ตำรวจไปจับพ่อเขาซึ่งเมาอาละวาดให้มาสงบสติอารมณ์
ส่วนแม่ของดร.โดตี ก็ป่วยเป็นซึมเศร้าเรื้อรัง
พี่สาวแต่งงานไปตั้งแต่อายุยังน้อยและล้มเหลวในชีวิต พี่ชายตายด้วย HIV
ท่ามกลาง ความ “จน เครียด และคนรอบข้างกินเหล้า” แบบนี้ ดร.โดตีเอาตัวรอดมาได้อย่างไร มีหลักคิด หลักยึดอะไรในชีวิตที่ทำให้เขาก้าวมาจนถึงวันนี้
เคยผ่านคืนวันอันโหดร้ายของการไม่มีเงินจะเรียนหนังสือ ตะเกียกตะกายขอทุน ผลการเรียนไม่ดีนัก เนื่องจากบางครั้ง ต้องหยุดการเรียนมาเพื่อดูแลแม่ที่ซึมเศร้าขั้นวิกฤต จนถึงจุดที่ประสบความสำเร็จมีอพาร์ทเมนต์หลังใหญ่โต มีรถในฝันหลายคัน มีเงินหลายล้านดอลล่าร์ กระทั่งวางเงินมัดจำจะซื้อเกาะส่วนตัว ทำงานหนักจนครอบครัวพังพินาศ
มาถึงจุดผกผันที่ข้อตกลงด้านธุรกิจไม่ลงตัว จากเงินล้นฟ้า เที่ยว ดื่ม กินหรูอยู่สบาย ดร.โดตี ต้องขายรถ ขายทรัพย์สมบัติไปหลายชิ้นเพื่อชำระหนี้
และ wake up call นี้เอง ปลุกเขาให้หวนกลับไปมา “เวทมนตร์วิเศษ” ที่เขาได้เคยเรียนรู้ในร้านเวทมนตร์จากรูธหญิงสูงวัยผู้เมตตาการุณย์ ตอนเป็นเด็กอายุ 12 ขวบ
เทคนิค หลักคิดที่ประเสริฐที่รูธได้บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ในตัว ดร.โดตีนี้เองที่เป็นหางเสือนำทางให้บรรทัดสุดท้ายของการดำเนินชีวิตของ ดร. โดตีเป็นปรัชญาที่กลายเป็นแท่งศิลาแห่งจริยธรรมประจำใจของเขา
เป็นปรัชญาที่มุ่งหมายไปที่ความเมตตา และการอุทิศตนเพื่อผู้อื่น
รูธ นางฟ้าอารีคนนั้น สอนอะไรกับ ดร.โดตี ??? ถึงได้มอบความทรหดอดทน ความหวัง การปล่อยวาง ความเมตตาทำให้ดร.โดตีผ่านคืนวันอันโหดร้าย และสถานการณ์ทางเศรษฐกิจสังคมที่บีบคั้นนั้นมาได้ จนสามารถมาก่อตั้ง CCARE ศูนย์เพื่อการวิจัยและการศึกษาด้านความเมตตาและความเห็นแก่ผู้อื่นแห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด
ลองอ่านดูนะคะ
เรื่องนี้นี่ดีอย่างวิเศษ และคุณหมอนที ก็แปลได้ดีมาก
เป็นนักแปลคนแรกที่ดิฉันอ่านหนังสือจบ ต้องขวนขวายหาทางส่งข้อความไปบอกท่านว่า “เลือกเรื่องดีจริง ๆ และแปลดีจริง ๆ ค่ะ”
ขอสารภาพว่ามีหลายตอนที่แตะจิตแตะใจดิฉันอย่างแรง ถึงขนาดรู้สึกเหมือนจิตใจข้างในสะอื้นเบา ๆ
ลองตัดตอนบางส่วนของหนังสือมาให้อ่านนะคะ
“...ผมยังรู้สึกถึงความเชื่อมโยงกับคนอื่นอีกมากมายตลอดชีวิต บางครั้งก็กับคนที่เจอโดยบังเอิญในลิฟต์ ที่เมื่อมองตากันแล้วด้วยเหตุผลที่ไม่อาจบอกได้ก็เกิดความเชื่อมโยงนั้น มันไม่ใช่เพียงการสบตา แต่เป็นการรู้จักที่ลึกซึ้ง รับรู้ตัวตนข้างในของอีกฝ่าย และรู้สึกว่าที่แท้เราเดินอยู่บนเส้นทางเดียวกัน และเมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น ลองนึกดูอย่างจริงจัง จะรู้สึกว่ามันวิเศษอย่างยิ่ง หลายครั้งที่ผมมองตาคนไร้บ้านหรือคนยากจน เมื่อตาของเราประสานกัน มันเหมือนผมได้เห็นใบหน้าของตัวเองจ้องกลับมาในชั่วขณะสั้น ๆ นั้น และบ่อยครั้ง ผมรู้สึกถึงความเจ็บปวดของตัวเองตลอดชีวิตที่ผ่านมา รู้สึกเห็นอกเห็นใจอย่างลึกซึ้ง ตามมาด้วยความซาบซึ้งใจที่ชีวิตได้พาผมมาอยู่ในที่ที่อยู่วันนี้ ทุกคนต่างมีเรื่องราว และผมได้เรียนรู้ว่าโดยเนื้อแท้แล้ว เรื่องของพวกเราส่วนใหญ่ก็คล้าย ๆ กัน ความเชื่อมโยงอาจมีพลังอานุภาพ บางครั้งแค่การพบกันสั้น ๆ อาจเปลี่ยนชีวิตเราไปตลอดกาล”
“...ทุกคนต้องมีสักครั้งบ้างที่อยากได้โอกาสที่จะทำในสิ่งที่คนอื่นไม่คิวด่าเราจะทำได้ ทุกท่านมาถึงจุดนี้ในวันนี้ได้ก็เพราะมีบางคนเชื่อในตัวพวกท่าน เพราะมีบางคนห่วงใยพวกท่าน ผมขอให้พวกท่านเชื่อในตัวผม นี่คือทั้งหมดที่ผมขอ ผมขอให้พวกท่านให้โอกาสผมเป็นในสิ่งที่ผมฝันไว้ครับ”
จริง ๆ ยังมีอีกหลายบทหลายตอนมากที่ดีต่อใจ อ่านแล้วอบอุ่นละมุนหัวใจ ปลอบประโลม และมีคำแนะนำในการฝึกจิตใจอีกหลายบทที่นำไปใช้ได้จริง จะบอกว่า มันเหมือนเวทมนตร์ก็ดูจะไม่เกินความจริงไปสักเท่าไร
ลองอ่านดูนะคะ
ปล. และเพราะเล่มนี้ ทำให้ดิฉันต้องกดซื้อหนังสือของผู้แปลท่านนี้เพิ่มอีก 3 เล่ม
สรุปกองดองที่คิดว่าจะลด ก็เพิ่มขึ้นมาอีกจนได้สิน่า
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้